วันที่ ๒๔ ม.ค. ๕๓ มีการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิพูนพลัง ที่กรรมการทั้งหมดยกเว้นประธาน (คือผม) อายุประมาณ ๓๖ – ๓๗ ปี มีงานทำกำลังสร้างฐานะและมีประสบการณ์ชีวิตพอสมควรแล้ว
มูลนิธินี้เล็กมาก มีเงินใช้ปีละประมาณ ๒ ล้านบาท แต่คุณค่าไม่ใช่แค่เงินที่เอาไปช่วยเหลือเด็กนักเรียนหรือนักศึกษา แต่มีการให้คำแนะนำช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้ด้วย เป็นงานที่หนักพอสมควร เมื่อคำนึงว่ามีเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือกว่า ๒๐๐ คน ในแต่ละช่วงเวลา
มีทุนเรียนระดับมหาวิทยาลัยด้วย เด็กที่ขอทุนกลุ่มนี้จำนวนมากอยากเข้าเรียนเพื่อเป็นครู ในหลักสูตร ๕ ปี ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะมี มรภ. กระจายอยู่ทั่วประเทศ และเด็กเหล่านี้คงจะประมาณความสามารถของตนแล้วว่า จะเข้าเรียนจนสำเร็จได้
ผมได้ชี้ให้กรรมการทราบว่า หากจะให้ทุนนี้นอกจากเป็นประโยชน์แก่เด็ก ยังเป็นประโยชน์แก่สังคมด้วย ก็น่าจะไม่ให้ทุนแก่เด็กที่เรียนไปเป็นครูมัธยมในหลักสูตร ๕ ปี ของ มรภ. หรือในสถาบันใดก็ตาม เพราะครูมัธยมที่ดีควรจบปริญญาตรีในวิชาหลัก (วิทยาศาสตร์, มนุษยศาสตร์, ฯลฯ) ตามด้วยการฝึกวิชาครู ๑ ปี มูลนิธิพูนพลังควรช่วยชาติในการร่วมแก้ความบิดเบี้ยวในอาชีพครูด้วย
ผมได้ชี้ว่า ประเทศไทยต้องการคนมาเรียนสายวิทย์ – เทคโน ให้มากขึ้น ดังนั้น ถ้าทำได้ควรหาทางชักจูงให้เด็กเลือกเรียนสาขานี้
นอกจากนั้น ประเทศต้องการคนที่จบอาชีวศึกษาจำนวนมาก เพื่อเพิ่มกำลังคนระดับลงมือทำ และทำงานได้ดี มีความตั้งใจ มีความภูมิใจในงานของตน
ทั้งหมดนี้เป็นการทำความเข้าใจเรื่องกว้างๆ ของบ้านเมือง ที่ผมถือโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับกรรมการมูลนิธิฯ ที่เป็นคนเก่ง เป็นคนที่ฐานะมั่นคง และมีจริตในการทำงานเล็กๆ เพื่อสังคม ให้เขาเข้าใจ และช่วยกันชักชวนเด็กที่มาขอรับทุน ให้หันไปเรียนสายอาชีวะ สายวิทย์-เทคโน ให้มากขึ้น
เราจึงเข้าใจว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางมูลนิธิฯ ประกาศให้ทุนระดับอุดมศึกษาแก่เด็กยากจน ปีต่อไปเราจะแยกไปประกาศให้ทุนระดับอาชีวศึกษาครึ่งหนึ่งด้วย
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ม.ค. ๕๓
ไม่มีความเห็น