เมื่อวันที่ ๒๐ -๒๑ สิงหาคมที่ผ่านมา คปสอ.เมืองได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ "รวมพลังสร้างชุมชนเข้มแข็งรุ่นที่ ๒ ขึ้น ครังนี้ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย แกนนำชุมชน อสม. และผู้แทนจาก อบต. ใน ๔ ตำบล คือ ตำบลตะกุด ตลิ่งชัน ดาวเรือง และนาโฉง โดยตำบลดาวเรืองและนาโฉงร่วมคิดกลุ่มเดียวกันเนื่องจากเป็นตำบลข้างเคียงที่ใช้บริการศูนย์สุขภาพชุมชนเดียวกัน
กิจกรรมการประชุมเป็นไปตามโครงร่างหลักสูตรรวมพลังสร้างชุมชนเข้มแข็ง ที่ได้จัดไปแล้วในรุ่นแรก มีการปรับปรุงกระบวนการเล็กน้อย คือ ตั้งแต่กิจกรรมที่ ๖ (การกำหนดตัวชี้วัดของวิสัยทัศน์ร่วม)เป็นต้นไป ทีมวิทยากรได้จัดให้ผู้เข้าประชุมคละกลุ่มใหม่และหมุนเวียนฐานคิดเพือสร้างความรู้สึกร่วมว่าเป็นการร่วมคิดของทั้งภาคี ไม่ใช่ความคิดของแต่ละตำบล
ในท้ายที่สุดผู้เข้าร่วมประชุมจากทั้ง ๔ ตำบลได้กำหนดเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า "เมืองน่าอยู่ เศรษฐกิจเฟื่องฟู เชิดชูวัฒนธรรม เลิศล้ำการศึกษา ก้าวไกลพัฒนา ชาวประชาสามัคคี" มีการจัดตั้งภาคีเครือข่ายชื่อ "กลุ่มป่าสักสามัคคี สระบุรีน่าอยู่" โดยกลุ่มได้เลือกท่านรองประธานอบต.ดาวเรืองเป็นประธาน และเลือกคณะกรรมการอื่น ๆ ครบถ้วนเหมือนรุ่นแรก มอบหมายให้แต่ละตำบลเลือกกิจกรรมโครงการที่ร่วมกันคิดได้ไปดำเนินการตำบลละ ๒ โครงการ และนัดหมายประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งต่อไปใน ๒ เดือนข้างหน้า โดยทางตำบลดาวเรืองรับจะเป็นเจ้าภาพด้านสถานที่
ข้อสังเกตที่ได้รับจากการประชุมในครั้งนี้ พอสรุปดังนี้
ผมได้มีโอกาสพูดคุยส่วนตัวกับผู้เข้าประชุมบางท่าน และได้รับทราบข้อคิด-ข้อกังวลบางอย่างที่บังเอิญตรงกับใจอยู่ ๒ ประเด็น คือ
เรื่องนี้อยู่ในแผนของทีมงานอยู่แล้ว คือจะมีการประชุมติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดำเนินโครงการที่แต่ละตำบลได้เลือกไปทำภายใน ๒ เดือนข้างหน้า ในระหว่างนี้วิทยากรกระบวนการ(พี่เลี้ยง)แต่ละตำบลจะต้องลงไปกระตุ้น สนับสนุน และช่วยเหลือคลี่คลายปัญหาให้กับกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ต้องช่วยให้เกิดความเคลื่อนไหวแบบ"ร่วมทำ"ในพื้นที่ให้ได้ เพราะเราเชื่อมั่นว่า ผลการดำเนินงานในพื้นที่ของกลุ่มเอง(ทั้งที่ทำได้ดีแล้วและที่ยังมีอุปสรรค) และของกลุ่มอื่นในภาคีจะเป็นปัจจัยเสริมพลังให้กับกลุ่มในการร่วมคิดและร่วมทำในรอบต่อ ๆ ไป
เรื่องนี้ถือเป็นจุดอ่อนที่สุดของโครงการซึ่งทีมงานของเราก็ตระหนักดี ทีมงานบางท่านคิดว่าถ้าไม่สามารถรวบรวมหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะองค์การส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมกิจกรรมหรือร่วมเป็นวิทยากรกระบวนการด้วยได้ ก็ไม่อยากจะดำเนินการ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ออกแรงสูญเปล่า เพราะชาวบ้านจะโดดเดี่ยวขาดการสนับสนุน และร้ายกว่านั้นอาจจะถูกรบกวนด้วยกิจกรรมหรือโครงการแบบสั่งให้ทำจากส่วนกลางผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ทำให้สิ่งที่เขาร่วมกันคิดและต้องการทำกลับถูกละเลยไม่เหลียวแล ... ข้อกังวลนี้อาจคลี่คลายด้วยเหตุผล ๓ ประการ คือ
๑. เราจะไม่ละเลย และจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการชักชวนหาแนวร่วมจากหน่วยงานข้างเคียงภาครัฐ ทั้งส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นให้เข้าร่วมคิด ร่วมกระบวนการด้วย แต่ในขณะที่ยังไม่สามารถหาแนวร่วมได้ หรือได้ไม่มากนักเราก็จะไม่หยุดรอที่จะสร้างพลังให้กับชุมชนที่พร้อมจะเรียนรู้ เพราะการหยุดรออยู่นิ่งก็เท่ากับเสียโอกาสและถอยหลัง
