กราบขออภัยด้วยครับที่ไม่มาตามนัดที่กำหนดเอาไว้ทุกวันอังคาร ติดภาระกิจ จิง จิง แฮ..
เข้าเรื่องเลยนะครับ
ยุทธการบีบหัวใจศาล
เอ๊ะใครไปบีบ และบีบอย่างไร ต้องให้ท่านคุณหมอ ผ่าตัดเอาหัวใจออกมาก่อนแล้วค่อยบีบหรืออย่างไร ตามมาครับ
สำหรับท่านที่ติดตามอ่าน เรื่องการใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส คงจำโครงการจัดสรรที่ผมเล่ามาในเรื่องแล้ว (สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านลองไปติดตามดู ก็จะทราบครับ) คือโครงการนี้ นอกจากจะต้องพบกับวิกฤติต้มยำกุ้งแล้ว ยังถูกสถาบันการเงินระงับการปล่อยสิ้นเชื่อแบบปัจจุบันทันด่วน ก็ทำเอาลูกค้าไม่สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินได้ทันที เพราะสถาบันการเงินใช้วิธียึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้ไม่ยินยอมนำมาส่งมอบให้โอนกรรมสิทธิ์ตามวิธีการที่ตกลงกันไว้ในสัญญากู้ ทั้งนี้เพราะทางบริษัท ติดค้างดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระคืนตามกำหนดสัญญาอยู่ประมาณ สิบสี่ล้าน ณ วันที่ บริษัท พร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้ลูกค้า ทางสถาบันการเงินยื่นคำขาดว่า บริษัท ต้องนำเอาดอกเบี้ยกับเงินต้นส่วนที่ค้างชำระตามงวดไปชำระให้ก่อนจึงจะส่งมอบโฉนดส่วนที่จะโอนกรรมสิทธิ์มาโอนให้ลูกค้าตามสัญญา แต่ ณ เวลานั้น บริษัทไม่มีเงินสดพอและไม่สามารถจะกู้เงินจากที่ใดได้ ก็ยื่นข้อเสนอว่าให้นำโฉนดไปโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าก่อน ซึ่งตามสัญญา บริษัทจะได้เงินในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลละ 25 % นั้นยินยอมให้สถาบันการเงินรับไปทั้งหมด จนกว่าจะครบจำนวนเงินที่ค้างชำระ เมื่อครบแล้วบริษัทจึงจะรับส่วน 25 % ตามสัญญา แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ จนเป็นเหตุให้ต้องนำคคีไปฟ้องศาล ก่อนจะฟ้องคดีต่อศาล ในวันที่เรา (คือผมกับท่านเจ้าของโครงการ) เดินออกจากโต๊ะเจรจา ผมแจ้งให้ท่านกรรมการของสถาบันการเงินทราบว่า ทางเราไม่อาจจะรอได้อีกต่อไป ลูกค้าจะฟ้องร้องทางเรา เพราะลูกค้าหวังจะได้รับสิทธิด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินของรัฐ (ไม่แน่ใจว่า 5% หรือ 7% อัตราคงที่ สิ้นสุดเดือน ธันวาคม 2540) เราอาจต้องใช้วิธีการทางศาล ท่านกรรมการกลับ ให้คำแนะนำว่า ลองไปคิดดูนะว่าทางธนาคารมีทนายความหลายสิบคนทั้งยังมีอดีตผู้พิพากษาเป็นกรรมการอยู่ บริษัทมีทนายความกี่คนจะสู้ได้หรือ (นี้คือคำตอบสุดท้ายก่อนไปพบกันที่ศาลครับ)
สิ่งแรกที่ทำเมื่อล้มโต๊ะเจรจา คือเรียกประชุมลูกค้าชี้แจงสถานการณ์ให้ลูกค้าทราบว่า มีอุปสรรคการโอนกรรมสิทธิ์อย่างไรและจะต้องทำอย่างไรจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ จึงขอความร่วมมือจากลูกค้าว่าต้องช่วยผมและน้องๆทนายความในการทำคดีนี้ สิ่งที่ ผมต้องการความร่วมมือจากลูกค้าคือ เอกสารที่ลูกค้ายื่นขอกู้เงินจากธนาคารของรัฐ และต้องไปศาลเป็นพยานให้ด้วย ผมขอเวลา 3 วันจัดเตรียมสำนวนคดี
เป็นความโชคดีของผมที่ลูกค้าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 125 รายได้ติดตามการทำคดีตั้งแต่ต้น คือเรียกว่าสอบถาม และขอดูคำฟ้อง คำร้อง กำหนดนัดต่างๆและยังติดตามไปที่ศาลเพื่อจะดูว่า ยื่นคำฟ้อง คำร้อง อะไรอย่างไร ในระหว่างดำเนินคดีไม่เข้าใจขั้นตอนใดก็สอบถามอย่างละเอียด ผมชี้แจงให้ทราบโดยตลอด เหตุที่ลูกค้าต้องติดตามใกล้ชิดเช่นนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับโอนบ้านและที่ดินเพราะได้ช่วยออกเงินค่าก่อสร้างบ้านของตนจนเสร็จ และทุกรายมีฝันว่าจะได้บ้านหลังแรกในชีวิตด้วยน้ำพักน้ำแรงที่อดออม
เมื่อครบกำหนด 3 วัน ผมได้ฟ้องสถาบันการเงินเป็นจำเลย เรื่องผิดสัญญากู้ (ปกติ เขาจะฟ้องลูกค้า นะ งานนี้ เขาเป็นจำเลย อิ.อิ.) ในตอนเช้าศาลเปิดทำการ ผมยื่นคำฟ้องไปพร้อมกับคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา กับคำร้องขอให้ทำการไต่สวนเป็นกรณีฉุกเฉิน (ต้องยื่นตอนเช้าเพราะหากต้องไต่สวนคำร้องอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง)
เมื่อยื่นเสร็จก็นั้งรอครับ.... มีลูกค้าติดตามมาตามนัดหมายช่วงเช้าประมาณ 30 ราย และนัดที่เหลือไว้ให้มาในช่วงบ่าย แต่เมื่อรอไม่เกิน สองชั่วโมง ปรากฎว่า ศาลสั่งยกคำร้องคงรับแต่คำฟ้อง แจ้งในคำสั่งว่าไม่มีเหตุ คือศาลดูคำร้องทั้งสองฉบับแล้วสั่งยกเลยครับไม่ไต่สวนใดๆ ลูกค้าหน้าเสียเลยครับ ผมยิ้มครับ (นึกถึงตอนฝึกทนายใหม่ๆที่ถูกท่านหัวหน้าสำนักงานโยนหนังสือบอกกล่าวที่ร่างลงตะกร้านะ) ผมเลยแจ้งกับลูกค้าว่าให้ไปพบกันที่สำนักงานโครงการจัดสรร จะชี้แจงให้ทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เมื่อผมไปถึงสำนักงานโครงการ พนักงานขายแจ้งให้ทราบว่าทางสถาบันการเงินโทรมาให้ติดต่อกลับด่วน จึงโทรไปทราบว่าทางเขาต้องการให้บริษัทถอนฟ้องแล้วค่อยเจรจากันใหม่ และบอกว่าบริษัทไม่มีทางจะได้รับการคุ้มครองชั่วคราว ยื่นไปศาลก็ยกคำร้องจะไม่ไต่สวนแน่นอน ผมได้ฟังครั้งแรก งง..มาก ไม่เข้าใจว่าทางเขาทราบได้อย่างไรว่ายื่นฟ้องวันนี้และบริษัทขอคุ้มครองชั่วคราวด้วย เพราะโดยปกติการขอกรณีฉุกเฉินจะเป็นการยื่นฝ่ายเดียว และจะยื่นในวันฟ้องครั้งแรก คู่ความยังไม่ได้รับหมายและจะไม่ทราบเลยว่ากำลังถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลใด แต่เขาทราบครับและทราบว่าศาลยกคำร้องด้วย ผมตรวจสอบเวลาแล้วระหว่างเขากับผมซึ่งทำหน้าที่ทนายความโดยตรงใครทราบคำสั่งก่อนกัน ปรากฎว่า ผมทราบคำสั่งตอน สิบเอ็ดโมงเช้า แต่เขา โทรหาผมที่สำนักงานโครงการเมื่อเวลา สิบโมงครึ่ง โดยฝากข้อความไว้กับพนักงานขายว่า กลับจากศาลแล้วให้โทรไปหาด้วย แปลกหรือไม่ครับ ผมว่ามันแปลกแต่จริงครับ
มองออกหรือยังครับว่าผมต่อสู้อยู่กับอะไร ทำไมต้องนำยุทธการบีบหัวใจศาลมาใช้ ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ สถาบันการเงินแห่งนี้ มีอดีตท่านผู้พิพากษา (ผมไม่บอกนะว่าเคยทำหน้าที่อะไรในศาล) รับผิดชอบดูแลงานด้านกฎหมายอยู่ พอมองเห็นนะครับว่าเป็นอย่างไร ทำไม่คำร้องของผมถึงถูกสั่งยก และทำไมถึงทราบคำสั่งก่อนผม
เมื่อสถานการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ผมก็ชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ คำถามที่ผมต้องตอบลูกค้าคือจะต้องสู้ต่อไปอย่างไร คำตอบคือ
ผมเรียกยุทธการนี้ว่า ยุทธการบีบหัวใจศาล ทำไมถึงเรียกอย่างนี้ ก็เพราะผมทราบอยู่แล้วว่า สถาบันการเงินจะต้องทำทุกวิธีการไม่ให้บริษัทชนะคดี รวมถึงการประสานงานไปยังผู้เกี่ยวข้องเพื่อขัดขวางบริษัทไม่ให้โอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้กับลูกค้า เว้นแต่จะยินยอมทำตามที่เขากำหนด ผมรู้ว่าจะต้องใช้ ศาสตร์และศิลป์ ในการแสวงหาความเป็นธรรมนั้นต้องทำอย่างไรและต้องทำอย่างมีหลักกฎหมาย จึงใช้วิธียื่นคำร้องวิธีนี้ โดยคาดหวังว่าเมื่อศาลทราบว่าทุกครั้งที่มีการมายื่นคำร้องจะมีลูกค้าของโครงการจำนวนหนึ่งมาด้วยเสมอ หากศาลสั่งยกคำร้องแต่ละครั้งโดยไม่หันมามองบ้างก็ให้รู้ไป แต่หากหันมามองแล้วไม่เกิดความรู้สึกใดๆก็ให้รู้ไป
และเมื่อถึงเวลาที่สำนวนกับคำร้องทั้งหมดถูกส่งไปยังศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์ต้องเกิดข้อสงสัยว่า คดีนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมทนายถึงยื่นคำร้องด้วยเหตุเดียว (คือเหตุการณ์ยื่นคำร้องมีได้หลายเหตุนะ ส่วนใหญ่ หากยื่นจะคำร้องใหม่ก็อ้างเหตุใหม่) คำร้องทุกฉบับมีข้อความทุกอย่างเหมือนกัน แก้เฉพาะวันที่เท่านั้น คือผมใช้วิธีถ่ายสำเนาคำร้องเดิมแล้วขีดฆ่าวันที่ออก แล้วเติมวันที่ใหม่เท่านั้น หากผมคิดแทนศาลอุทธรณ์ คือถ้าหากผมเป็นศาลอุทธรณ์ จะคิดได้สองอย่าง คือ
อย่างที่หนึ่ง ไอ้ทนายความคนนี้มันเป็นอะไร หรือมันบ้า ไม่ยุ้งกับมันดีกว่ายกอุทธรณ์เลย (แฮ..ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าผมบ้าหรือไม่ ไม่กล้าตอบ เพราะมีใครคนหนึ่งเคยบอกว่าถ้าเราบอกว่าเราไม่บ้าแสดงว่าเราบ้าแน่ๆ ฮา...)
อย่างที่สอง คดีนี้มันมีอะไร นะ ทนายความถึงได้ยื่นคำร้องลักษณะนี้ ทำไมศาลชั้นต้นถึงไม่ยอมไต่สวนคำร้องให้ มันมีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องถึงไม่ไต่สวน แสดงว่าต้องมีอะไรที่ฝ่ายโจทก์ไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยแต่ศาลไม่ไต่สวนให้ แล้วถ้าไม่เห็นด้วยแล้วทำไมไม่อุทธรณ์ขึ้นมาเลย หรือโจทก์ต้องการบอกอะไรศาลอุทธรณ์
เห็นแนวคิดของผมหรือยังครับ แนวคิดนี้ผมแจ้งให้ท่านลูกค้าทราบก่อนดำเนินการครับ
พักสายตาสักเดี๋ยวนะครับ
ไปต่อนะครับ
เมื่อผมยื่นคำร้องไปเป็นครั้งที่ สี่ ปรากฎว่า ท่านผู้พิพากษาให้จ่าศาลตามตัวผมไปพบ และถามเหตุผลกับผมว่าต้องการอะไรถึงได้ยื่นคำร้องวิธีนี้ แล้วคิดว่าจะเกิดประโยชน์หรือ ผมจึงกราบเรียนท่านผู้พิพากษาไปว่า ผมจำเป็นต้องทำเพื่อแสดงให้ทราบว่ามีความเดือดร้อนจำเป็นจริงๆ เพราะความขัดแย้งระหว่างโจทก์กับจำเลย จะเป็นเหตุให้บุคคลภายนอก(คือลูกค้าของโครงการ) ได้รับผลกระทบ โจทก์ทำโครงการก็หวังกำไรที่จะได้จากการได้โอนบ้านพร้อมที่ดินให้ลูกค้า และเชื่อว่าจำเลยเองก็หวังจะได้เงินต้นและดอกเบี้ยจากโจทก์ แต่เมื่อเกิดวิกฤติการเงินโลกขึ้นจึงมีผลกระทบต่อกันจนต้องนำคดีมาฟ้องศาล ซึ่งในสภาวะวิกฤติเช่นนี้โจทก์ไม่ประสงค์จะให้เกิดขึ้นและผมเชื่อว่าจำเลยก็เช่นกัน แต่เมื่อผมดำเนินการตามวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว ศาลไม่ได้ไต่สวนคำร้องให้ ผมก็จำเป็นต้องดำเนินการตามที่เหมาะสม
ท่านผู้พิพากษาถามผมต่อว่าถ้าไม่ไต่สวนแล้วจะยื่นคำร้องเช่นนี้ตลอดไปหรืออย่างไร
ผมเรียนตอบท่านว่าคงไม่ได้ทำเช่นนี้ตลอดไป แต่คงทำไปสักระยะหนึ่งแล้วจะไปต่อ (ผมเรียนเพียงเท่านี้ ผมเข้าใจว่าท่านผู้พิพากษาคงเข้าใจเจตนาของผมว่า ไปต่อหมายถึงทำอย่างไร)
ท่านผู้พิพากษาจึงแจ้งผมว่าให้ผมรับเอาคำร้องทุกฉบับที่ยื่นมาคืนไปแล้วให้ยื่นมาใหม่ จะไต่สวนให้ถามผมว่าพร้อมหรือไม่
ผมเรียนท่านไปว่าพร้อมยื่นใหม่ได้ทันที พยานก็พร้อม เมื่อไต่สวนแล้วคำร้องผมไม่มีเหตุเพียงพอผมก็จะไม่อุทธรณ์หรือยื่นคำร้องอีก
ปรากฎว่า เวลา 13.00 นาฬิกา ศาลทำการไต่สวนคำร้องให้ผมครับ แต่มีทนายจำเลยมาซักค้านด้วยครับก็ยังแปลกอยู่ดีเห็นหรือยัง ( ที่ผมบอกว่าแปลกเพราะปกติแล้ว คดีที่ขอไต่สวนเป็นกรณีฉุกเฉิน จะเป็นการขอฝ่ายเดียว คู่ความอีกฝ่ายไม่มีทางจะทราบและไม่มีการซักค้านแต่คดีนี้มี )
สิ่งที่ผมขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา คือให้จำเลยส่งมอบโฉนดมาไว้ที่ศาล แล้วโจทก์จะนำเงินจำนวน 75 % ของยอดที่ลูกค้าต้องชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์มาวางศาลแล้วรับโฉนดจากศาลไปโอน แล้วให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้ไปหักชำระเงินต้น ส่วนดอกเบี้ยให้รอคำพิพากษาของศาล
ผมนำพยานเข้าสืบไปได้ทั้งหมด 15 ปาก ศาลถามว่าพยานที่เหลือก็จะเบิกความในประเด็นและข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันหรือไม่ ผมเรียนไปว่าใช่ ศาลจึงสั่งตัดพยานบอกข้อเท็จจริงที่ได้เพียงพอจะวินิจฉัยได้แล้ว ทนายจำเลยจึงแถลงศาลว่าจะขอนำพยานมาสืบหักล้างพยานของโจทก์ ผมจึงแถลงคัดค้านไปว่าไม่มีกระบวนวิธีพิจารณาให้จำเลยนำพยานเข้าสืบในกรณีเช่นนี้ ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีสิทธิ์นำพยานเข้าสืบในกรณีนี้เพราะเป็นการไต่สวนคำร้องฝ่ายเดียว การที่ศาลให้โอกาสจำเลยเข้ามาซักค้านถือเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว นัดฟังคำสั่งวันนี้
ผลคำสั่ง
ให้โจทก์วางเงินประกันความเสียหายที่อาจเกิดแก่จำเลย จำนวน 35,000.-บาท และให้จำเลยนำส่งโฉนดตามรายการแนบท้ายคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาไว้ที่ศาลภายใน 7 วัน และให้โจทก์นำเงินจำนวน 80 % ของจำนวนเงินที่โจทก์จะได้รับในวันโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินของโจทก์มาวางศาลก่อนรับโฉนดไปโอนกรรมสิทธิ์แต่ละแปลง เงินที่โจทก์นำมาวางให้จำเลยรับไปหักชำระเงินต้น คำขออื่นให้ยกค่าธรรมเนียมเป็นพับ
เห็นหรือยังครับที่ผมบอกว่า ยุติธรรมคือศาสตร์
คราวหน้าจะเล่าเรื่อง
ผัว-เมีย ตีกัน ฉันคือเทวดา
ผัว-เมีย ดีกัน ฉันคือ .......(อยากให้เป็นอะไรเติมเอานะ)
สวัสดีค่ะ
อ่านสนุกได้ความรู้เข้าใจง่ายดีค่ะ
สวัสดีครับ
ต้องขอบคุณที่นำเอาประการณ์จริงมาเผยแพร่ อยากให้นำคดีชาวบ้านที่ต้องพบบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะอ่านจากเรื่องเข้าใจง่ายดีครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณมยุรี
ขอขอบพระคุณครับที่แวะมาอ่านและให้กำลังใจ
ก็พยายามเขียนให้อ่านและเข้าใจกฎหมายอย่างง่ายๆนะครับเพิ่อจะยังประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไปบ้าง
สวัสดีค่ะ
สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านคุณคูรโมก ขอขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ ผม เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน ตามที่ท่านบันทึกไว้ในบทความของท่านครับ เดิมได้แต่ติดตามอ่านเรื่องและประสบการณของท่านอื่นๆ เลย เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน ครับ
คือคิดทำดีมากขึ้น ตามวิธีการที่ถนัดครับ
นักเรียนของคุณครูเป้นไงบ้างครับ หวังว่าไปต่อได้นะครับ
สวัสดีปีใหม่ครับคุณน้องซิลเวีย
ขอบคุณครับที่ติดตามให้กำลังใจ
ผมไม่ได้หายไปใหนยังคงติดตามอ่านบันทึกของทุกท่านอยู่เท่าที่มีเวลา
คุณน้องซิลเวียเองก็พัฒนาวิธีการนำเสนอได้ดีขึ้นมากครับ ปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ดีทีเดียว
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน ตามที่ท่านโมก ว่าจิง จิง แฮ...
นึกว่าหายไปไหน ^^
ขอบคุณสำหรับความรู้ และประสบการณ์ดีๆที่นำมาแบ่งปันกับครับ คุณชาวฝนแปดแดดสี่
สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านเอิร์ท ขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านบันทึกนะครับ
(ไม่ได้หายไปไหนครับ แอบพาคุณผู้หญิงไปบอกต่อเรื่องร้านอาหารนะ อิ.อิ)
ตั้งแต่ผ่านปีใหม่มาแล้วครับมีภาระกิจที่ต้องจัดการตามหน้าที่มากหลาย
เลยทำให้สมองไม่มีช่องว่างให้เขียนบันทึก แต่ก็ยังติดตามอ่านบันทึกของชาว G2K
ให้สัญญาว่าจะเขียนบันทึกเล่าประสบการณ์เป็นประจำครับ
ตั้งใจจะเขียนให้ได้ทุกวันอังคาร จิง. จิง. นะ
กว่าจะเสร็จแต่ละคดี เหนื่อยแย่เลยนะครับ เป็นกำลังใจครับ สู้สู้ๆ แล้วมาเขียนใหม่นะครับ ผมชอบอ่าน
สวัสดีครับท่าน บีเวอร์
ขอขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ
การทำคดีถึงจะเหนื่อย แต่ผมว่ามันน่าสนุกครับ
คือผมชอบงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะในการแก้ไขปัญหาครับ
ทำสำเร็จก็มีความสุข แต่บ้างครั้งจำเลยคดีอาญาต้องจะแพ้คดี ก็เศร้าครับ (ส่วนมากจะพอคาดได้ก่อนแล้ว)
ผมตั้งใจจะเขียนบันทึกทุกวันอังคารครับ ก็พยายามเล่าจากประสบการณ์นะครับ
แต่ก็มีความจำเป็นที่ต้องปกปิดชื่อบุคคลท่านที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันความเสียหายครับ
ขอบคุณนะคะ ที่แวะไปทักทาย
แต่ ไม่ได้หลอกเลยนะคะ แค่ติดตามตอนต่อไปเท่านั้นเอง อิอิ
ขอบคุณค่ะ สำหรับเรื่องราวดีๆมีสาระ แต่นู๋ อ่านไม่จบหรอกค่ะ อิอิ
บีบหัวใจ จริงๆ....^_^....
ขอบคุณเรื่องเล่าดีๆ ค่ะ
สวัสดีครับ คุณโซล คนหัวใจงาม
ขอขอบพระคุณที่แวะมานะครับ
ผมรอดมกลิ่นกาแฟอยู่นะครับ
คนสวยก็เป็นงี้แหละ หลอกให้ยาก..(รู้) แล้วจากไป อิ.อิ
สวัสดีครับคุณอิง คนงาม หน้าตาดี
ขอขอบพระคุณที่แวะมานะครับ
กำลังจะกลับไปแวะดูภาพอีกครั้งครับ
ขอบอกกล่าวชาว G2K ว่า คุณอิงหน้าตามดี จิง. จิง. นะ
อ่านเข้าใจง่ายดีคะ
ขอบคุณนะคะสำหรับความรู้และสาระดีๆ
สวัสดีครับคุณpoonychicstyle
ขอขอบพระคุณที่แวะเยี่ยมนะครับ
ที่เขียนบันทึกก็พยายามนำเอาประสบการณ์มาร้อยเรียง
เพื่อให้ท่านที่ไม่ได้เป็นนักกฎหมายได้มีโอกาสเรียนรู้กฎหมายแบบง่ายๆ
แต่ก็คงไม่ได้ทั้งหมด พยายามนำเอาเรื่องที่ทุกท่านอาจต้องพบเจอมานำเสนอ
เออ...นามปากกาของคุณ อ่านว่าอย่างไรครับ ออกเสียงไม่ถูก
ไปต่างประเทศใช้วิธีถือป้าย can not speak English
ไม่ถูกถามไม่ถูกตรวจจาก Immigration แต่ถูกจับขังเลย ฮา....
อ่านมาสองเรื่องแล้วค่ะ ถึงผัวเมียตีกัน แต่บันทึกนั้นไม่ได้เม้นท์ค่ะ และขออนุญาตอ่านย้อนหลังลงไปนะคะ ชอบ สนุก ท้าทาย มีลุ้น และจบด้วยดี ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ค่ะ
สวัสดีครับคุณมนัสนันท์
ขอขอบพระคุณนะครับที่แวะมาอ่านบันทึกครับ
ผมแวะไปจดเลขบ้านไว้ในบัญขีแล้วครับแล้วจะแวะไปเยี่ยมนะครับ
เรื่องต่างๆที่เล่าในบล็อกนี้ก็จากประสบการณ์จริงของผมนำมาร้อยเรียง
เพื่อสอดแทรกให้ได้เรียนรู้กฎหมายโดยไม่งวงนอนเสียก่อนครับ
ก็ยังไม่ทราบอนาคตว่าจะทำสำเร็จตามเจตนาหรือไม่
ผมพยายามนำเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน
เฉพาะส่วนที่ทุกคนอาจพบเจอกับกรอบวิธี
ที่กฎหมายกำหนดมาสอดแทรกให้ได้เรียนรู้กัน
ก็พยายามสรุปเรื่องไม่ให้ยาวจนาน่าเบื่อหรือสั่นจนขาดการเรียนรู้นะครับ
ขอขอบพระคุณอีกครั้งที่เป็นกำลังใจให้ครับ
บีบหัวใจจริงๆ ได้ความคิดหลายแง่มุม...ทั้งมุมทนาย ...มุมผู้พิพากษา..มุมอำนาจเงิน...และมุมยุติธรรมคือศาสตร์...ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ
สวัสดีครับคุณครูปริมปราง
ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจเสมอมา...เป็นแรงใจให้เดินได้ต่อไป
หากคุณครูมีพรรคพวกเป็นนักกฎหมาย
ให้เค้าเล่าวิธีการทำคดีตามสไตล์ให้ฟังซิครับ จะพบอีกหลากหลาย
บางท่านถึงกับเป็นลมในศาล เพื่อจะได้เลื่อนคดีก็ยังมี อิ.อิ. แต่ผมไม่เอาวิธีนี้
บีบหัวใจศาล ถ้าศาลเป็นผู้หญิงจะกล้าบีบไหมคะคุณทนายแปดขาฯ ฮิ ฮิ ..
เอาการบ้านมาส่ง มีคำถามค่ะ เวลาจับภาพเมฆฟังก์ชั่น P A S M แล้วแตกกระจายล่ะคะ ขอบคุณค่ะ :)