ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา เป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของในแต่ละท้องถิ่น ได้ถูกนำเอามาปัดฝุ่น ได้รับความสนใจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง ทำให้ได้เห็นรากเหง้าของแผ่นดินผุดขึ้น โผล่ขึ้นมาอยู่เหลือผืนแผ่นดินอีกครั้ง ทั้งที่ศิลปวัฒนธรรมบางอย่างถูกลืมไปนานแล้ว
ครูศิลปะอย่างผมซึ่งเรียนจบมาทางจิตรกรรมและศิลปศึกษา,เทคโนโลยีทางการศึกษา อดที่จะตื่นเต้นดีใจไม่ได้ อาจพูดได้ว่ามาถึงจุดที่ตนเองใฝ่ฝัน เพราะตลอดเวลาที่เข้าไปศึกษาเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นตั้งแต่เด็ก ๆ มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2537) ผมเดินเข้าไปหาปราชญ์ชาวบ้าน (ผู้ที่รอบรู้) ได้สืบค้น ฝึกปฏิบัติ รวมทั้งได้ฝนตนเองในหลาย ๆ ด้าน เป็นต้นว่า ได้ฝึกร้องขับเสภา ฝึกร้องเพลงแหล่ ฝึกหัดทำขวัญนาค เส้นผีคู่บ่าว-สาว ฝึกหัดวาดภาพขึ้นศาล ฝึกวาดภาพพระบท ฝึกหัดแสดงเพลงฉ่อย เพลงอีแซว ลำตัด ฯลฯ ที่ประทับใจมากในช่วงเด็ก ๆ คือ ได้ฝึกหัดแสดงนาฏดนตรี (ลิเก) จนถึงสามารถด้นกลอนสดได้โดยไม่ต้องเขียนเนื้อร้องเอาไว้ท่องจำ และร้องเพลงเชียร์รำวงได้ทั้งคืน โดยที่ในวันนั้นผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่า สิ่งที่ผมได้รับการถ่ายทอดจากผู้รู้ชาวบ้านจะมีคุณค่ามหาศาลต่อแผ่นดิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหมือนมีมนต์ดลใจให้ผมต้องตระเวนไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อที่จะไปพบกับครูเพลงที่ท่านเคยสร้างสรรค์ผลงานเอาไว้ในท้องถิ่น ผมได้พบกับสัจธรรม ได้พบกับความเป็นจริงว่า “ที่คนเก่า ๆ เขาหวงแหนวิชากันนัก ไม่ยอมถ่ายทอดให้กับใครง่าย ๆ ก็เพราะเขาต้องเก็บเอาไว้ให้ทายาท คือลูกหลานได้สานต่อ” และอีกอย่างหนึ่งคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวตนของที่ผู้มาเรียน เพราะเมื่อได้วิชาไปแล้วจะนำเอาไปในทางใด รักษาเอาไว้ได้ยั่งยืนแค่ไหน”
พ่อคุณวัน (คุณตาของผม) ท่านมีลูกชายหลายคนแต่ว่าลูก ๆ ของท่านก็ไม่มีใครสนใจในวิชาอาชีพหมอขวัญ วาดภาพขึ้นศาล เมื่ออายุท่านมากขึ้นวัยล่วงเลย 80 ปี ท่านก็เรียกทาทายาทรุ่นหลานที่ใกล้ชิด และห่างออกไปรวมได้ 9 คนมารับรู้และฝึกปฏิบัติทำขวัญนาค เส้นผี วาดภาพต่อจากท่าน หลานทั้ง 9 คน รับความรู้และปฏิบัติตามหน้าที่ได้ทั้งหมด แต่ความยั่งยืนในการสืบสานมีเพียงคนเดียว นอกนั้นก็วางเฉยไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของความเป็นจริงที่ผมได้รับจากประสบการณ์ตรง และจากคำสั่งสอน ที่ป้าอ้น จันทร์สว่างเคยพูดฝากกับผมไว้ เมื่อ ปี 2520 ท่านกล่าวว่า “ครู(หมายถึงผม) ฝึกหัดเพลงอีแซวไปแล้วขอให้รักให้ตลอด อย่าไปทิ้งมันจะได้มีเชื้อไฟคุกรุ่นไม่มีวันมอดไหม้หรือดับลงได้” ผมบอกกับป้าอ้นว่า “ผมขอให้สัญญาว่าจะสืบสานเพลงอีแซวและเพลงพื้นบ้านของสุพรรณบุรีไปตลอดชีวิต”
วันที่ผมไปฝึกหัดร้องเพลงกล่อมเด็กที่บ้านแม่บัวผัน จันทร์ศรี ปี พ.ศ. 2539 แม่บัวผันนั่งปอกแห้วอยู่ที่แคร่หน้าบ้านกับลูกสาวของท่าน พอไปถึงแม่ก็จำได้ว่าผมเคยยืนอยู่บนเวทีศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดกับแม่ เมื่อ ปี พ.ศ.2538 แม่ถามว่า “ครูมายังไง” ผมก็บอกว่า “ผมจะมาขอฝึกหัดเพลงกล่อม จะต้องใช้อะไรบ้าง” แม่บอกว่า “เพลงกล่อมมีหลายเพลง แม่จะร้องให้ฟัง” ผมนั่งฟังแม่บัวผันร้องเพลงกล่อมเรื่องไอ้ขุนทองจนจบ แม่ร้องหลายเที่ยว มาถึงตาที่ผมร้องบ้าง พอผมร้องจบ แม่ก็บอกว่า”ครูร้องใช้ได้ ร้องได้ดีทีเดียว” แม่บอกว่า “เอาไปสอนเด็กบ้าง กลัวว่ามันจะสูญ น่าเสียดาย”
จาก 3 เหตุการณ์ที่ผมกล่าวมา ถ้าท่านผู้อ่านบทความนี้ได้คิดตามไปด้วยคงพอที่จะมองเห็นภาพนะครับว่า เมื่อมีคน ๆ หนึ่งไปขอรับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากบุคคล คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้รู้และดำเนินชีวิตมาด้วยความรู้ความสามารถของท่าน เอาตัวรอด ช่วยเหลือครอบครัว พึ่งตนเองได้ด้วยลำแข้ง ท่านมีความมั่นใจในตัวเราจึงมอบสิ่งที่ท่านหวงแหนมาให้ และคำฝากที่ได้รับมาก็จะคล้าย ๆ กัน คือ “มีความรู้แล้วนำเอาไปใช้ อย่าไปทิ้งเสีย”
การที่คนรุ่นใหม่จะสืบสานภูมิปัญญาด้านใดด้านหนึ่งให้มีความยั่งยืนยาวนานต่อไปได้ จะต้องมีคนมารับช่วงต่อ ๆ กันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่อาจที่จะบอกได้ว่า คนที่รับการถ่ายทอดความรู้ เพลงพื้นบ้าน ทำขวัญนาค วาดภาพ เขียนสีลวดลายสด ๆ รวมทั้งแหล่ด้นกลอนสดจากผม เขาจะรักในสิ่งที่เรามอบให้และเก็บรักษาเอาไว้ได้นานสักแค่ไหน เพียงแต่เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จะต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด คือ
1. รักษาสิ่งที่เราสืบสานงานเพลงพื้นบ้านเอาไว้ให้คงอยู่ไปตลอดชีวิตของเรา
2. ถ่ายทอดความรู้ที่เรามีไปยังคนรุ่นต่อจากเราทั้งนักเรียนและผู้ที่สนใจ
3. สามารถนำความรู้ไปรับใช้สังคมให้เกิดประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง
ผมทำหน้าที่รักษา (ให้คงอยู่) ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพลงพื้นบ้าน เพลงอีแซว ทำขวัญนาค เพลงแหล่ด้นสด มายาวนานเท่ากับชีวิตของผม และเมื่อถึงเวลาอันสมควร ผมก็ถ่ายทอดความรู้ไปสู่นักเรียนที่สอน มีทั้งนิสิต นักศึกษาและประชาชนที่สนใจ ผมรวบรวมกำลังคนที่มีความสามารถทางการแสดงในชุมชุมศิลปะการแสดงท้องถิ่น เพลงอีแซว ตั้งวงเพลงอีแซวของโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2537 ใช้ชื่อว่า “วงเพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ” นำผลงานไปแสดงและรับใช้สังคมมายาวนานถึง 18 ปี ผ่านประสบการณ์ในการแสดงบนเวทีมาแล้ว 600 ครั้ง (ไม่นับงานส่วนตัวที่ผมไปเดี่ยว ๆ อีกจำนวนมาก)
มีผลงานเป็นที่ปรากฏมายาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 (เป็นภาพถ่ายการแสดงสดบนเวที ในระดับจังหวัด) มีภาพแสดงเพลงฉ่อยของนักเรียนตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2535 มีบันทึกการแสดงสดเพลงพื้นบ้านของครูและนักเรียน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ร่องรอยเหล่านี้หาชมได้ในเว็บไซต์ Yuotube.com (ความจริงในบล็อก gotoknow.org นี้ก็มีครบ ทั้งบทความ ถาพการแสดง เสียงร้อง และภาพเคลื่อนไหว)
สำหรับผมแล้ว “ภูมิปัญญาท้องถิ่นกำลังรอสืบสานด้วยวิธีการที่แท้จริง” เป็นภาระงานที่หนักและยิ่งใหญ่มาก เพราะมันไม่ใช่แค่ทำแล้วก็ปล่อยไป ได้ทำแล้วภาคภูมิใจ ได้เห็นเด็ก ๆ มาฝึกหัดเพลงกับเราแล้วเชื่อมั่นว่าจะต้องมีผู้สืบสานต่ออย่างแน่นอน ความจริงแล้วไม่ใช่ ครับ เพราะนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ยังมองไม่เห็นผลที่แท้จริงเลย แม่แต่การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนก็ไม่อาจที่จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ผู้เรียนมีค่านิยมต่อสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอด ในรูปแบบใดอย่างไร โดยจะต้อง
- แสดงความมีตัวตนที่แท้จริง เป็นจริง ๆ ในสิ่งนั้นจนเป็นที่ยอมรับของสังคม
- รวมกลุ่มได้อย่างเหนียวแน่นและเป็นเวลานาน แสดงถึงความมั่นคง
- เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของท้องถิ่น ใครไปมาหาชมได้ตลอดเวลา
- มีการพัฒนาจนถึงระดับมืออาชีพ รับงานแสดงได้อย่างมหรสพทั่วไป
- สามารถถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นต่อไปได้อย่างน่าเชื่อถือและภาคภูมิใจ
แล้วจะมีวิธีการใดบ้าง ครับ ที่มองเห็นเป็นความจริง ในการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านเพลงพื้นบ้านและด้านอื่น ๆ ให้คงอยู่ได้อย่างเป็นรูปธรรม มิใช่แค่ได้ทำแล้วก็ปล่อยไปตามกรรม ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะกี่ครั้งก็ยังอยู่ที่เดิม มิได้มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าจริง ๆ เสียที น่าเสียดายเวลา งบประมาณการลงทุนทั้งที่ความจริงลงแรงแค่เพียงอย่างเดียว (เสียหยาดเหงื่อ) ก็สามารถทำงานนี้ได้อย่างแน่นอน
ติดตามตอนที่ 2 ภูมิปัญญาท้องถิ่นกำลังรอสืบสานด้วยวิธีการที่แท้จริง
ชำเลือง มณีวงษ์ กับ วงเพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ ยืนยาวมานาน 18 ปี
ดีครับ รักษาไว้ ความภูมิใจท้องถิ่น
วิธีการที่น่าจะดำเนินการได้ ครับ
1. จัดตั้งกองทุน เพื่อสนับสนุนกิจกรรม และ ทายาทสืบสาน (มีเงินช่วยเลี้ยงชีพ)
2. จัดตั้งทุนการศึกษาในสาขานี้ ให้มากขึ้น
3. หาเครือข่ายสนับสนุนกิจกรรม แลกเปลี่ยนกิจกรรม พัฒนาสู่อาชีพ เหมือนงานทั่วไป
4. ชุมชนคนในท้องถิ่น ต้องพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมและเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่น
5. รัฐควรมีองค์กรที่รับผิดชอบโดยตรง (น่าจะเป็น กรมทรัพย์สินฯ หรือ วัฒนธรรม)
ตอบความเห็นที่ 1 อาจารย์พรชัย
ตอบความเห็นที่ 2 อาจารย์นิรันดร์