เรื่องราวอันสับสนบนหนทางภาวนา …


สองสัปดาห์ที่ผ่านมา  มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกิดขึ้นในแวดวงของผู้ภาวนาเรื่องหนึ่ง   ข้าพเจ้าว่านี่คือบททดสอบอันยิ่งใหญ่สำหรับเราทั้งหลาย  บททดสอบว่าเราจะวางใจไว้อย่างไร  ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

 เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อปราโมทย์  ทำให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายและทั้งที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ แต่สนใจในการภาวนาต่างสนใจและอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   แม้กระทั่งข้าพเจ้าเอง   ข้าพเจ้านั้นไม่ได้เป็นศิษย์โดยตรงของท่าน  แต่ก็เคารพนับถือหลวงพ่ออย่างมาก  ข้าพเจ้าเคยเดินทางไปฟังธรรมะบรรยายของท่านที่สวนสันติธรรม หนึ่งครั้ง และเคยไปฟังที่บ้านอารีย์  ศาลาปันมี  ด้วยอีกหนึ่งครั้ง   นี่เป็นเพียงสองครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบเจอท่าน  (ในระยะไกลๆ )  

 แต่ข้าพเจ้าก็มีซีดีธรรมะบรรยายของท่านหลายสิบแผ่น  และข้าพเจ้าก็ฟังอยู่บ่อยๆ  แถมมีหนังสือของท่านมากมายหลายเล่ม  มีมากกว่าหนังสือของครูบาอาจารย์สายเถรวาทท่านใดๆ  แถมบางเล่มข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ  อันที่จริงข้าพเจ้าแอบเป็นลูกศิษย์ของท่านในระยะไกลๆ  ไม่ใช่ศิษย์แวดวงในอะไร  แถมอยู่ในระยะไกลมากๆ   ทีเดียว   นอกจากนี้ข้าพเจ้าก็แอบเป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์อีกหลายท่านในสายเถรวาท แม้บางท่านก็ได้ละสังขารไปแล้ว  แต่คำสอนของท่านก็ยังมีอยู่ให้ได้ศึกษาได้เรียนรู้ และข้าำพเจ้าก็ัรับฟังคำสอนนั้นจากซีดี  จากการอ่านหนังสือ  จากลูกศิษย์ จากหลานศิษย์ ของหลวงปู่ทั้งหลาย    แถมข้าพเจ้าก็ยังเป็นศิษย์ของหลวงปู่ติช  และเรียนรู้ธรรมจากลูกศิษย์ของท่าน คือหลวงพี่นิรามิสา  หลวงพี่มหาสมุทรแห่งธรรม  หลวงพี่พิทยา  และอีกหลายๆ หลวงพี่จากหมู่บ้านพลัมที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบเจอ 

นอกจากนี้ข้าพเจ้าก็แอบเป็นศิษย์ของท่่านเชอร์เตียม ตรุงปะ  แถมเคยไปภาวนากับหลานศิษย์ของท่าน คือครูตั้ม วิจักขณ์ พานิช   ข้าพเจ้าเลยไม่ได้สังกัดอยู่สำนักไหนเป็นที่แน่นอน  และไปมาทุกสาย    มิหน่ำซ้ำในแต่ละปีข้าพเจ้าก็ไปเข้าภาวนากับครูบาอาจารย์ของ ทั้งสายเถรวาท  มหายาน และวัชรยาน    เส้นทางภาวนาของข้าพเจ้าอาจจะดูสับสนอยู่ ในสายตาของผู้คนทั้งหลาย  บางคนถึงกับสงสัยว่าข้าพเจ้าจะเอาสายไหนกันแน่   และหลายๆคนต่างคิดเห็นไปว่าการเรียนรู้มากมายหลายสายการปฎิิบัติของข้าพเจ้าแบบนี้    อาจจะทำให้ข้าพเจ้าไม่ก้าวหน้าอะไร  แถมอาจจะสับสนและเกิดสภาวะธรรมที่ผิดเพี้ยนประมาณว่า อาจธาตุไฟเข้าแทรกได้ 

 

 ข้าพเจ้าเป็นแบบนี้มาสามปีเต็ม  การได้ไปกราบครูบาอาจารย์สายต่างๆ  ไปฟังธรรมะของท่านทำให้ข้าพเจ้าได้แง่คิดและมุมมองในการภาวนาหลายอย่าง และพบเห็นอะไรๆ มากมายหลายอย่างทีเดียว 

    ในมุมมองของข้าพเจ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนั้นเป็นแรงบันดาลใจ  ท่านมีปํญญา มีภูมิธรรมที่แตกต่างกันไป  และข้าพเจ้าก็น้อมรับฟังสู่ใจ และนำมาพิจารณา  อันใดที่ถูกจริตข้าพเจ้าก็น้อมรับไว้และน้อมนำมาปฎิบัติ    โชคดีที่ข้าพเจ้าได้พบครูบาอาจารย์ที่แท้หรือไงไม่ทราบ  จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่พบว่าครูบาอาจารย์ท่านใดที่พบเจอ สอนอะไรที่ขัดแย้งกันเลย  แม้จะต่างสายการปฎิบัติ ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน แถมยิ่งศึกษาเรียนรู้ทุกสายการปฎิบัติไปเรื่อยๆ ทุกอาจารย์สอนเหมือนๆกันและมุ่งสู่สิ่งเดียวกันคือ  การละทิ้งตัวตน การเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่น ให้มีเมตตากรุณาต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย มีปัญญาในการพิจารณาสิ่งต่างๆ  ด้วยใจที่เป็นกลาง   แม้จะใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกัน  แต่หนทางนั้นคือการนำไปสู่สิ่งเหล่านี้

ส่วนเทคนิคการภาวนานั้นอาจจะต่างกัน  แต่สุดท้ายก็จะไปสู่สิ่งเดียวกัน  ครั้งล่าสุดที่ข้าพเจ้าไปภาวนากับหลวงพ่อธี  ภายหลังการนั่ั่งสมาธิดูรูปปรมัตถ์คือดูสภาวะอาการของดิน น้ำ  ลมไฟ ข้าพเจ้าก็พบว่า  สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในบางขณะเหมือนวัชรยานสายคากิวอย่างไรไม่รู้  ข้าพเจ้าไม่มีภูมิธรรมอะไรมากมาย  ไม่รู้พระอภิธรรมหรือพระไตรปิฎก ที่ลึกซึ้ง แต่ส่วนหนึ่งนั้นข้าพเจ้าเรียนรู้จากการปฎิบัติ  จากสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น  การจะบอกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดข้าพเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด ยิ่งถ้าจะให้กล่าวออกมาเป็นถ้อยคำหรืออธิบายในเชิงทฤษฎีอภิธรรมระดับสูง  ข้าพเจ้าก็ไม่อาจกล่าวอธิบายออกมาได้เช่นกัน 

 

ความคิดเห็นของข้าพเจ้า  คำกล่าวของข้าพเจ้าหลายๆอย่าง ก็อาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปรากฏก็คือ ภายหลังการภาวนา  ข้าพเจ้ามีความเบิกบานในชีวิต ปล่อยวางความยึดถือในสิ่งต่างๆ และมีความสุขในปัจจุบันขณะมากขึ้น  แถมคิดเห็นไปว่าเคล็ดลับแห่งการบรรลุธรรมที่แท้จริงนั้น ก็คือการกลับมาอยู่ในปัจจุบันขณะให้มากที่สุด  มีสติรู้ตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะนั่ง  จะยืน  จะเดิน หรือจะทำอะไรก็ตาม  นั่นคือการมีความเบิกบานในทุกขณะของชีวิต  ยิ้มรับกับความทุกข์และความสุข  ไม่ยึดเหนี่ยว ไม่แทรกแซง  เมื่อเรารู้็ลงปัจจุบัน มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่ตัดสินไม่ยึดถือ  และวางใจเป็นกลางได้  ไม่เลือกข้าง ไม่แยกฝ่าย ไม่มองอะไรเป็นทวินิยมจนเกินไป  เท่านี่ชีวิตก็ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องทุกข์มาก   เราไม่จำเป็นต้องหนีทุกข์ และไม่ต้องแสวงหาสุขอื่นใด  แค่ดำรงอยู่ตรงนั้นที่นั่นอย่างแท้จริงทุกลมหายใจเข้าออก  และมีชีวิตอยู่แบบพร้อมที่จะตายได้ทุกขณะ และเมื่อหมดลมวันใด ก็จะไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ  ว่ายังไม่ได้ทำอะไรอีก  ข้าพเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นนั้น   ดังนั้นเท่าที่ผ่านมาเกือบสามปีเส้นทาง การภาวนาของข้าพเจ้าอาจจะแตกต่างจากเส้นทางของใครหลายๆคน 

 

แต่นั่นก็เป็นเพียงเส้นทางหนึ่งที่เป็นไปได้สำหรับคนคนหนึ่ง      แล้วอย่างไรล่ะ ? ภายหลังที่มีกรณีเรื่องราวของหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งข้าพเจ้าก็นับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคารพอย่างมากมาย  ไม่แพ้อาจารย์ท่านอื่นๆ   ข้าพเจ้าได้เกิดความสงสัยอยู่ในใจ ..    เปล่าข้าพเจ้าไม่ได้สงสัยในตัวของหลวงพ่อปราโมทย์  แต่ข้าพเจ้าสงสัยว่า เหตุใดผู้คนหมู่หนึ่งถึงได้ว่ากล่าวและวิจารณ์คำสอนของท่่าน และบางส่วนก็เป็นลูกศิษย์ที่เคยใกล้ชิดของท่านเอง   เมื่อข้าพเจ้าไปอ่านข้อคิดเห็นของท่านเหล่านั้น ก็พบว่าความคิดเห็นหลายข้อมีอะไรที่น่าสนใจทีเดียว  และบางท่านกล่าวอ้างถึงอภิธรรมขั้นสูง  ที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่   แต่พอได้อ่านดูแล้ว น่าเชื่อถือทีเดียว   ถ้าข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ภาวนา  เป็นเพียงชาวพุทธตามใบทะเบียนบ้านอย่างแต่ก่อน ข้าพเจ้าคงจะคล้อยตามอย่างไม่ต้องสงสัย  เพราะหลักการและเหตุผลรวมทั้งถ้อยคำที่ใช้กล่าวอ้าง   ช่างน่าเชื่อถือยิ่งนัก  

    

 

แต่ข้าพเจ้าต้องขอบคุณคำสอนของฝ่ายมหายาน  ขอบพระคุณหลวงปู่ติช นัท ฮันห์  ที่สอนเรื่องการไม่แบ่งแยก  สอนเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง    ความสืบเนื่อง  ความแปรเปลี่ยน   ความเป็นอนิจจัง   และหลักแห่่งความเป็นอนัตตาของหลวงพ่อธี  หลักแห่งการละทิ้งตัวกูของกู ของท่านพุทธทาส  และหลักแห่งการไม่ตัดสินของท่านตรุงปะ  รวมทั้งหลักแห่งความเมตตากรุณาของท่านดาไล ลามะ   ที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนขึ้น    

ในปรากฏการณ์นี้ ข้าพเจ้าไม่ได้สับสนและ ไม่ได้หวั่นไหว  กับเรื่องราวที่ปรากฏ  แถมข้าพเจ้ายังคงศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์  ท่านยังคงเป็นครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้าจะเคารพนับถือต่อไป  เพราะสิ่งที่ปรากฎ สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นจากการภาวนาตามคำสอนของท่าน ประจักษ์แก่ใจข้าพเจ้าและท่านคือครูผู้หนึ่งที่มีความเมตตามากมาย ที่สั่งสอนเราทั้งหลายในการก้าวเดินไปบนหนทางภาวนาเส้นนี้  และท่านเป็นครูสายเถรวาทรุ่นใหม่ที่ใช้หลักคำสอนง่ายๆ ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ดีขึ้น  และได้นำพาคนหนุ่มคนสาวเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนามากมายทีเดียว 

เพราะในขณะที่ชาวพุทธทั้งหลายกลายเป็นชาวพุทธตามใบทะเบียนบ้าน และคิดเห็นไปว่าการภาวนา การเข้าวัดกลายเป็นเรื่องที่ล้าสมัย  แถมหลายๆคนเลิกสนใจในศาสนาและเรื่องราวของจิตวิญญานกันไปแล้ว แต่หลวงพ่อปราโมทย์คือครูบาอาจารย์ที่นำพาคนรุ่นใหม่เข้าสู่วิถีนี้   และทำให้เกิดการตื่นรู้มากมาย และทำให้คนวัยหนุ่มสาวเห็นคุณค่าของการภาวนามากขึ้น   

แม้จะมีหลายครูบาอาจารย์และมีหลายสายการปฎิบัติ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สับสน และยังเชื่อมั่นในตัวท่าน  แม้ข้าพเจ้าจะแอบเป็นศิษย์อยู่ห่างๆ และอยู่ปลายแถวมากๆ  ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อมั่นในคำสอนที่ท่านนำมาชี้แนะสั่งสอน  และจะเป็นศิษย์ของท่านตลอดไป  

 

การเรียนรู้มากมายหลายสายการปฎิบัติ อาจจะทำให้สับสนได้ นั่นก็จริงอยู่  แต่การที่ใครสักคนอยู่ในสายการปฎิบัติเดียว และมีอาจารย์เพียงคนเดียว  แต่ยังสงสัยในตัวอาจารย์  ยังคาดหวังมากมายในตัวอาจารย์ นั่นอาจจะหมายถึงว่า กำลังเกิดความสับสนบนหนทางแห่งภาวนาของคนผู้นั้นแล้วก็เป็นได้ เพราะครูบาอาจารย์คือแรงบันดาลใจ แต่ไม่ใช่บุุคคลที่เราจะไปยึดถือ   และไปตรวจสอบท่าน    เพราะสุดท้ายแล้ว ..เราต้องเป็นครูของตัวเราเอง ..

