การให้อภัยในพระพุทธศาสนานั้น พบว่ามีประเพณีนิยมที่ถือว่าเป็น “อริยประเพณี” ใน ๓ ด้านใหญ่ กล่าวคือ
๑. วิธีการให้อภัยทางใจ การให้อภัยในลักษณะนี้ ต้องเริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้ว่า การจับความโกรธ ความเกลียด ความชิงชัง ความอาฆาตมาขังเอาไว้ในใจนั้น ก่อให้เกิดผลร้ายแก่จิตใจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการบั่นทอนศักยภาพแห่งความสุข สงบ เย็นที่พึงเกิดขึ้นในใจของเรา ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการบั่นทอนศักยภาพในการทำงาน หรือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน นอกจากนี้ การตระหนักรู้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์ไม่มีใครเลยที่มิมีโอกาสทำผิดพลาดและบกพร่อง ฉะนั้น การมีท่าทีในลักษณะนี้ ย่อมเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทอดสะพานไปสู่การขออภัย และให้อภัยได้ จะเห็นว่า ในพระพุทธศาสนาจะเน้นที่เจตนาเป็นสำคัญ เจตนาที่ผู้กระทำได้ตระหนักรู้ด้วยตัวเองว่า สิ่งที่ทำลงไปได้เกิดความผิดพลาดบกพร่อง และตัดสินใจที่จะแสดงออกโดยการรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป
๒. วิธีการให้อภัยทางกาย ในพระพุทธศาสนาจะขออภัยทางกายด้วยการน้อมกายของตัวเองเข้าไปหาคู่กรณีที่ได้ล่วงละเมิดในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งในกลุ่มพระสงฆ์ใช้คำว่า “สามีจิกรรม” อันเป็นการขอขมา หรือขออภัย ซึ่งอาจจะผ่านสัญลักษณ์ของดอกไม้ ธูป เทียน ดังจะปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเนืองๆ ว่า “ได้ยินว่า พระศาสดาของเราเสด็จมาถึงแล้ว ได้ยินว่า พระสุคตของเราเสด็จมาถึงแล้ว ได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเสด็จมาถึงแล้ว จึงลุกขึ้นจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า หมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า” การแสดงออกทางกายในลักษณะนี้ เป็นการสื่อให้คู่กรณีได้มองเห็นถึงภาษากายว่า ยินยอมพร้อมใจที่รับผิดชอบ และเป็นการง่ายที่จะเปิดโอกาสให้เกิดการให้อภัยโดยผ่านสัญลักษณ์ดังกล่าว
๓. วิธีการให้อภัยทางวาจา วลีที่มักจะปรากฏขึ้นในคัมภีร์พระพุทธศาสนาในกรณีนี้ก็คือ หากมีผู้ใดผู้หนึ่งได้กระทำผิดพลาดบกพร่องมักจะกล่าวขออภัย หรือขอโทษว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ผู้โง่ เขลา เบาปัญญา มีความผิดที่ข้าพระองค์ ได้สำคัญพระผู้มีพระภาคว่าควรเรียกด้วยวาทะว่าผู้มีอายุ ขอพระผู้มีพระภาค จงให้อภัยโทษแก่ข้าพระองค์ เพื่อสำรวมต่อไป” พระพุทธเจ้าก็จะตรัสตอบเพื่อเป็นการให้อภัยว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “เอาเถอะ เธอผู้โง่ เขลา เบาปัญญา มีความผิดที่ได้สำคัญเราว่าควรร้องเรียกด้วยวาทะว่าผู้มีอายุ แต่เธอเห็นความผิดโดยเป็นความผิดแล้วกระทำคืนตามธรรม เราก็ยกโทษให้เธอ ภิกษุ ก็การที่บุคคลเห็นความผิดโดยเป็นความผิด แล้วกระทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย”
จากนัยดังกล่าวจะเห็นประโยคที่ถือได้ว่าสำคัญที่สุดว่า “การที่บุคคลได้มองเห็นความผิดที่ได้กระทำว่าเป็นความผิดจริง และได้ให้สัญญาประชาคมว่า จะรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำ อีกทั้งจะระมัดระวังต่อโอกาสต่อไป” นี้ เพราะประโยคนี้ เป็นการย้ำเตือนว่า มิใช่ทำผิดแล้ว ทุกอย่างจะจบลงโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกครั้งที่มีการผิดพลาดบกพร่อง ตัวเองจะต้องยอมรับผิดที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเยียวยาผลของความผิดพลาด
ถึงกระนั้น พระพุทธศาสนาถือว่า การน้อมรับความผิดพลาด หรือการรับผิดชอบดังกล่าว ต้องไม่เกิดจากการเรียกร้องคู่กรณี หากแต่เกิดจากสามัญสำนึกของผู้ที่ได้ทำผิดพลาดโดยตรง จะเห็นว่า การยกโทษ หรือให้อภัยนั้น จึงไม่มีข้อผูกพันกับวัตถุ ข้อเรียกร้อง หรือเงื่อนไขใดๆ จากผู้ให้อภัย เพราะการให้อภัยดังกล่าวเป็นการให้โดยไม่มีเงื่อนไข หรือข้อเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีความเห็น