๒. เราจะเปิดโอกาสให้ชุมชนคิดกิจกรรมพัฒนาอย่างเต็มที่ แล้วจัดหมวดหมู่กิจกรรมออกเป็น... ประเภทแรก สิ่งที่เขาทำได้เองด้วยทุนภายในชุมชน ประเภทที่ ๒ สิ่งที่เขาต้องทำร่วมกับหน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานอื่น และประเภทที่ ๓ สิ่งที่เขาต้องพึ่งพาอาศัยหน่วยงานอื่นไม่สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้ หลังร่วมคิดแล้วแนะนำให้เขาเลือกเรื่องประเภทแรกกลับออกไปร่วมทำก่อน อาจเลือกบางเรื่องของประเภทที่ ๒ กลับออกไปร่วมทำได้ทันที(ถ้าเรื่องนั้นต้องทำร่วมกับหน่วยงานของทีมวิทยากรกระบวนการ) ส่วนเรื่องอื่น ๆ ของประเภทที่ ๒ และ ๓ แนะให้เขาเก็บเอาไว้เพื่อรอโอกาสขอความร่วมมือหรือขอรับการสนับสนุนในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ต้องพยายามชักชวนให้ใช้เวลาและโอกาสในการเรียนรู้จากการร่วมทำในสิ่งที่เขาทำได้ มากกว่าทบทวนท้อแท้กับสิ่งที่ยังไม่มีโอกาส
๓. เราเชื่อมั่นว่ากระบวนการเรียนรู้จากการ"ร่วมทำ" และจากผลงานของการ"ร่วมทำ" จะเป็นปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มให้เกิดพลังในการ"ร่วมคิด" และ "ร่วมทำ"ในรอบต่อไป รวมทั้งเสริมพลังให้สามารถหาแนวร่วมในชุมชนและแนวร่วมภาครัฐหรือภาคเอกชนได้ง่ายขึ้นในอนาคต
ขอให้กำลังใจกับทีมงานและกลุ่มภาคีที่ผ่านการประชุมตามโครงการอีกครั้ง ให้มีความมั่นใจ-เชื่อมั่นในพลังของทีมงานและชุมชน ใช้เวลาและโอกาสในการเสริมเติมต่อพลังซึ่งกันและกันให้เข้มแข็งดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ในที่สุด....
1.เห็นด้วยกับความคิดของรองประธาน อบต.ดาวเรืองนะคะ แต่ของเพิ่มเติมว่า การสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นก็ยากอยู่แล้ว แต่การ maintain ยากยิ่งกว่า
2. ขอชื่นชมและให้กำลังใจทีมงานที่ทุ่มเทและเสียสละนะคะ ใจเป็นสุข กายก้อหายอ่อนล้าค่ะ
3. มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมค่ะ
3.1 เทคนิค AIC นั้นมีข้อจำกัดในการประยุกต์เพื่อการพัฒนาสาธารณสุข เพราะเทคนิคนี้ เริ่มกระบวนการแก้ปัญหาในแนวเชิงรับ โดยอาศัยเทคนิคการวาดภาพปัจจุบันโยงสู่อนาคต แต่การที่เริ่มจากสภาพปัจจุบันนั้นทำให้ภาพที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันมีอิทธิพลต่อแนวความคิดในการวาดภาพในอนาคต ซึ่งทำให้ภาพฝันนั้นออกมาในรูปของภาพโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ(physical infrastructure) ที่ชุมชนปรารถนามากกว่าเพราะในส่วนที่พึงปรารถนาที่เป็นนามธรรม เช่น ความมีสุขภาพดี นั้น ยากที่จะวาดออกมาเป็นภาพได้ ทำใหเการระบุปัญหาขาดการมองสถานการณ์เชิงระบบ แต่จะเป็น (fragmented)
3.2 จึงควรเริ่มจากภาพอนาคตที่พึงปรารถนา เพื่อป้องกันการครอบงำทางความคิดที่เกิดจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะจินตนาการจะได้มีอิทธิพลมากกว่า เกิดความท้าทายที่จะทำให้ฝันเป็นจริง รวมทั้งจินตนาการจะนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับแนวการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ(ready made solution ) และไม่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างที่ผ่านๆมา
3.3 หากชุมชนมองไม่เห็นปัญหา ทั้งๆที่เป็น real need ตามเกณฑ์ มาตรฐาน ก็มิได้หมายความว่า "ไม่เป็นปัญหา" เพราะอาจเนื่องมาจาก ขาดข้อมูลที่สมบูรณ์ในปัญหานั้นๆ หรือ จำยอมรับสภาพกับสภาวะไม่พึงประสงค์นั้น หรือทำตามความเชื่อแบบดั้งเดิม
3.4 ใครล่ะ จะเป็นผู้ใช้ทักษะการสื่อความที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง felt need (ความรู้สึกของชุมชน) กับ real need (ความจำเป็นตามเกณฑ์มาตรฐาน) เครื่องมือที่สำคัญ คือ web of causation /Problem map เพราะจะเสริมให้เกิดแนวคิดอย่างเป็นระบบ
3.5 ใครล่ะ จะเป็นผู้เสนอข้อมูลที่สมบูรณ์ในปัญหาสุขภาพ อันได้แก่
3.5.1 อัตราการขาดนัด
3.5.2 อัตราการป่วยด้วยโรคที่สามารถป้องกันได้
3.5.3 ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรัง
3.5.4 จำนวนครั้งของการเข้าพักรักษาในรพ.
3.5.5 จำนวนผู้ที่ไม่ฝากครรภ์
3.5.6 จำนวนเด็กไม่ได้รับวัคซีน ฯลฯ