อย่างไรไม่รู้ ข้าพเจ้านึกถึงคำถามของพระลูกศิษย์ที่ถามหลวงพ่อชาขึ้นมาได้  และคำถามและคำตอบนั้นมีดังนี้

คำถาม  .. ท่านอาจารย์มีความเห็นเกี่ยวแก่วิธีปฏิบัติ(วิธีภาวนา)วิธีอื่นๆอย่างไรครับ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์มากมาย และมีหลายแนวทางการทำสมาธิ

ำตอบวิปัสสนาหลายแบบ จนทำให้สับสน มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย  โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น  ไม่ว่าท่านจะเดินทางสายหนึ่งสายใด  เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู่เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น  ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว  ก็ต้องปล่อยแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย  ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์  แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  ท่านอาจจะอยากเดินทางเพื่อศึกษาอาจารย์อื่นอีก  และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี้เป็นความต้องการ ตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่าแม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆก็แล้ว  ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจจะธรรมได้  ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย  ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตใจของท่านเองเท่านั้น   ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่แสวงหาออกไปนอกตัวเอง  ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะได้..

นี่คือแสงเทียนช่วยส่องทางของหลวงพ่อชา และช่วยให้ข้าพเจ้าผ่านพ้นความสับสนมาได้บนเส้นทางนี้ ..

 

คำสำคัญ (Tags): #ความสับสน
หมายเลขบันทึก: 330768เขียนเมื่อ 25 มกราคม 2010 01:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เข้ามาอ่านครับ ได้ความรู้และข้อคิดต่างๆมาก ครับ

....เป็นบุญ..(คิดแบบชาวบ้านเกือบธรรมดา)...อ่านแล้วอุ่นใจ...ที่มีผู้เข้าใจในวิถีธรรม..โดยตนเองและถ่องแถ้แน่วแน่...มีเพื่อนคิดและเข้าใจ....ขอแสดงความยกย่องมา ณที่นี้ ค่ะ....ยายธี

สาธุ จ้า ... ธรรมมี เห็นธรรมได้เพราะครูบาอาจารย์ แต่ถึงธรรมได้เพราะตนเท่านั้น

สาธุสำหรับความคิดเห็นนะครับ

ผมเองก็สนใจการปฏิบัติโดยศึกษาจากหนังสือ CD mp3 และ ครูบาอาจารย์ทั้งหินยาน มหายาน และ วัชรยานครับ

ในส่วนตัวผมก็เป็นลูกศิษย์ระยะไกลของหลวงพ่อเช่นกันครับ

มีหนังสือหลายเล่ม cd หลายแผ่น และ เคยไปฟังธรรมกับท่านน่าจะมากกว่า 15 ครั้งครับ

ผมนับถือท่านมากที่เป็นครูทางธรรม สอนให้เจริญสติ และ นำพาให้ผมเข้าสู่หนทางภาวนา

ทำให้ผมได้สัมผัสธรรมที่ปัจจัตตังในทางปฏิบัติได้บ้างที่สามารถรู้ได้เฉพาะตน

แม้วันนี้จะมีเรื่องราวที่สับสนปรากฎ ผู้รู้น้อยอย่างผมคงไม่สามารถมีความเห็นในกรณีนี้ได้ครับ

แต่ผมก็จะยังมุ่งมั่นภาวนา และ ศึกษาเรียนรู้ คู่ปฏิบัติต่อไปด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัยครับ

ธรรมรักษานะครับ...

สาธุครับ

กำลังอยากรู้อยากเห็น

และลืมกาย ลืมใจบ่อย ^^

พอได้อ่าน คำตอบของหลวงพ่อชา ก็เกิดความสว่างทันทีครับ

ขออนุญาต แปะไว้อีกทีครับ ^0^

ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตใจของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่แสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะได้..

คิดเหมือนกันเลยพี่ยา แต่ทึ่งพี่ยามากที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้นุ่มนวลมาก

สาธุๆๆ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท