ธรรมะอีกครั้ง


ถึงแม้ว่าเราจะร่ำเรียนกันมามากมายตั้งแต่เล็กจนโต น้อยครั้งนักที่เราจะได้ระลึกถึงธรรมะที่รู้มา ซึ่งก็เนื่องมาจากสื่อหลักต่างๆของเราบริโภคอยู่นั้น ยังหาวิธีหาการหรือกลยุทธ์ในการผนวกธรรมะเข้าไปด้วยไม่ได้ อีกทั้งสังคมของเรายังมีความเลื่อมล่ำในด้านปัจจัย 4 เป็นอย่างมากซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานขั้นต่ำสุด ก็ได้แต่หวัง Blog แห่งนี้จะส่วนที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันและกระตุ้น ให้คนส่วนใหญ่ได้เข้าถึงคำสอนของศาสนาประจำชาติของเราได้บ่อยมากขึ้น

สมมุติ vs. วิมุติ

วิมุติ- เกิดที่จิตหลุดพ้น ก็ออกจากจิต หมายเอา อัตตา-ที่มีอยู่ในจิตออก สิ่งที่ฝังอยู่ในจิต เราเรียกว่า อุปาทาน เมื่อจิตกำเนิดเป็นกายกับใจ กายใจ -ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิต แต่เมื่อจิตวิมุติ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง ก็สลัดอัตตา(กาย) ที่อยู่ในจิตออกจากจิต(อุปาทายรูป)-"สิ่งที่นำเข้าจิต แล้วออกจากจิตได้" เช่น ปากรับประทานอาหาร น้ำ....จมูก-นำลมหายใจเข้าสู่กาย แล้วเข้าใจว่า กายคือเรา กายคือของๆเรา.....แท้จริงแล้ว จิตอาศัยธาตุ 4 เพื่อดำรงจิตอยู่ในโลก ในการศึกษาธรรม ค้นหาธรรม แล้วละธรรม เข้าสู่วิมุติ-ความหลุดพ้น จากสสาร-พลังงาน......

ก็อันเดียวกันนั่นแหละ ถึงวิมุติ จิตก็หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงไง.....ที่จริงสรรพสิ่งในโลกก็คือสมมุติทั้งสิ้น แต่ก่อนที่เราจะถึงวิมุติ เราก็ต้องศึกษาทำความเข้าใจกับสมมุติให้ดีก่อน ว่ามันคืออะไร? จะทำยังไงกับมัน?.....เมื่อเข้าใจสมมุติ ยอมรับสมมุติ ใช้สมมุติให้เป็น ใช้สมมุตินั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดในสมมุตินั้น ทำสมมุติให้เป็นวิมุติ ทำสัญญาให้เป็นปัญญา......โดยวิธีใส่"ตัวรู้" คือ ตัวสติสัมปชัญญะ ตัวสำคัญนี่แหละเข้าไปตามพิจารณาดูมันทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจเข้าออก จดจ่อ ตามมันให้ทันทุกอิริยาบถ ท่วงท่วงท่า ทุกลีลา ทุกสภาวะ ไม่ว่าจะสงบ เอะอะ ค่อย ดัง วุ่นวายขนาดไหน อย่างไร เมื่อเราตามทัน รู้เท่าทัน รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างมันก็คือธรรมชาติ มีการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เปลี่ยนแปร-แล้วดับไป ตามกฎไตรลักษณ์ทุกอย่าง ไม่มีกฎไหนที่กว้างและครอบคลุมความจริงได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว นั่นแหละจะพบเองว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่สลักสำคัญอะไรเลย ปล่อยวางทุกอย่างลงไว้ตามที่เดิมของมัน แล้วจิตใจเราจะเบาสบาย สงบ สว่าง เย็น ไม่มีอะไรจะมามีอิทธิพล ทำร้ายจิตใจเราได้อีกต่อไป นี่แหละคือความเป็นอิสระเสรีที่แท้จริง คือ การหลุดพ้น หรือวิมุติละนะ......

ทีมา: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amatamahanippan&group=6&month=01-2006&date=16&blog=1

ขอบคุณ ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ http://www.gotoknow.org/profile/worapat ที่ช่วยจุดประกายให้ครับ

 

 

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 31507เขียนเมื่อ 28 พฤษภาคม 2006 10:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
คุณเป็นคนมีจริตแบบไหน ?
ข้อความด้านล่างนี้มาจากคุณ  beeman
ผมอ่านแล้วคิดว่าน่าจะนำมาเผยแพร๋อีกสักครั้งเพื่อให้เราได้เขาใจคนรอบข้างมากขึ้น
===============================
"คุณเป็นคนมีจริตแบบไหน ?

 

เลือกทำงานให้ตรงกับจริตของตนเองได้อย่างมีความสุข

 

    ได้ฟังบรรยายของ ดร.ปราชญา กล้าผจัญ แล้วมีหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ เรื่องของจริต (น่าจะเป็นคำเดียวกับที่สมัยก่อน เขามักใช้คำเรียกผู้หญิงบางคนว่า "ด้ดจริต" เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ยินแล้ว) 

    จริต แปลว่า จิตท่องเที่ยว สถานที่จิตชอบท่องเที่ยว หรืออารมณ์ที่ชอบท่องเที่ยวของจิตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ มี 6 ประการคือ ราคจริต,โทสจริต,โมหจริต,สัทธาจริต,วิตกจริตและพุทธิจริต  ตามรายละเอียดดังนี้

  1. ราคจริต จิตท่องเที่ยวไปในอารมณ์ที่รักสวยรักงาม คือ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ชอบการมีระเบียบ สะอาด ประณีต พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะ เป็นต้น ราคจริต มีอารมณ์จิตที่รักสวยรักงามเป็นสำคัญ อย่าตีความหมายว่า ราคจริต คือจิตมักมากในกามารมณ์ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นก็ผิดพลาดไปถนัดเลยครับ
  2. โทสจริต จิตท่องเที่ยวไปในอารมณ์มักโกรธ เป็นคนขี้โมโหโทโส จะเป็นคนที่แก่เร็ว พูดเสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว
  3. โมหจริต มีอารมณ์จิตลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ ชอบสะสมมากกว่าจ่ายออก มีค่าหรือไม่มีค่าก็เก็บหมด นิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้ของของคนอื่น แต่ของตนไม่อยากให้ใคร ไม่ชอบบริจาคทานการกุศล เรียกว่า เป็นคนชอบได้ ไม่ชอบให้
  4. วิตกจริต มีอารมณ์ชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีเรื่องที่จะต้องพิจารณาอะไรนิดหน่อย
    ก็ต้องคิดตรองอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสินใจ คนประเภทนี้เป็นโรคประสาทมาก มีหน้าตาไม่ใคร่สดชื่น แก่เกินวัย หาความสุขสบายใจได้ยาก
  5. สัทธาจริต มีจิตน้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ เชื่อโดยไร้เหตุผล พวกนี้ถูกหลอกได้ง่าย ใครแนะนำอะไรก็เชื่อได้โดยไม่พินิจพิจารณา
  6. พุทธิจริต เป็นคนเจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ การคิดการอ่าน ความทรงจำดี"

 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท