เมื่อเช้าตื่นสายมาก อันเป็นการตื่นที่ปลดปล่อยให้ตนเองได้หลับใหลไปตามสภาพของร่างกาย ตื่นเมื่อไรก็เมื่อนั้น ... และนึกได้ว่าสายๆ จะต้องออกไปส่งเพื่อนกลับ กทม. ไม่น่าเชื่อนะว่า "การมาเรียนหลักสูตร Ph.D ที่ มข." นี้จะมีมิตรภาพที่ดีดีเกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนาน เป็นความเกี่ยวเนื่องผูกพันอย่างที่ไม่เคยปล่อยมือจากกันไป...
นี่แหละ...ปรากฏการณ์ของคำว่า "กัลยาณมิตร"...
(ตอนเรียนใบแรกนั้น มีเรียนกันแค่สามคน เสียชีวิตระหว่างเรียนหนึ่งคนด้วยโรคมะเร็ง)
อากาศที่ขอนแก่นครึ้มๆ นิดๆ แต่ก็ไม่มีฝนตก
ส่งเพื่อนเสร็จก็แวะร้านตะวันทอง หลังปีใหม่ที่ร้านจัดใหม่ ดูเป็นทางการขึ้น แต่ก็พอน่านั่งอยู่บ้าง ซื้อของใช้ที่จำเป็นเช่นกาแฟดีท็อค... และขมิ้นชัน ยาสระผมมะกรูด พอจบรายการ แต่ก็ได้หนังสือแถมติดไม้ติดมือมาเล่มหนึ่ง... เดินออกจากร้านนึกได้ว่าลืมทานข้าว จึงเดินกลับไปพี่อ๋อย...ถามว่าลืมอะไร ก็เลยบอกว่าลืมทานข้าว วันนี้ขี้เกียจทำกับข้าว ไหนๆ ก็มาที่ร้านแล้วซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปด้วยดีกว่า
ค่อนข้างชอบร้านนี้นะ...เดินเข้าเดินออกร้านนี้มาหลายปีแล้วจนคุ้นเคย
กลับเข้าบ้านก็รีบ...บริโภคหนังสือที่ซื้อมาทันที อ่านไปอ่านมาชักง่วง ก็เลยงีบหลับไปอีกครั้ง โห...ยาวเลยตื่นอีกทีบ่ายสอง งง... หลับไปได้ไงเนี๊ยะ อาการคล้ายน๊อตหลุด แต่น่านะ ก็ยังสดชื่นอยู่...พอใช้ได้ สงสัยอากาศดีน่านอน ลุกขึ้นมาจัดการทำความสะอาดบ้าน...นึกไปถึงบทสนทนาที่ได้พูดคุยกันกับ ดร.หนึ่ง เรื่อง "สังคมวิทยา"...อะไรคือ รากเหง้าที่อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์ของมนุษย์บ้างนะ ครุ่นคิดไปเดิมทีตั้งใจจะลองเข้าไปเรียนรู้ ปร.ด.สาขานี้ดู แต่คิดอีกทีก็เบื่อ เหมือนฝึกฝนเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ความไม่เดิมก็ดีตรงที่ว่ารายละเอียดปลีกย่อยที่ได้เจอระหว่างเส้นทางการเรียนนี่สิ ท้าทาย "ใจ" ยิ่งนัก...
จัดบ้านสักพัก...อ้าว ง่วงอีกแล้ว ... อะไรกันเนี๊ยะ
ตัวขี้เกียจเล่นงานอย่างหนัก...
ลองดูสักตั้งจะเป็นไร ไม่สู้ไม่ต่อต้าน "นอนเลย"...ตื่นอีกทีก็มืด
ใจ...ที่ปรากฏขึ้น คือ ...ทำให้นึกถึงสภาวะจิตใจของใครอีกหลายๆ คนที่ใช้การนอนเป็นการหนี...หนีชีวิตที่ต้องเผชิญจริง หากแต่หลบเลี่ยงด้วยการนอน
สิ่งที่ผลักอยู่ภายใน...อันเป็นระดับ "มโนวิญญาณ" เป็นตัวผลักเราหรือเปล่า?
ตั้งเป็นโจทย์ไว้ก่อน...แต่เจตนาสำหรับวันนี้ คือ การปล่อยตนไหลไปตามห้วงแห่งวิถีดั่งกระแสน้ำที่ไหลไปตามพื้นที่ว่าง...ที่น้้ำนี้จะไหลพาไปได้...
นอนมากขนาดนี้ เริ่มตรวจสอบใจตนเองล่ะนะว่า "หมองไหม"...ไม่แน่ใจหาไม่เจอ อาจซ่อนไว้ดั่งเป็น "ไฟเย็น" หรืออาจเป็น "ไฟเงียบ" ที่เราหาไม่เจอ แต่ใจเท่าที่รับรู้ ก็ไปได้เรื่อยๆ... ไอ้เรื่อยนี่แหละ "สติ" ต้องกำกับอย่างรู้ตัวเลยล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวไหลไปตกที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้
"น่าเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป"...
กลับมาที่ลมหายใจเช่นเดิม...เจ้าทิพย์มาหา ก็เลยพาน้องไปทานข้าว กลับมาใช้งานต่อเลย จัดบ้าน...ช่วยพี่ ขยับนั้นนี่ ขนเคลื่อนย้าย และละทิ้งบางอย่างไป ... โอ..ค่อยยังชั่ว สะอาดตา โล่งตา...มากขึ้น ไม่ชอบบ้านรกรก ชอบแบบเป็นห้องโล่งเลยยิ่งดี ห้องโล่งที่พร้อมลากที่นอนมาวางลงนอนได้อย่างไร้ทิศทาง...
วันนี้...ถือว่าเป็นวันที่ไร้สาระมากๆ แต่กลับได้สาระ...มากเช่นเดียวกัน
บ้านสะอาดแล้ว ก็หาต้นไม้สวยๆมาวางไว้เพื่อความสดชื่นนะคะ
อ่านบันทึกนี้แล้วทำให้ติ๋ว นึกย้อนกับตนเองค่ะ เวลาติ๋วง่วงแล้ว งอแงไม่สู้ ทั้ง ๆ ที่ก็นอนมาเยอะแล้ว พอตื่นมาเป็นเฉื่อย ๆ หมอง ๆ เจ้าค่ะ สะดุ้งอีกทีก็ตอนนาฬิกาบอกเวลา เหมือนมันเตือนออกมาว่า
"หนูโดนเจ้ากิเลสหลอกให้ขาดสติยาวนานอีกแล้ว"
เหมือนมันขโมยของมีค่าไปทีเดียวค่ะ
หนูทบทวนตนเอง ตอนไหนนะที่ชอบนอนเยอะ ๆ อืม วันนั้นมักจะเป็นวันที่หนูไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำอะไร เหมือนไม่มีเป้าหมาย จะเป็นอาการเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ประมาณนี้ค่ะ
แต่ถ้าวันไหน มีงาน หรือ ตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้ว จะไม่มีอาการง่วงหรืองัวเงียค่ะ
กราบขอบพระคุณบันทึกดี ๆ ของพี่กะปุ๋มค่ะ
(^_^)
น่าจะอาการน๊อตหลุด..ทางกาย
เพราะใจ...ยังแจ๋วๆ...อยู่ ตรวจสอบแล้วยังไม่พบความหมอง พอใช้ได้ แต่ก็อาจเซๆ บ้าง ถือว่ายังประคองตนเองอยู่ได้
คนเราส่วนใหญ่...มักใช้การหลับเป็นการหนี...
สังเกตได้ไม่ยาก ใช้วิธีเช๊คใจเรานี่แหละ แต่บางคนก็มีนะ ไม่หลับไม่นอนเลยก็มีเหมือนกัน ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จตายตัว...
หากใจยังเบิกบานผ่องแผ้ว...ได้ ถือว่า พอใช้ได้อยู่นะ
การฝึกภาวนากับลมหายใจ...หายใจเข้าสบายหายใจออกสบาย พอทำให้เรามีกำลังดำรงอยู่ได้ในโลกนี้นะ