เวลาประมาณ 10.00 น. หลังจากดูวีซีดี เรื่อง "ปัญหามา ปัญญามี" จบแล้ว เราได้เริ่มกระบวนการกันอีกครั้งหนึ่ง โดยทีมงานที่จะสนทนากลุ่มเพื่อหาโจทย์วิจัยฯ (ภาพ ก ) กับกลุ่มเกษตรกรที่จะมาให้ข้อมูลเรื่องการปลูกมันสำปะหลังกับนักวิจัยที่มาเก็บข้อมูลเพื่อทำดุษฎีนิพนธ์ (ภาพ ข )ต่างก็แยกวงกันดำเนินการ
ก ข
แต่พอเริ่มเท่านั้นเองครับ เสียงของกลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหนดังให้เซ็งแซดกันไปหมด คุณอรวรรณ เก่งสนาม ในฐานนะคุณอำนวยของพื้นทีในวันนี้ จึงได้ตัดสินใจขอร้องให้กลุ่มที่เก็บข้อมูลมันสำปะหลังย้ายสถานที่ไปใช้ที่ศาลาวัดซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามแทน นี่กระมังครับที่เขาว่า "ดังแล้วแยกวง" ของจริง(เสียงดัง)
เริ่มกันใหม่โดยคุณสายัณห์ ปิกวงค์ ทำหน้าที่เป็นคนดำเนินกระบวนการ เพราะเคยทำงานที่ตำบลนี้มาก่อน รู้จักสามาชิกกลุ่มหลายคน อีกทั้งยังพอ "เว้าอีสาน" ได้อีกด้วย จึงพอจะสรุปขั้นตอน และคำถาม-คำตอบของกลุ่มฯ ได้ดังต่อไปนี้ครับ
คำถามที่ 1 หลังจากดูวีซีดีแล้วท่านเห็นอะไรบ้าง? คำตอบก็คือ
เห็นการเรียนรู้และแก้ปัญหาเกี่ยวกับ
นอกจากนี้ ยังมีคำถามต่อเนื่องหรือคำถามเสริมเข้ามาก็คือ "มีใครในวีซีดีนี้บ้าง" คำตอบก็มีทั้งชาวบ้าน แกนนำ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่นักพัฒนา และปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งในประเด็นนี้ คุณสายัณห์ได้สรุปเพิ่มเติมให้ได้เห็นว่า ในกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในวีซีดีนั้น มีคนที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพมาร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อค้นหาองค์ความรู้ที่จะนำมาปรับใช้หรือยกระดับกันเองในชุมชน ก็จะคล้ายๆ กับการมาดำเนินการของวันนี้นั่นเอง
คำถามที่ 2 ท่านได้แนวคิดอะไรจากการดูวีซีดีนี้บ้าง...?
คำตอบก็คือ
หน้าตากระดาษบันทึก
คำถามที่ 3 แล้วบ้านเราทำการผลิตอะไรกันบ้าง..?
คำตอบก็คือ ส่วนใหญ่ชาวบ้านที่นี่ปลูกมันสำปะหลัง , ข้าว , ปศุสัตว์ ,ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม , ปั้นโอ่ง และปั่นฝ้าย เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้วยังมีการใช้คำถามต่อเนื่องหรือคำถามเสริม เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการหาโจทย์ของการวิจัยเพิ่มเติม คือ
คำถามที่ 5 เรามาลองทบทวนกระบวนการผลิตและต้นทุนการผลิตข้าวของบ้านเราว่าเป็นอย่างไร..?
พอมาถึงขั้นตอนนี้ คุณอวรรณ เก่งสนาม เข้ามาทำหน้าที่ดำเนินกระบวนการต่อเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแทนคุณสายัณห์ ได้ใช้การถามและชาวบ้านร่วมกันตอบ ผลดังรูปภาพด้านล่างนี้ครับ
หน้าตาต้นทุนการปลูกข้าว
ต้นทุนของการปลูกข้าวในหมู่บ้านคลองน้ำไหลใต้ประมาณไร่ละ 2,453 บาท ขายข้าวได้ประมาณ ไร่ละ 4,550 บาท จะเหลือกำไร ประมาณไร่ละ 2,097 บาท (ตัวเลขในภาพ กำไรยังไม่ได้ลบค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 500 บาท)
คำถามที่ 6 กระบวนการและต้นทุนการผลิตข้าวของบ้านเราท่านคิดว่าจะลดหรือทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยและลดต้นทุน ...?
กลุ่มได้นำเสนอวิธีการก็คือ...
คำถามที่ 7 ผลผลิตข้าวของบ้านเราท่านคิดว่าปลอดภัยหรือไม่..?
คำตอบที่ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ปลอดภัย" เพราะ "ฉันผลิตเองจึงรู้ รับรองได้"
แล้วผมจึงถามต่อไปอีกว่า
คำถามเสริม ท่านกินข้าวที่ปลูกหรือไม่ ...?
คำตอบก็คือ ทุกคนต่างก็ตอบว่า"เก็บไว้กินเองทุกคน"
คำถามที่ 8 ท่านยังต้องการทราบหรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับข้าวในเรื่องอะไรบ้าง..?
ซึ่งก็ได้โจทย์หรือคำถามสำหรับการที่ชาวบ้านอยากจะเรียนรู้ต่อไปคือ
โจทย์ที่ 1 หาวิธีการป้องกันกำจัดหอยเชอรี่ในนาข้าวที่เหมาัะสมควรทำอย่างไร และ
โจทย์ที่ 2 แนวทางการลดต้นทุนการผลิตข้าวที่เหมาะสมของบ้านคลองน้ำไหลใต้ควรเป็นอย่างไร และชาวบ้านได้เสนอประเด็นย่อยในโจทย์ที่ 2 นี้เพิ่มเติมก็คือ
ผมก็เลยใช้คำถามเสริม แหย่ไปว่า
คำถามเสริม หากเราจะรวมทั้ง 2 โจทย์เข้าเป็นโจทย์เดียว โดยให้มีประเด็นของพืชปลอดภัยและมีส่วนของการลดต้นทุนอยู่ด้วยกัน จะได้หรือไม่และน่าจะเป็ฯอย่างไร?
ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ก็ได้คำตอบที่เป็น โจทย์ที่ 3 ซึ่งเป็นโจทย์ของบ้านคลองน้ำไหลใต้ก็คือ
"รูปแบบการผลิตข้าวที่ปลอดภัยโดยใช้ต้นทุนต่ำ ของบ้านคลองน้ำไหลใต้ควรเป็นอย่างไร"
หลังจากนั้นก็คืนเวทีให้กับคุณอรวรรณ เก่งสนาม เพื่อดำเนินกระบวนการต่อไปเกี่ยวกับการหาทีมงานนักวิจัยชาวบ้าน ในเบื้องต้นกำหนดแกนนำไว้ 8 คน และนัดหมายพบกันเพื่อออกแบบกระบวนการ (ออกแบบการวิจัย) ในวันที่ 5 มิถุนายน 2549 แต่หลังจากกลุ่มที่แยกไปให้ข้อมูลกับนักศึกษา ป.เอก กลับมาสมทบ และหลายท่านอยากเป็นแกนนำร่วม ก็เลยเปิดโอกาสให้เข้ารวมได้ไม่จำกัด เพราะหลายๆ คนอยากมีส่วนร่วม อีกทั้งทีมงานเราได้เกริ่นนำว่า เราจะหาเวทีเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยกับสาธารณะ หลังจากจบกระบวนการวิจัยไปรอบหนึ่งแล้ว
นอกจากนั้นแล้วในการสร้างความเข้าใจและให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการวิจัยแก่ทีมงานนักวิจัยชาวบ้าน ผมก็เลยได้ยกตัวอย่างของวันนี้ให้กับทุกคนได้เห็นว่า การที่นักศึกษา ป.เอก มาเก็บข้อมูลเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง ก็คือการวิจัย แต่เป็นการวิจัยที่ "คนนอก" มาวิจัยและ "ชาวบ้านเป็นผู้ถูกวิจัย" ผลของการวิจัยก้จะเป็นของคนนอก เพราะเราไม่เคยได้รับผลสะท้อนของการวิจับนั้นเลย แต่ที่เรากำลังทำกันอยู่นี้ "เราเป็นนักวิจัยเอง การวิจัยเราก็ทำเอง และผลของการวิจัยก็จะเป็นองค์ความรู้ของเรา ซึ่งเราจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการวิจัยนี้"
ชาวบ้านทุกคนต่างก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ และส่งแววตาที่เป็นประกายแห่งความหวังให้พวกเราทีมงานได้เห็น นี่กระมังครับที่ว่า "เสน่ห์ของงานวิจัยและการทำงานในภาคสนาม" เพราะแม้ว่าเราจะไม่มีความรู้ที่มาจากฟ้ามากมายนัก แต่เราก็สนุกกับการเรียนรู้ในความรู้ที่อยู่กับดิน การทำวิจัยนั้นหากเราจะทำเองคงไม่ใช่เรื่องยาก และคงทำได้เพียงปีละไม่กี่เรื่อง แต่การที่จะสร้าง "คนให้ทำวิจัยในงานหรือในวิถีชีวิตของตนเองได้นั้น" น่าจะยากและท้าทายมากกว่าครับ เพราะทำได้ไม่มีวันจบและเหมือนกับเราได้ทำวิจัยและเรียนรู้ในหลายๆ เรื่องไปพร้อมกันครับ
ในการดำเนินกระบวนการวันนี้ ได้ยืนยันให้ทีมได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การทำงานในลักษณะของกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่เช่นนี้ "ต้องทำงานกันเป็นทีม" ครับ วันนี้หากทำเพียงลำพังใครคนใดคนหนึ่ง คงทำได้แต่ผลคงออกมาไม่สมบูรณ์ อย่าลืมนะครับ "อย่าทำคนเดียว" หาทีมงานอาจเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือแกนนำชาวบ้านก็ได้ครับ เพราะ "ความรู้หรือทักษะนั้น...เรียนทันกันได้"
บันทึกมาเพื่อการ ลปรร.ครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก