มาให้กำลังใจค่ะ
คุณครูพี่อ้อยครับ
ดร.สุรัฐ ศิลปอนันต์ เคยเขียนบทความลงในมติชน ครับว่า
...ชอบแบ่งกลุ่มที่เป็นพิษ (ตามความสามารถ สูง-กลาง-ต่ำ) ชอบสอนแต่วิชาพื้นฐาน และจัดมาตรฐาน สำหรับเด็กเสียเปรียบทางเศรษฐสังคมไว้ต่ำ...(เป็นการฆ่าด้วยความกรุณา)
................
ดังนั้นจึงยังไม่เห็นด้วยกับคุณครูพี่อ้อยครับว่า ควรจัดเด็กให้แบ่งกลุ่มกันเรียน
ขอแสดงความคิดเห็นครับ ด้วยรัก
ขอบคุณค่ะ น้อง ครูจิ๋ว
สวัสดีค่ะ น้อง กานท์กวี
ลองดูเรื่องฮอร์โมนครับ ผมลองถามเด็กที่เรียนไกล้จะถูกให้ออกมาเป็นร้อยๆ แล้ว เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่กินข้าวเช้า จากเท่าที่ผมดูเรื่องฮอร์โมนมา ไม่กินข้าวเช้านี่สมองจะไม่ผลิตซีโรโตนิน ฮอร์โมนที่ช่วยเรื่องการเรียนรู้ครับ เด็กจะหดหู่ครับ เรียนอะไรก็ไม่ค่อยได้
ขอบพระคุณท่าน ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์ มากๆๆค่ะ
เด็กเก่งเรียนร่วมกับเด็กอ่อนเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเด็กแต่ละคนต่างมีศักญภาพในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ครูสามารถดึงศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมา
และสอนให้เกิดการยอมรับ ฝึกให้นักเรียนรู้จัก และนำศักยภาพของเพื่อนๆมาใช้เรียนรู้ร่วมกันค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ krutoiting
ขอบคุณมากค่ะ สุขภาพดีนะคะ
มาอีกครั้งครับคุณครูพี่อ้อย
สมใจคุณครูพี่อ้อยแล้วละครับ
กระทรวงกำลังจะคัดแยกเกรดคุณครูออกเป็น ๓ ระดับครับ
คือ ดี ปานกลาง แล้วก็ เอ่อ..ธรรมดา ธรรมดา
คุณครูพี่อ้อย คงจะถูกคัดเป็น ดีหนึ่งประเภทพิเศษ
ส่วน ผมคุณครูกานท์กวี คงจะเป็นประเภทสุดท้าย
แล้ว ชีวิตผมจะทำอย่างไรละครับ
เมื่อนักเรียนของผมรู้ว่า ผมถูกจัดอยู่ในประเภทที่ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ต้องพยายามเอาหน้าไว้ที่เดิมให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน
.............
คุณครูพี่อ้อยครับ
เด็กที่คิดว่า ตัวเองเป็นเด็กที่ถูกคัดว่าดี ความเป็นจริงไม่ดีหรอกครับ ผมสามารถที่จะบอดถึงผลเสียได้เป็นสิบสิบข้อ
เอาแค่ เด็กวิทย์ เด็กศิลป์ เด็กช่าง ก็ปวดหัวพอดูแล้ว
ส่วนเด็กที่คิดว่า ตัวเองถูกคัดเป็นเด็กแย่ ก็ยิ่งแย่ใหญ่ครับ
...........
แสดงความคิดเห็นมา ด้วยรักครับ
สวัสดีค่ะ น้อง กานท์กวี [IP: 222.123.44.200]
ดูสิ เจ้าตุ๊กตาตัวนี้ มองมาอีกแล้ว
สวัสดีค่ะครูอ้อยคะ แบ่งเด็กแล้วจะดำเนินการสอนอย่างไรคะอยากทราบเคล็ดลับจากครูอ้อยค่ะ
ครูขาในฐานะที่หนูยังเป็นเด็กนักเรียนหนูขอเสนอความคิดเห็นตามที่หนูคิดนะคะ หนูคิดว่าควรที่จะแบ่งกลุ่มค่ะ เพราะถ้านำมารวมกัน เด็กเก่งก็จะมีความคิดที่ว่าแทนที่พวกเค้าจะเรียนไปได้ไกลกว่านี้ แต่เค้ากลับต้องมารอเด็กอ่อนก็จะทำให้เค้าเบื่อแล้วก็ไม่อยากเรียนค่ะ เพราะเวลาเรียนครูก็จะย้ำเรื่องเดิมๆให้พวกเด็กอ่อนเข้าใจ ส่วนเด็กอ่อนเอง เมื่อเห็นเพื่อนๆเค้าเข้าใจกันแล้วแต่ตัวเองไม่เข้าใจ ก็จะไม่กล้ายกมือตอบคือเค้าจะอายเพื่อนค่ะ แล้วก็จะมาน้อยใจว่าทำไมเพื่อนถึงเข้าใจแล้วตัวเองถึงไม่เข้าใจ เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมา เด็กที่ได้แล้วเค้าอาจจะเกิดพูดกันในกลุ่มก็ได้ว่าทำไมเราต้องเรียนรอพวกเด็กอ่อนด้วย หรืออาจจะพูดอย่างอื่น แล้วถ้าเด็กอ่อนมาได้ยินเค้าก็จะยิ่งเสียใจ เพราะนอกจากเค้าเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว เพื่อนยังมาไม่ชอบอีก เค้าก็จะยิ่งน้อยใจตัวเอง ดังนั้นหนูจึงคิดว่าน่าจะแบ่งเป็นกลุ่มๆโดยที่เราสอนเด็กที่เรียนเก่งตามปกติ อาจหากิจกรรมให้เค้าทำบ้าง แล้วก็มาคิดหาวิธีที่จะสอนเด็กอ่อนว่าจะสอนเค้าอย่างไร อาจใช้เป็นสื่อคอมพิวเตอร์ ตัวการ์ตูน อย่งเช่นถ้าสอนเรื่อง เพรสเซ่น ซิมเพิล ก็อาจจะทำเป็นรูปพระอาทิตย์ขึ้นมาทางทิศตะวันออกเค้าดูว่านี่นะนักเรียน เพรสเซ่น ซิมเพิลใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเห็นไหมพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเป็นความจริง เป็นต้น
มีเพื่อนคนนึงเค้าเคยมาให้หนูช่วยติวภาษาอังกฤษเพื่อที่จะไปสอบต่อม.สี่ที่สตรีวิทยา๒ค่ะ เพื่อนคนนี้เค้าเก่งฟิสิกส์มาก หนูเลยลองนำวิชาฟิสิกส์มาประยุกต์ โดยบอกเป็นสูตรแล้วแทนค่า ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของบุคคลนั้นๆด้วยค่ะ ทั้งนี้พวกเค้ายังต้องการกำลังใจด้วยค่ะ ครูอาจให้เค้าไปท่องคำศัพย์ ฝึกให้เขียนศัพย์ แล้วก็แข่งเขียนตามคำบอกโดยอาจมีของรางวัลมาล่อใจเด็ก เช่นขนม โอย..ครูขา เด็กๆเห็นขนม แม้ว่าจะเป็นชิ้นเล็กๆก็เถอะ ตาก็ลุกวาวแล้วค่ะ ครูอาจจะบอกว่าถ้าใครเขียนถูกได้มากกว่ากี่คำก็ว่าไป..ครูจะให้ขนม แต่ห้ามลอกเพื่อน หรือแอบเปิดหนังสือดู ตอนนั้นหนูได้ไปเรียนพิเศษกับครูในหมู่บ้านค่ะ พอดีว่าเพื่อนหนูเรียนกับครูท่านนี้ตั้งแต่อนุบาล หนูก็เลยไปเรียนบ้าง ครูเค้าให้เล่นเกมส์ค่ะ คือเป็นเกมส์จับคู่ ท่านจะแปะรูปภาพกับฟิวเจอรส์บอร์ดที่ตัดไว้เป็นแผ่นเล็กๆพอดีกับรูป แล้วก็จะแปะคำศัพท์กับความหมายไว้อีกแผ่นนึง แล้วจะมีประมาณยี่สิบแผ่นได้ค่ะ คำศัพท์ก็จะมียี่สิบคำศัพท์ แล้วก็คว่ำลงกับโต๊ะให้เราแข่งกัน สมมติว่าเราเปิดได้รูปแอปเปิลหนูก็จะต้องบอกว่าคำศัพท์ของรูปนั้นอ่านว่าอะไร แล้วก็จะต้องเลือกเปิดอีกแผ่นถ้าเปิดได้คำว่าแอพเพิล พร้อมความหมายหนูก็จะต้องอ่านทวนอีกครั้ง ว่าแอพเพิล แปลว่าแอปเปิลแล้วก็ให้เก็บบัตรที่เราเปิดได้ไว้ในมือ แต่ถ้าหยิบใบที่สองแล้วเปิดออกมาเป็นรูปภาพหรือคำศัพท์อื่นๆก็จะต้องปิดบัตรคำศัพท์ลงเหมือนเดิม สุดท้ายคนที่เปิดได้มากที่สุด ก็จะได้รับรางวัล ครูอาจจะต้องชมเค้าเวลาเค้าตอบคำถามได้ หรือทำอะไรได้ ครูขา สิ่งที่เด็กๆใฝ่ฝันรองจาก พวกขนม ของเล่นฯลฯ ก็คือคำชมจากครูและผู้ปกครองนี่แหละค่ะ พอได้ยินแล้วมันดีใจ ชื่นใจ ได้ยืดต่อหน้าเพื่อนๆว่าได้รับคำชมจากครู วันนั้นทั้งวันหน้าบานเลยค่ะ อารมณ์ดีทั้งวันเหมือนคนบ้าไปเลย พอกลับไปบ้านก็จะไปอวดคุณพ่อคุณแม่ว่าวันนี้ครูชมหนูด้วยนะ ครูอาจจะบอกเค้าว่าเค้าอาจจะมีความสามารถมางด้านอื่นๆก็ได้ แล้วก็ให้เค้าลองหาพรสวรรค์ของเค้า อ้อ เด็กอ่อนจะเซ้นซิทีฟกับคำว่า "โง่" มากเลยนะคะครูขา เค้าจะจำฝังใจกับคำๆนี้มากๆเลยค่ะ
สาเหตุที่หนูเข้าใจจิตใจทั้งเด็กเก่งและเด็กอ่อนนั้นก็เพราะว่าหนูก็เคยเป็นค่ะ ตอนป.4-6 หนูไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษเลยสักนิด ศัพย์บางตัวอย่าง Father ยังเขียนไม่ค่อยจะถูกเลยค่ะครู มีความรู้สึกว่าอาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้แล้วทำไมเพื่อนๆถึงเข้าใจ แล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจ ต่อมาเลยทำให้ไม่อยากเรียนค่ะ แล้วก็จะกลายเป็นเกลียดวิชานั้นๆไปโดยปริยาย เมื่อถึงคาบของครูต่างชาติ ยิ่งหนักเลยค่ะ มีความรู้สึกว่า โอย..ครูขา แค่เรียนกับครูหนูก็จะไม่ไหวแล้วนะ นี่เราก็พูดกับเค้าไม่รู้เรื่องอีก โห..ชีวิตไม่มีความสุขเลยค่ะ พอถึงคาบนี้ทีไรได้แต่ภาวนาขอให้ออดหมดคาบดังเร็วๆ แต่ตอนนั้นในห้องมีเพื่อนหนูอยู่คนนึงเค้าเก่งภาษามาก เค้าคุยกับครูกันอยู่สามสี่คน เราก็นึกในใจว่าเค้าเก่งจัง หนูเลยอยากเก่งอย่างนั้นบ้างค่ะ เลยตั้งใจเรียนภาษาเสมอมา จนรู้ว่าภาษาไม่ได้ยากอย่างที่คิดต่อมาเมื่อหนูมาต่อระดับชั้นมัธยม หนูสอบได้ที่หนึ่งของสายชั้นในวิชาภาษาอังกฤษทุกเทอมค่ะ คะแนนเก็บหนูก็ได้เต็มร้อยทุกครั้ง หนูรู้สึกดีใจมากเลยค่ะครูที่ความพยายามของหนูเป็นผลสำเร็จ เพื่อนๆทั้งในห้องและต่างห้องต่างก็มาขอให้หนูช่วยสอน รู้สึกภูมิใจค่ะที่ได้ช่วยแบ่งปัญความรู้ให้กับเพื่อน แต่ครูคะหนูเคยประสบปัญหาอย่างนึงค่ะ คือหนูเข้าใจว่าครูทุกคนรักศิษย์อยากให้ศิษย์ได้คะแนนดีๆ ตอนม.ต้นที่หนูลงเรียนวิชาเพิ่มเติม(วิชาเลือกเสรี) หนูลงวิชาภาษาอังกฤษตามที่หนูชอบ กับภาษาจีนค่ะ ปรากฏว่าคะแนนเก็บรวมทั้งเทอมจะต้องแต็มร้อย แต่คะแนนของหนูได้ร้อยยี่สิบค่ะครู คือหนูได้เต็มทุกช่อง พอดีว่าอาจารย์ท่านอยากจะช่วยลูกศิษย์ ก็เลยมามีปัญหากันที่คะแนนหนูค่ะที่เกินร้อยอยู่คนเดียว หนูเลยอยากจะบอกครูว่าในบ้างครั้งการช่วยลูกศิษย์ก็เป็นเรื่องดี แต่พอช่วยมากไปอาจเกิดเหตุการณ์อย่างหนูขึ้นได้
เมื่อสักครู่หนูได้อ่านความคิดเห็นด้านบนค่ะ ที่บอกว่าเด็กที่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่ถูกคัดว่า ความเป็นจริงแล้วไม่ดี คือหนูคิดว่า ไม่มีอะไรที่มีแต่สิ่งดีอย่างเดียวหรือไม่ดีอย่างเดียวหรอกค่ะ มันจะต้องมีปะปนกันไป ถ้าเราคัดเด็กที่เรียนดีมาไว้ด้วยกันเค้าก็จะแอ็คทีฟมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้คะแนนดีๆ นั่นจะทำให้เค้าขยันเรียนมากยิ่งขึ้นใส่ใจกับชิ้นงานที่ครูสั่งมากยิ่งขึ้นเพราะชิ้นงานทุกชิ้นที่ครูสั่งนั้นหมายถึงคะแนนเก็บที่จะได้รับ แต่เราก็จะต้องแทรกด้วยกิจกรรมเพื่อให้เด็กผ่อนคลายไม่เครียดมากเกินไป ให้กิจกรรมที่ทำเป็นกลุ่มบ้างเพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม
ส่วนเรื่องเด็กวิทย์ เด็กศิลป์ เด็กช่าง แน่นอนค่ะว่ามันต้องต่างกันอยู่แล้ว หนูขอกล่าวความคิดของหนู ที่หนูได้ประสบมาตั้งแต่ม.ต้นนะคะ คือหนูเป็นเด็กห้องคิงตั้งแต่ม.หนึ่งค่ะ หลายคนบอกว่าเด็กห้องคิงเห็นแก่ตัว มีหลายคนบอกว่าหนูหยิ่งทั้งๆที่ยังไม่รู้จักหนูด้วยซ้ำ คือหนูจะไม่ค่อยพูดน่ะค่ะ เป็นคนเงียบๆ เค้าเลยมองว่าหนูหยิ่งมั้ง ส่วนเรื่องที่บอกว่าเด็กเก่งมักจะเห็นแก่ตัว หนูเห็นด้วยบางส่วนค่ะ บางคนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่..ความจริงแล้วพวกหนูส่วนใหญ่ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนี้เลย สภาพแวดล้อมทั้งด้านครอบครัวก็ดี ครูก็ดี หรือเพื่อนก็ดี เป็นปัจจัยที่หนึ่งทำให้พวกเราต้องทำอย่างนั้น ยกตัวอย่างนะคะ วันแรกของการเปิดเทอมพวกเราจะมายืนหน้าประตูตอนตีห้าค่ะครู (ยามยังไม่เปิดประตูเลยค่ะ ) ถามว่าไปทำไมเช้าขนาดนั้น เพื่อแย่งที่นั่งด้านหน้าสุดค่ะครู ถ้ามาถึงโรงเรียนหกโมงเช้านู่นค่ะ หลังห้องแล้วอาจารย์ก็ไม่ค่อยจะเดินมากัน เวลาสงสัยเราจะถามไม่สะดวกค่ะ และก็จะฟังไม่ค่อยได้ยินเหมือนเราอยู่หลังเขาน่ะค่ะ ยังไม่พอพอออดคาบเรียนดัง พวกเราจะเปรียบดังว่าจะไปแข่งวิ่งโอลิมปิก วิ่งกันเร็วเหลือเกินเพื่อแย่งที่นั่งข้างหน้าสุดในวิชาถัดไป วันแรก..ในขณะที่ห้องอื่นเค้าแนะนำตัวระหว่างครูกับลูกศิษย์ (ของหนูเค้าคละเกรดทุกปีค่ะ) ห้องหนูอาจารย์เดินเข้ามา เอ้า..นักเรียนดูชื่อครูในตารางสอนแล้วกันนะคะ เปิดหนังสือๆ วันนี้เราจะมาเริ่มเรียน... เรียกถามคำถาม พอตอบไม่ได้ ก็มาว่าเรานี่เธอแค่นี้ยังตอบไม่ได้ ครูนึกว่าพวกเธอกลับไปอ่านหนังสือกันทุกเล่มทุกหน้าแล้วนะเนี่ย โห..ครูขา พวกหนูก็คนนะ ถึงหนูจะขยันกันขนาดไหนแต่หนูก็ต้องมีที่ไม่เข้าใจกันบ้างสิคะ ไม่อย่างนั้นหนูจะมาเรียนกันทำไม บางวิชาเดินเข้ามา นักเรียนยินดีต้อนรับเปิดเทอม เอาสมุดขึ้นมาสอบเก็บคะแนน... เผลอๆมีของแถม นักเรียนไปสรุปเนื้อหาในหนังสือทั้งเล่มใส่สมุดมานะ ให้เวลาสามวัน อะไรนะคะครู เวลาสอบคะแนนเต็มยี่สิบห้องอื่นเค้าคาบเส้นสิบ ห้องหนูคาบเส้นสิบแปดค่ะครู แต่อีกห้องนึงคาบเส้นสิบเก้า (มีห้องคิงสองห้อง ) เค้าบอกว่าถ้าคะแนนต่ำกว่าสิบหกก็น่าจะพิจารณาตัวเองได้แล้ว... การเป็นเด็กเรียนก็ดีค่ะภูมิใจว่าเราทำได้ ที่บ้านก็ภูมิใจ ครูก็ดีใจที่สอนเด็กแล้วเด็กเข้าใจ แต่..ยิ่งเราเรียนเก่ง เราก็จะยิ่งเป็นที่คาดหวังมากเท่านั้น กดดันค่ะ เครียดมาก งานพวกเราก็เยอะกว่าห้องธรรมดาถึงสองสามเท่าอยู่แล้ว ยิ่งมีคนมาคาดหวังกับเราเพิ่มมากขึ้น เวลามีงานก็มาเอาห้องเรา เข้าใจค่ะ ให้เหตุผลว่าห้องเราเป็นเด็กดีจะได้ไม่อายแขกที่มา เพื่อนบางคนเครียดจนเกือบจะชักต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาลเลยล่ะค่ะ
เรื่องเด็กวิทย์ เด็กศิลป์ เด็กช่าง หนูคิดว่าเราควรทำความเข้าใจกับพวกเค้า ว่าคนแต่ละคนย่อมมีความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อเติมเต็มในด้านต่างๆ ถ้าสมมติเรามีความสามารถทางด้านแพทย์กันหมด แล้วใครจะปลูกข้าวให้เรากินล่ะคะ ใครจะสร้างบ้านสร้างอาคาร ใครจะทำกับข้าว ใครจะตัดเย็บเสื้อผ้าให้เรา เวลารถเสียใครจะซ่อมให้ ฯลฯ
ส่วนเด็กอีกกลุ่มที่เราคัดไว้ จริงค่ะเด็กที่ถูกคัดว่าแย่ ย่อมจะต้องคิดว่าตัวเองแย่ แต่ก็ลองปลูกฝัง ลองคุยกับเค้าว่าแล้วหนูไม่อยากเรียนเข้าใจแบบเค้าบ้างหรอ ไม่ต้องถึงกับเก่งค่ะ แค่เข้าใจก็พอแล้ว ลองชักจูงให้เค้าอยากจะเรียนได้อย่างเพื่อนๆ บอกว่าบางทีเราอาจจะมีบางอย่างที่เราเก่งกว่าพวกนั้นก็ได้ ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้จะมีมนุษยสัมพันธ์ดีค่ะ เข้ากับเพื่อนที่คล้ายๆกันได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะต้องบอกกับเด็กที่เรียนเก่งว่า อย่าได้คิดว่าตัวเองเก่งแล้วเที่ยวโอ้อวด เหนือฟ้ายังมีฟ้า ขนาดในห้องยังมีที่หนึ่ง แล้วข้างนอกมีเด็กที่อีกกี่ร้อยกี่พันที่เราจะต้องแข่งด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราจะต้องชนะตนเอง สมมติว่าคะแนนเต็มยี่สิบ ทำได้สิบแปด ครั้งต่อไปลองตั้งเป้าหมายไว้สิ ว่าครั้งหน้าจะต้องทำให้ดีกว่านี้ แต่ในกรณีบางราย เช่นเพื่อนๆ น้องๆหนู ทำข้อสอบแล้วไม่ได้คะแนนเต็มร้องห่มร้องไห้ซะเกือบชัก อันนั้นก็เกินไป บางคนบอกปัญญาอ่อน แต่ในสังคมย่อมมีการแข่งขัน เมื่อตอนที่หนูยังอยู่ชั้นประถม หนูรู้จักแต่โลกที่สวยงาม ทุกอย่างดีไปหมด ได้รับการดูแลอย่างดีจากครู และผู้ปกครอง เพื่อนๆก็รักกันมากมาย แต่เมื่อหนูได้ขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นที่สูงขึ้น มันทำให้หนูได้มีทัศนคติในการคิดเพิ่มมากขึ้น เมื่อมาอยู่โรงเรียนใหม่ แน่นอนต้องมีเพื่อนใหม่ แต่ละคนมาจากหลากหลายที่ร้อยพ่อพันแม่ นิสัยใจคอ กริยาท่าทาง การพูดย่อมต่าง เมื่อมาอยู่ที่นี่ทำให้หนูได้เข้าใจคำพูดที่ว่า "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร" อย่างถ่องแท้ เมื่อมีโอกาสแน่นอนเราต้องฉวยมันไว้ แต่โอกาสก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างอยากได้ เมื่อทุกคนต่างอยากได้ก็ต้องแย่งชิง มีคนเคยถามหนูว่า ทำไมคนเก่งถึงไม่เกื้อกูลคนอ่อน หนูก็เลยถามเค้ากลับไปว่าแล้วคนอ่อนได้ลองดิ้นรนพยายมแล้วหรือยัง หรือว่ายังจมปลักอยู่กับคำพูดของคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามา หนูคิดว่ายิ่งโดนดูถูก ยิ่งต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ แต่ถ้าเราลองพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จก็ให้ภูมิใจว่าอย่างน้อยเราก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว หนูคงจะไม่กล้าพูดว่าไม่ต้องไปสนใจเสียงรอบข้าง เพราะเราทำไม่ได้หรอกค่ะ แต่เราน่าจะนำมาเป็นแรงที่เราจะฮึดสู้ เพราะถ้าเรามัวจมอยู่กับอดีต ก็เหมือนเรากำลังย่ำอยู่กับที่ในบ่อโคลน ในขณะที่คนอื่นพยายามที่จะก้าวต่อไปแม้เพียงนิดเดียวก็ตาม แต่ไม่นานเค้าก็จะขึ้นจากบ่อโคลนนั้นได้ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มัวแต่คิดยึดติดกับคำพูดที่บั่นทอนจิตใจของเรา ก็เหมือนกับเรายืนอยู่เฉยๆในบ่อโคลน ไม่ช้าเราก็จะโดนโคลนดูดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เราก็จะไม่มีวันที่จะได้ขึ้นมาจากบ่อโคลนนั้นได้อีกเลย บ่อโคลนนี้หนูคิดว่ามีอยู่ในจิตใจของคนทุกคนค่ะ
และส่วนที่สำคัญต่อด้านจิตใจของเด็กก็คือทางบ้านค่ะ ทางบ้านต้องให้กำลังใจกับเค้าเยอะๆ หมั่นถามถึงการบ้าน เรื่องเพื่อน เรื่องเรียน ถ้ามีเวลาสอนการบ้าน หรือสอนอ่านเขียนให้เด็กจะดีมาก เพราะว่าเด็กจะรู้สึกว่าได้รับการใส่ใจ แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ทางบ้านไม่ค่อยมีเวลาให้เด็กแล้วค่ะ หนูเข้าใจเศรษฐกิจบ้านเราก็ไม่ดี อยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง ของขึ้นราคาทุกอย่าง ค่าครองชีพในเมืองก็สูง ในจะค่าผ่อนบ้าน ฯลฯ หนูก็เคยเป็นอย่างนี้ค่ะ ตอนเล็กๆคุณแม่หนูไปทำงานต่างประเทศแปดปี หนูไม่ได้เจอหรือคุยกับคุณแม่เลยตลอดระยะเวลาแปดปี ส่วนคุณพ่อก็เลิกกับคุณแม่ตั้งแต่หนูอายุไม่กี่เดือน แต่หนูก็เห็นเด็กที่เค้าด้อยโอกาสกว่า เค้าอยากเรียนแต่ไม่ได้เรียน หนูมีบุญได้เรียนโรงเรียนดี มีชื่อเสียงอีกต่างหาก หนูเลยตั้งใจเรียนค่ะ แต่อย่างที่บอกเรียนเก่งมากไปก็ไม่ใช่ว่าจะดี ทุกวันนี้ที่บ้านหนูเค้าอยากให้หนูเป็นหมอค่ะ อย่างที่หนูเคยเรียนให้ครูทราบ แต่ว่าสุขภาพหนูไม่ดี หนูเป็นภูมิแพ้ค่ะ กระดูกไม่แข็งแรงอีกต่างหาก หนูบอกเค้าว่าหนูอยากเป็นครูค่ะ อยากถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆอนาคตของชาติรุ่นต่อๆไป เค้าขอร้องจนแทบจะกราบหนูว่าขอให้อาชีพครูเป็นทางเลือกสุดท้ายที่หนูจะทำ เพราะเค้าเสียดายความรู้ของหนู เค้าบอกว่าเห็นคนไม่มีอะไรทำมาเป็นครูกันเยอะแสดงว่าเรียนครูมันง่าย หนูบอกเค้าว่าแล้วถ้าคนมีความรู้ไปทำอย่างอื่นกันหมด แล้วใครจะมาสอนคนรุ่นต่อๆไปล่ะ หนูไม่อยากจะให้คนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วไม่มีใจรักในการเป็นครูมาสอนเด็ก เพราะเค้าก็จะแค่สอน แต่เค้าจะมาสนใจเด็กหรือ เค้าก็คงจะทำๆไปเพื่อรอรับเงินเดือนเมื่อตอนสิ้นเดือน หนูคิดว่าเป็นครูนี่มีเกียรติยิ่งกว่าหมอซะอีก เป็นครูเดินไปไหน แม้แต่ไปเดินตลาดลูกศิษย์มาเจอทักครูคะสวัสดีค่ะ เป็นหมอเดินไปในตลาดมีไหมมีคนมาทักคุณหมอสวัสดีค่ะ ไม่มีอะ ถึงแม้ว่าจะเป็นหมอก็ต้องมีครู เป็นหมอได้เงินดีไม่ตกงานก็จริง เวลาผ่าตัดพลาดเกิดเจอคนที่เค้าไม่ยอมโดนฟ้องล้มละลาย ถ้าได้เงินเยอะคนไข้มาหาตลอดไม่มีเวลาพักเงินที่ได้มาถามจริงจะเอาไปใช้อะไร อาจส่งให้พ่อแม่กินใช้ บ้านถ้าซื้อไว้จะได้อยู่ไหม ครอบครัวนี่ไม่ต้องพูดถึงไม่มีเวลาให้อยู่แล้ว เป็นครูเงินเดือนพอมีพอกิน แต่พอเลิกงานกลับบ้านอยู่กับครอบครัวมีความสุข มีเงินส่งให้พ่อแม่กิน มีเวลาไปเยี่ยม แถมเอาสิ่งที่เราเรียนมาสอนลูก สอนหลานให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย เป็นหมออยู่ในโรงพยาบาล เสี่ยงติดเชื้อง่าย เดี๋ยวนี้หนูถามเด็กแพทย์ เห็นว่าจะซิ่วหลายคน เค้าบอกเดี๋ยวนี้โรคแปลกๆเยอะคนเริ่มไม่อยากเป็นแพทย์ บางส่วนกลัวอาจารย์ใหญ่ ต้องเสียเวลาเรียนไปอีกหนึ่งปี แต่เป็นครูภูมิแพ้เต็มๆ ฝุ่นช็อค โรคทางเดินหายใจ ปัญหาเกี่ยวกับกล่องเสียง แต่เพื่อเด็กครูทนได้.. มีไหมหมอเห็นคนไข้ไม่มีเงิน หมอรักษาให้ฟรี อาจมีแต่น้อยมาก หรือหมอเห็นเด็กไม่มีตังกินข้าวเคยให้เงินไหม มีน้อยนะ แต่ครูทนได้ไหม ที่จะเห็นลูกศิษย์นั่งมองเพื่อนตัวเองกินข้าว ครูทำไม่ได้ หนูไม่ได้ว่าว่าอาชีพหมอไม่ดี อาชีพหมอช่วยชีวิตคน ถ้าไม่มีหมอใครจะมารักษาเราล่ะ ถ้าหนูสุขภาพแข็งแรงหนูก็คงจะเรียนหมอให้กับที่บ้านได้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาชีพที่หนูชอบนักก็ตาม เอาล่ะหนูนอกเรื่องมาซะนาน หนูแค่อยากจะบอกว่าที่บ้าน ได้โปรด อย่านำบุคคลอื่นๆ ลูกบ้านอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเด็กเด็ดขาด มันเสียใจมากนะคะ น้อยใจว่าทั้งที่เราพยายามแล้ว หนูโดนการเปรียบเทียบอย่างนี้มาตลอดค่ะ จนปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ หนูเลยอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกของเด็กๆออกมาเท่านั้น แต่อันนี้คงจะต้องขอความร่วมมือกับทางผู้ปกครอง
นี่เป็นแค่ความคิดเห็นในแง่มุมความคิดของหนูเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีความคิดที่ดูแล้วผิดบ้าง แตกต่างบ้าง หนูรู้ว่าหนูยังเด็กยังมีโลกทัศน์ที่แคบนัก และยังจะต้องออกไปเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน หรือเรื่องต่างๆอีกมากมายแต่หนูแค่อยากจะเสนอความคิดในแง่มุมของหนูแค่นั้นเอง ถ้าข้อความ ประโยคหรือคำพูดใดของหนู ทำให้ผู้อ่านท่านใดไม่พึงพอใจหนูก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ปล.ครูคะหนูจะอธิบายกับที่บ้านเรื่องที่จะเป็นครูอย่างไรดีคะ
ปล.๑ ครูอย่าคิดมากนะคะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ
ด้วยรักและเคารพ
ศิษย์ของครู
ครูขาในฐานะที่หนูยังเป็นเด็กนักเรียนหนูขอเสนอความคิดเห็นตามที่หนูคิดนะคะ หนูคิดว่าควรที่จะแบ่งกลุ่มค่ะ เพราะถ้านำมารวมกัน เด็กเก่งก็จะมีความคิดที่ว่าแทนที่พวกเค้าจะเรียนไปได้ไกลกว่านี้ แต่เค้ากลับต้องมารอเด็กอ่อนก็จะทำให้เค้าเบื่อแล้วก็ไม่อยากเรียนค่ะ เพราะเวลาเรียนครูก็จะย้ำเรื่องเดิมๆให้พวกเด็กอ่อนเข้าใจ ส่วนเด็กอ่อนเอง เมื่อเห็นเพื่อนๆเค้าเข้าใจกันแล้วแต่ตัวเองไม่เข้าใจ ก็จะไม่กล้ายกมือตอบคือเค้าจะอายเพื่อนค่ะ แล้วก็จะมาน้อยใจว่าทำไมเพื่อนถึงเข้าใจแล้วตัวเองถึงไม่เข้าใจ เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมา เด็กที่ได้แล้วเค้าอาจจะเกิดพูดกันในกลุ่มก็ได้ว่าทำไมเราต้องเรียนรอพวกเด็กอ่อนด้วย หรืออาจจะพูดอย่างอื่น แล้วถ้าเด็กอ่อนมาได้ยินเค้าก็จะยิ่งเสียใจ เพราะนอกจากเค้าเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว เพื่อนยังมาไม่ชอบอีก เค้าก็จะยิ่งน้อยใจตัวเอง ดังนั้นหนูจึงคิดว่าน่าจะแบ่งเป็นกลุ่มๆโดยที่เราสอนเด็กที่เรียนเก่งตามปกติ อาจหากิจกรรมให้เค้าทำบ้าง แล้วก็มาคิดหาวิธีที่จะสอนเด็กอ่อนว่าจะสอนเค้าอย่างไร อาจใช้เป็นสื่อคอมพิวเตอร์ ตัวการ์ตูน อย่งเช่นถ้าสอนเรื่อง เพรสเซ่น ซิมเพิล ก็อาจจะทำเป็นรูปพระอาทิตย์ขึ้นมาทางทิศตะวันออกเค้าดูว่านี่นะนักเรียน เพรสเซ่น ซิมเพิลใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเห็นไหมพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเป็นความจริง เป็นต้น
มีเพื่อนคนนึงเค้าเคยมาให้หนูช่วยติวภาษาอังกฤษเพื่อที่จะไปสอบต่อม.สี่ที่สตรีวิทยา๒ค่ะ เพื่อนคนนี้เค้าเก่งฟิสิกส์มาก หนูเลยลองนำวิชาฟิสิกส์มาประยุกต์ โดยบอกเป็นสูตรแล้วแทนค่า ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของบุคคลนั้นๆด้วยค่ะ ทั้งนี้พวกเค้ายังต้องการกำลังใจด้วยค่ะ ครูอาจให้เค้าไปท่องคำศัพย์ ฝึกให้เขียนศัพย์ แล้วก็แข่งเขียนตามคำบอกโดยอาจมีของรางวัลมาล่อใจเด็ก เช่นขนม โอย..ครูขา เด็กๆเห็นขนม แม้ว่าจะเป็นชิ้นเล็กๆก็เถอะ ตาก็ลุกวาวแล้วค่ะ ครูอาจจะบอกว่าถ้าใครเขียนถูกได้มากกว่ากี่คำก็ว่าไป..ครูจะให้ขนม แต่ห้ามลอกเพื่อน หรือแอบเปิดหนังสือดู ตอนนั้นหนูได้ไปเรียนพิเศษกับครูในหมู่บ้านค่ะ พอดีว่าเพื่อนหนูเรียนกับครูท่านนี้ตั้งแต่อนุบาล หนูก็เลยไปเรียนบ้าง ครูเค้าให้เล่นเกมส์ค่ะ คือเป็นเกมส์จับคู่ ท่านจะแปะรูปภาพกับฟิวเจอรส์บอร์ดที่ตัดไว้เป็นแผ่นเล็กๆพอดีกับรูป แล้วก็จะแปะคำศัพท์กับความหมายไว้อีกแผ่นนึง แล้วจะมีประมาณยี่สิบแผ่นได้ค่ะ คำศัพท์ก็จะมียี่สิบคำศัพท์ แล้วก็คว่ำลงกับโต๊ะให้เราแข่งกัน สมมติว่าเราเปิดได้รูปแอปเปิลหนูก็จะต้องบอกว่าคำศัพท์ของรูปนั้นอ่านว่าอะไร แล้วก็จะต้องเลือกเปิดอีกแผ่นถ้าเปิดได้คำว่าแอพเพิล พร้อมความหมายหนูก็จะต้องอ่านทวนอีกครั้ง ว่าแอพเพิล แปลว่าแอปเปิลแล้วก็ให้เก็บบัตรที่เราเปิดได้ไว้ในมือ แต่ถ้าหยิบใบที่สองแล้วเปิดออกมาเป็นรูปภาพหรือคำศัพท์อื่นๆก็จะต้องปิดบัตรคำศัพท์ลงเหมือนเดิม สุดท้ายคนที่เปิดได้มากที่สุด ก็จะได้รับรางวัล ครูอาจจะต้องชมเค้าเวลาเค้าตอบคำถามได้ หรือทำอะไรได้ ครูขา สิ่งที่เด็กๆใฝ่ฝันรองจาก พวกขนม ของเล่นฯลฯ ก็คือคำชมจากครูและผู้ปกครองนี่แหละค่ะ พอได้ยินแล้วมันดีใจ ชื่นใจ ได้ยืดต่อหน้าเพื่อนๆว่าได้รับคำชมจากครู วันนั้นทั้งวันหน้าบานเลยค่ะ อารมณ์ดีทั้งวันเหมือนคนบ้าไปเลย พอกลับไปบ้านก็จะไปอวดคุณพ่อคุณแม่ว่าวันนี้ครูชมหนูด้วยนะ ครูอาจจะบอกเค้าว่าเค้าอาจจะมีความสามารถมางด้านอื่นๆก็ได้ แล้วก็ให้เค้าลองหาพรสวรรค์ของเค้า อ้อ เด็กอ่อนจะเซ้นซิทีฟกับคำว่า "โง่" มากเลยนะคะครูขา เค้าจะจำฝังใจกับคำๆนี้มากๆเลยค่ะ
สาเหตุที่หนูเข้าใจจิตใจทั้งเด็กเก่งและเด็กอ่อนนั้นก็เพราะว่าหนูก็เคยเป็นค่ะ ตอนป.4-6 หนูไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษเลยสักนิด ศัพย์บางตัวอย่าง Father ยังเขียนไม่ค่อยจะถูกเลยค่ะครู มีความรู้สึกว่าอาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้แล้วทำไมเพื่อนๆถึงเข้าใจ แล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจ ต่อมาเลยทำให้ไม่อยากเรียนค่ะ แล้วก็จะกลายเป็นเกลียดวิชานั้นๆไปโดยปริยาย เมื่อถึงคาบของครูต่างชาติ ยิ่งหนักเลยค่ะ มีความรู้สึกว่า โอย..ครูขา แค่เรียนกับครูหนูก็จะไม่ไหวแล้วนะ นี่เราก็พูดกับเค้าไม่รู้เรื่องอีก โห..ชีวิตไม่มีความสุขเลยค่ะ พอถึงคาบนี้ทีไรได้แต่ภาวนาขอให้ออดหมดคาบดังเร็วๆ แต่ตอนนั้นในห้องมีเพื่อนหนูอยู่คนนึงเค้าเก่งภาษามาก เค้าคุยกับครูกันอยู่สามสี่คน เราก็นึกในใจว่าเค้าเก่งจัง หนูเลยอยากเก่งอย่างนั้นบ้างค่ะ เลยตั้งใจเรียนภาษาเสมอมา จนรู้ว่าภาษาไม่ได้ยากอย่างที่คิดต่อมาเมื่อหนูมาต่อระดับชั้นมัธยม หนูสอบได้ที่หนึ่งของสายชั้นในวิชาภาษาอังกฤษทุกเทอมค่ะ คะแนนเก็บหนูก็ได้เต็มร้อยทุกครั้ง หนูรู้สึกดีใจมากเลยค่ะครูที่ความพยายามของหนูเป็นผลสำเร็จ เพื่อนๆทั้งในห้องและต่างห้องต่างก็มาขอให้หนูช่วยสอน รู้สึกภูมิใจค่ะที่ได้ช่วยแบ่งปัญความรู้ให้กับเพื่อน แต่ครูคะหนูเคยประสบปัญหาอย่างนึงค่ะ คือหนูเข้าใจว่าครูทุกคนรักศิษย์อยากให้ศิษย์ได้คะแนนดีๆ ตอนม.ต้นที่หนูลงเรียนวิชาเพิ่มเติม(วิชาเลือกเสรี) หนูลงวิชาภาษาอังกฤษตามที่หนูชอบ กับภาษาจีนค่ะ ปรากฏว่าคะแนนเก็บรวมทั้งเทอมจะต้องแต็มร้อย แต่คะแนนของหนูได้ร้อยยี่สิบค่ะครู คือหนูได้เต็มทุกช่อง พอดีว่าอาจารย์ท่านอยากจะช่วยลูกศิษย์ ก็เลยมามีปัญหากันที่คะแนนหนูค่ะที่เกินร้อยอยู่คนเดียว หนูเลยอยากจะบอกครูว่าในบ้างครั้งการช่วยลูกศิษย์ก็เป็นเรื่องดี แต่พอช่วยมากไปอาจเกิดเหตุการณ์อย่างหนูขึ้นได้
เมื่อสักครู่หนูได้อ่านความคิดเห็นด้านบนค่ะ ที่บอกว่าเด็กที่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่ถูกคัดว่า ความเป็นจริงแล้วไม่ดี คือหนูคิดว่า ไม่มีอะไรที่มีแต่สิ่งดีอย่างเดียวหรือไม่ดีอย่างเดียวหรอกค่ะ มันจะต้องมีปะปนกันไป ถ้าเราคัดเด็กที่เรียนดีมาไว้ด้วยกันเค้าก็จะแอ็คทีฟมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้คะแนนดีๆ นั่นจะทำให้เค้าขยันเรียนมากยิ่งขึ้นใส่ใจกับชิ้นงานที่ครูสั่งมากยิ่งขึ้นเพราะชิ้นงานทุกชิ้นที่ครูสั่งนั้นหมายถึงคะแนนเก็บที่จะได้รับ แต่เราก็จะต้องแทรกด้วยกิจกรรมเพื่อให้เด็กผ่อนคลายไม่เครียดมากเกินไป ให้กิจกรรมที่ทำเป็นกลุ่มบ้างเพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม
ส่วนเรื่องเด็กวิทย์ เด็กศิลป์ เด็กช่าง แน่นอนค่ะว่ามันต้องต่างกันอยู่แล้ว หนูขอกล่าวความคิดของหนู ที่หนูได้ประสบมาตั้งแต่ม.ต้นนะคะ คือหนูเป็นเด็กห้องคิงตั้งแต่ม.หนึ่งค่ะ หลายคนบอกว่าเด็กห้องคิงเห็นแก่ตัว มีหลายคนบอกว่าหนูหยิ่งทั้งๆที่ยังไม่รู้จักหนูด้วยซ้ำ คือหนูจะไม่ค่อยพูดน่ะค่ะ เป็นคนเงียบๆ เค้าเลยมองว่าหนูหยิ่งมั้ง ส่วนเรื่องที่บอกว่าเด็กเก่งมักจะเห็นแก่ตัว หนูเห็นด้วยบางส่วนค่ะ บางคนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่..ความจริงแล้วพวกหนูส่วนใหญ่ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนี้เลย สภาพแวดล้อมทั้งด้านครอบครัวก็ดี ครูก็ดี หรือเพื่อนก็ดี เป็นปัจจัยที่หนึ่งทำให้พวกเราต้องทำอย่างนั้น ยกตัวอย่างนะคะ วันแรกของการเปิดเทอมพวกเราจะมายืนหน้าประตูตอนตีห้าค่ะครู (ยามยังไม่เปิดประตูเลยค่ะ ) ถามว่าไปทำไมเช้าขนาดนั้น เพื่อแย่งที่นั่งด้านหน้าสุดค่ะครู ถ้ามาถึงโรงเรียนหกโมงเช้านู่นค่ะ หลังห้องแล้วอาจารย์ก็ไม่ค่อยจะเดินมากัน เวลาสงสัยเราจะถามไม่สะดวกค่ะ และก็จะฟังไม่ค่อยได้ยินเหมือนเราอยู่หลังเขาน่ะค่ะ ยังไม่พอพอออดคาบเรียนดัง พวกเราจะเปรียบดังว่าจะไปแข่งวิ่งโอลิมปิก วิ่งกันเร็วเหลือเกินเพื่อแย่งที่นั่งข้างหน้าสุดในวิชาถัดไป วันแรก..ในขณะที่ห้องอื่นเค้าแนะนำตัวระหว่างครูกับลูกศิษย์ (ของหนูเค้าคละเกรดทุกปีค่ะ) ห้องหนูอาจารย์เดินเข้ามา เอ้า..นักเรียนดูชื่อครูในตารางสอนแล้วกันนะคะ เปิดหนังสือๆ วันนี้เราจะมาเริ่มเรียน... เรียกถามคำถาม พอตอบไม่ได้ ก็มาว่าเรานี่เธอแค่นี้ยังตอบไม่ได้ ครูนึกว่าพวกเธอกลับไปอ่านหนังสือกันทุกเล่มทุกหน้าแล้วนะเนี่ย โห..ครูขา พวกหนูก็คนนะ ถึงหนูจะขยันกันขนาดไหนแต่หนูก็ต้องมีที่ไม่เข้าใจกันบ้างสิคะ ไม่อย่างนั้นหนูจะมาเรียนกันทำไม บางวิชาเดินเข้ามา นักเรียนยินดีต้อนรับเปิดเทอม เอาสมุดขึ้นมาสอบเก็บคะแนน... เผลอๆมีของแถม นักเรียนไปสรุปเนื้อหาในหนังสือทั้งเล่มใส่สมุดมานะ ให้เวลาสามวัน อะไรนะคะครู เวลาสอบคะแนนเต็มยี่สิบห้องอื่นเค้าคาบเส้นสิบ ห้องหนูคาบเส้นสิบแปดค่ะครู แต่อีกห้องนึงคาบเส้นสิบเก้า (มีห้องคิงสองห้อง ) เค้าบอกว่าถ้าคะแนนต่ำกว่าสิบหกก็น่าจะพิจารณาตัวเองได้แล้ว... การเป็นเด็กเรียนก็ดีค่ะภูมิใจว่าเราทำได้ ที่บ้านก็ภูมิใจ ครูก็ดีใจที่สอนเด็กแล้วเด็กเข้าใจ แต่..ยิ่งเราเรียนเก่ง เราก็จะยิ่งเป็นที่คาดหวังมากเท่านั้น กดดันค่ะ เครียดมาก งานพวกเราก็เยอะกว่าห้องธรรมดาถึงสองสามเท่าอยู่แล้ว ยิ่งมีคนมาคาดหวังกับเราเพิ่มมากขึ้น เวลามีงานก็มาเอาห้องเรา เข้าใจค่ะ ให้เหตุผลว่าห้องเราเป็นเด็กดีจะได้ไม่อายแขกที่มา เพื่อนบางคนเครียดจนเกือบจะชักต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาลเลยล่ะค่ะ
เรื่องเด็กวิทย์ เด็กศิลป์ เด็กช่าง หนูคิดว่าเราควรทำความเข้าใจกับพวกเค้า ว่าคนแต่ละคนย่อมมีความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อเติมเต็มในด้านต่างๆ ถ้าสมมติเรามีความสามารถทางด้านแพทย์กันหมด แล้วใครจะปลูกข้าวให้เรากินล่ะคะ ใครจะสร้างบ้านสร้างอาคาร ใครจะทำกับข้าว ใครจะตัดเย็บเสื้อผ้าให้เรา เวลารถเสียใครจะซ่อมให้ ฯลฯ
ส่วนเด็กอีกกลุ่มที่เราคัดไว้ จริงค่ะเด็กที่ถูกคัดว่าแย่ ย่อมจะต้องคิดว่าตัวเองแย่ แต่ก็ลองปลูกฝัง ลองคุยกับเค้าว่าแล้วหนูไม่อยากเรียนเข้าใจแบบเค้าบ้างหรอ ไม่ต้องถึงกับเก่งค่ะ แค่เข้าใจก็พอแล้ว ลองชักจูงให้เค้าอยากจะเรียนได้อย่างเพื่อนๆ บอกว่าบางทีเราอาจจะมีบางอย่างที่เราเก่งกว่าพวกนั้นก็ได้ ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้จะมีมนุษยสัมพันธ์ดีค่ะ เข้ากับเพื่อนที่คล้ายๆกันได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะต้องบอกกับเด็กที่เรียนเก่งว่า อย่าได้คิดว่าตัวเองเก่งแล้วเที่ยวโอ้อวด เหนือฟ้ายังมีฟ้า ขนาดในห้องยังมีที่หนึ่ง แล้วข้างนอกมีเด็กที่อีกกี่ร้อยกี่พันที่เราจะต้องแข่งด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราจะต้องชนะตนเอง สมมติว่าคะแนนเต็มยี่สิบ ทำได้สิบแปด ครั้งต่อไปลองตั้งเป้าหมายไว้สิ ว่าครั้งหน้าจะต้องทำให้ดีกว่านี้ แต่ในกรณีบางราย เช่นเพื่อนๆ น้องๆหนู ทำข้อสอบแล้วไม่ได้คะแนนเต็มร้องห่มร้องไห้ซะเกือบชัก อันนั้นก็เกินไป บางคนบอกปัญญาอ่อน แต่ในสังคมย่อมมีการแข่งขัน เมื่อตอนที่หนูยังอยู่ชั้นประถม หนูรู้จักแต่โลกที่สวยงาม ทุกอย่างดีไปหมด ได้รับการดูแลอย่างดีจากครู และผู้ปกครอง เพื่อนๆก็รักกันมากมาย แต่เมื่อหนูได้ขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นที่สูงขึ้น มันทำให้หนูได้มีทัศนคติในการคิดเพิ่มมากขึ้น เมื่อมาอยู่โรงเรียนใหม่ แน่นอนต้องมีเพื่อนใหม่ แต่ละคนมาจากหลากหลายที่ร้อยพ่อพันแม่ นิสัยใจคอ กริยาท่าทาง การพูดย่อมต่าง เมื่อมาอยู่ที่นี่ทำให้หนูได้เข้าใจคำพูดที่ว่า "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร" อย่างถ่องแท้ เมื่อมีโอกาสแน่นอนเราต้องฉวยมันไว้ แต่โอกาสก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างอยากได้ เมื่อทุกคนต่างอยากได้ก็ต้องแย่งชิง มีคนเคยถามหนูว่า ทำไมคนเก่งถึงไม่เกื้อกูลคนอ่อน หนูก็เลยถามเค้ากลับไปว่าแล้วคนอ่อนได้ลองดิ้นรนพยายมแล้วหรือยัง หรือว่ายังจมปลักอยู่กับคำพูดของคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามา หนูคิดว่ายิ่งโดนดูถูก ยิ่งต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ แต่ถ้าเราลองพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จก็ให้ภูมิใจว่าอย่างน้อยเราก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว หนูคงจะไม่กล้าพูดว่าไม่ต้องไปสนใจเสียงรอบข้าง เพราะเราทำไม่ได้หรอกค่ะ แต่เราน่าจะนำมาเป็นแรงที่เราจะฮึดสู้ เพราะถ้าเรามัวจมอยู่กับอดีต ก็เหมือนเรากำลังย่ำอยู่กับที่ในบ่อโคลน ในขณะที่คนอื่นพยายามที่จะก้าวต่อไปแม้เพียงนิดเดียวก็ตาม แต่ไม่นานเค้าก็จะขึ้นจากบ่อโคลนนั้นได้ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มัวแต่คิดยึดติดกับคำพูดที่บั่นทอนจิตใจของเรา ก็เหมือนกับเรายืนอยู่เฉยๆในบ่อโคลน ไม่ช้าเราก็จะโดนโคลนดูดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เราก็จะไม่มีวันที่จะได้ขึ้นมาจากบ่อโคลนนั้นได้อีกเลย บ่อโคลนนี้หนูคิดว่ามีอยู่ในจิตใจของคนทุกคนค่ะ
และส่วนที่สำคัญต่อด้านจิตใจของเด็กก็คือทางบ้านค่ะ ทางบ้านต้องให้กำลังใจกับเค้าเยอะๆ หมั่นถามถึงการบ้าน เรื่องเพื่อน เรื่องเรียน ถ้ามีเวลาสอนการบ้าน หรือสอนอ่านเขียนให้เด็กจะดีมาก เพราะว่าเด็กจะรู้สึกว่าได้รับการใส่ใจ แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ทางบ้านไม่ค่อยมีเวลาให้เด็กแล้วค่ะ หนูเข้าใจเศรษฐกิจบ้านเราก็ไม่ดี อยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง ของขึ้นราคาทุกอย่าง ค่าครองชีพในเมืองก็สูง ในจะค่าผ่อนบ้าน ฯลฯ หนูก็เคยเป็นอย่างนี้ค่ะ ตอนเล็กๆคุณแม่หนูไปทำงานต่างประเทศแปดปี หนูไม่ได้เจอหรือคุยกับคุณแม่เลยตลอดระยะเวลาแปดปี ส่วนคุณพ่อก็เลิกกับคุณแม่ตั้งแต่หนูอายุไม่กี่เดือน แต่หนูก็เห็นเด็กที่เค้าด้อยโอกาสกว่า เค้าอยากเรียนแต่ไม่ได้เรียน หนูมีบุญได้เรียนโรงเรียนดี มีชื่อเสียงอีกต่างหาก หนูเลยตั้งใจเรียนค่ะ แต่อย่างที่บอกเรียนเก่งมากไปก็ไม่ใช่ว่าจะดี ทุกวันนี้ที่บ้านหนูเค้าอยากให้หนูเป็นหมอค่ะ อย่างที่หนูเคยเรียนให้ครูทราบ แต่ว่าสุขภาพหนูไม่ดี หนูเป็นภูมิแพ้ค่ะ กระดูกไม่แข็งแรงอีกต่างหาก หนูบอกเค้าว่าหนูอยากเป็นครูค่ะ อยากถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆอนาคตของชาติรุ่นต่อๆไป เค้าขอร้องจนแทบจะกราบหนูว่าขอให้อาชีพครูเป็นทางเลือกสุดท้ายที่หนูจะทำ เพราะเค้าเสียดายความรู้ของหนู เค้าบอกว่าเห็นคนไม่มีอะไรทำมาเป็นครูกันเยอะแสดงว่าเรียนครูมันง่าย หนูบอกเค้าว่าแล้วถ้าคนมีความรู้ไปทำอย่างอื่นกันหมด แล้วใครจะมาสอนคนรุ่นต่อๆไปล่ะ หนูไม่อยากจะให้คนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วไม่มีใจรักในการเป็นครูมาสอนเด็ก เพราะเค้าก็จะแค่สอน แต่เค้าจะมาสนใจเด็กหรือ เค้าก็คงจะทำๆไปเพื่อรอรับเงินเดือนเมื่อตอนสิ้นเดือน หนูคิดว่าเป็นครูนี่มีเกียรติยิ่งกว่าหมอซะอีก เป็นครูเดินไปไหน แม้แต่ไปเดินตลาดลูกศิษย์มาเจอทักครูคะสวัสดีค่ะ เป็นหมอเดินไปในตลาดมีไหมมีคนมาทักคุณหมอสวัสดีค่ะ ไม่มีอะ ถึงแม้ว่าจะเป็นหมอก็ต้องมีครู เป็นหมอได้เงินดีไม่ตกงานก็จริง เวลาผ่าตัดพลาดเกิดเจอคนที่เค้าไม่ยอมโดนฟ้องล้มละลาย ถ้าได้เงินเยอะคนไข้มาหาตลอดไม่มีเวลาพักเงินที่ได้มาถามจริงจะเอาไปใช้อะไร อาจส่งให้พ่อแม่กินใช้ บ้านถ้าซื้อไว้จะได้อยู่ไหม ครอบครัวนี่ไม่ต้องพูดถึงไม่มีเวลาให้อยู่แล้ว เป็นครูเงินเดือนพอมีพอกิน แต่พอเลิกงานกลับบ้านอยู่กับครอบครัวมีความสุข มีเงินส่งให้พ่อแม่กิน มีเวลาไปเยี่ยม แถมเอาสิ่งที่เราเรียนมาสอนลูก สอนหลานให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย เป็นหมออยู่ในโรงพยาบาล เสี่ยงติดเชื้อง่าย เดี๋ยวนี้หนูถามเด็กแพทย์ เห็นว่าจะซิ่วหลายคน เค้าบอกเดี๋ยวนี้โรคแปลกๆเยอะคนเริ่มไม่อยากเป็นแพทย์ บางส่วนกลัวอาจารย์ใหญ่ ต้องเสียเวลาเรียนไปอีกหนึ่งปี แต่เป็นครูภูมิแพ้เต็มๆ ฝุ่นช็อค โรคทางเดินหายใจ ปัญหาเกี่ยวกับกล่องเสียง แต่เพื่อเด็กครูทนได้.. มีไหมหมอเห็นคนไข้ไม่มีเงิน หมอรักษาให้ฟรี อาจมีแต่น้อยมาก หรือหมอเห็นเด็กไม่มีตังกินข้าวเคยให้เงินไหม มีน้อยนะ แต่ครูทนได้ไหม ที่จะเห็นลูกศิษย์นั่งมองเพื่อนตัวเองกินข้าว ครูทำไม่ได้ หนูไม่ได้ว่าว่าอาชีพหมอไม่ดี อาชีพหมอช่วยชีวิตคน ถ้าไม่มีหมอใครจะมารักษาเราล่ะ ถ้าหนูสุขภาพแข็งแรงหนูก็คงจะเรียนหมอให้กับที่บ้านได้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาชีพที่หนูชอบนักก็ตาม เอาล่ะหนูนอกเรื่องมาซะนาน หนูแค่อยากจะบอกว่าที่บ้าน ได้โปรด อย่านำบุคคลอื่นๆ ลูกบ้านอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเด็กเด็ดขาด มันเสียใจมากนะคะ น้อยใจว่าทั้งที่เราพยายามแล้ว หนูโดนการเปรียบเทียบอย่างนี้มาตลอดค่ะ จนปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ หนูเลยอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกของเด็กๆออกมาเท่านั้น แต่อันนี้คงจะต้องขอความร่วมมือกับทางผู้ปกครอง
นี่เป็นแค่ความคิดเห็นในแง่มุมความคิดของหนูเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีความคิดที่ดูแล้วผิดบ้าง แตกต่างบ้าง หนูรู้ว่าหนูยังเด็กยังมีโลกทัศน์ที่แคบนัก และยังจะต้องออกไปเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน หรือเรื่องต่างๆอีกมากมายแต่หนูแค่อยากจะเสนอความคิดในแง่มุมของหนูแค่นั้นเอง ถ้าข้อความ ประโยคหรือคำพูดใดของหนู ทำให้ผู้อ่านท่านใดไม่พึงพอใจหนูก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ปล.ครูคะหนูจะอธิบายกับที่บ้านเรื่องที่จะเป็นครูอย่างไรดีคะ
ปล.๑ ครูอย่าคิดมากนะคะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ
ด้วยรักและเคารพ
ศิษย์ของครู
กำลังศึกษา และทดลองอยู่ค่ะ wattanaporn [IP: 58.10.143.72]
และจะนำมา เผยแพร่ หากมีความดีค่ะ
หนูนักเรียน ถ้าหนูคิดว่าคนที่เค้าอ่อนจะถ่วงหนู หนูก็ช่วยเขาสิ อย่าคิดว่าเขาถ่วง