ความจริงเรื่องความตายเป็นเรื่องที่สนใจมานานแล้ว ในวิชาชีพมีวิชาเฉพาะคือเรื่องการปลงศพ หรือโบราณคดีความตาย ดังนั้นจึงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับซากของความตาย เวลาที่ขุดค้น ทำงานกับโครงกระดูก ค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องของ "โลงไม้"ในแม่ฮ่องสอน พยายามจะสืบค้นการปลงศพของคนโบราณ ความเชื่อเกี่ยวกับความตายในอดีตเป็นอย่างไร ไม่กลัวผี.. (เพราะมักเป็นคำถามที่ถูกถามเสมอ)
ในความเคยชินของการศึกษา "ความตาย"ที่ตายแล้ว ทำให้ลืมไปว่า "ความตาย" ใน"ความเป็น" นั้นเป็นอย่างไร
จนกระทั่งเมื่อจะต้องเผชิญหน้าความตายของแม่ ของกัลยาณมิตร เพื่อน ซึ่งร่วงเหมือนใบไม้ร่วงในช่วงไม่กี่ปี กี่เดือน ทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ทำให้เริ่มคิดว่าจะนำประสบการณ์ในฐานะของผู้ที่ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง กระบวนการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง การผลักไสความหดหู่และความเศร้าควรจะทำอย่างไร
เพราะมีเพื่อนโทรมาถามว่า มีเพื่อนเขาที่คุณแม่กำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และอีกคนมีคุณพ่อกลายเป็นมนุษย์ผัก ได้เห็นความทุกข์ใจของเพื่อน ทำให้รู้สึกว่าอยากเขียนบันทึกที่แบ่งปันทัศนะและประสบการณ์ของตัวเองแม้ว้าไม่เคยได้ไปร่วมกิจกรรมของเครือข่ายพุทธิกา หรือจิตอาสา เพราะเราอาจจะไม่ได้อยู่ในแวดวงที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนๆ
เข้าใจ ให้กำลังใจ บอกที่พึ่ง
สำหรับผู้ที่ดูแลผู้ป่วย สิ่งที่สำคัญอยากได้รับคือความเข้าใจอารมณ์ที่ว้าวุ่น สับสน ความเสียใจ รับไม่ได้กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นสิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับญาติทุกคน หากมีคนรับฟังอารมณ์และให้กำลังใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดา เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน เราควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดสร้างความทรงจำที่ดีระหว่างเรากับคนที่เรารัก แทนการฟูมฟาย และให้ข้อแนะนำว่ามีที่ไหนบ้างที่จะเป็นที่พึ่งได้ เช่น group support กิจกรรมที่เป็นประโยชน์และแนะนำ เพื่อให้ค่อยๆ ยอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้น
เพื่อนร่วมงานที่เข้าใจ
ช่วงเวลาที่ต้องดูแลผู้ป่วย เป็นช่วงที่คนดูแลต้องการกำลังใจมากที่สุด และต้องการเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจ ว่าการทำงานอาจจะไม่เต็มร้อย หดหู่ ขาดความกระตือรือร้น ถ้ามีเพื่อนร่วมงานที่เข้าก็จะช่วยลดความกดดันจากที่ทำงาน
ป่วยเรื้อรัง กับ ใจหดหู่
การป่วยเรื้อรังของแม่ทำให้บั่นทอนจิตใจของตัวเองมาก ความคิดสร้างสรรค์ พลังในทางบวกแทบจะหมดไปจากตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นเวลาหลายเดือนมากที่ไม่มีความก้าวหน้าทางวิชาการใดๆ ในงาน เพราะสมองไม่ทำงานอย่างที่ควรเป็น
แต่ระหว่างการเฝ้าแม่ พบกับคนตายที่ออกจากห้องผู้ป่วยทั้งวัน ทั้งเช้า-เย็น เห็นคนตายต่อหน้าที่อยู่ข้างเตียงแม่ จนกลัวว่าแม่จะกลัว แต่แม่ ซึ่งเป็นพยาบาลเก่าบอกว่าไม่กลัว เฉยๆ ทำให้ใจชื้นขึ้น และเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับบรรดาญาติผู้ป่วยที่พบกันทุกวัน คุยกัน ปรับทุกข์กัน ให้กำลังใจกัน ฝากให้ดูคนป่วยให้กับกันและกัน ส่งข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราไม่อยู่ ทำให้เกิด support groups โดยไม่รู้ตัว ทำให้การมองโลกเปลี่ยนไป เพราะการเริ่มเข้าใจถึงการแก่-เจ็บ เริ่มเข้าใจเห็นใจเพื่อนมนุษย์คนอื่น เริ่มเข้าใจว่าญาติคนป่วยหรือคนเฝ้าไข้ก็ต้องการกำลังใจเช่นกัน
ความสุขที่สร้างได้บนเตียง
ระหว่างที่แม่นอนในห้อง RCU พบว่า การอ่านหนังสือให้แม่ฟังเป็นเรื่องที่แม่ชอบที่สุด พลอยทำให้นึกว่า ความจริงสิ่งที่ช่วยคนป่วยให้สร้างสุขได้คือการได้ฟังเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือของท่านป. ปยุตโต ที่พูดถึงเรื่องกายป่วย แต่ใจไม่ป่วย การอ่านหนังสือและอัดเทปเพื่อให้แม่ฟัง ปรากฏว่าช่วยคลายความเครียดจากการนอนในโรงพยาบาลนานๆ ซึ่งตอนหลังทราบว่าที่แม่นอนไม่หลับในตอนกลางคืนก็เพราะว่าแม่กลัวว่าเมื่อนอนแล้วเกิดเสียชีวิตจะไม่ได้เจอลูกและพ่ออีก นี่เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่ไม่เคยคิดมาก่อน จนกระทั่งใช้เวลากับแม่มากขึ้น เอาใจใส่กับอารมณ์และความรู้สึกของเขามากขึ้นทำให้เข้าใจถึงความกังวลของเขา---นี่เป็นประสบการณ์ที่เล่าให้กับเพื่อนฟังว่าอาจจะต้องให้เพื่อนเขาเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่มีความสำคัญและมีความหมายต่อผู้ป่วยมาก
คำพูดที่ไพเราะจากหมอและพยาบาลคือยารักษาชั้นดี
ประสบการณ์อีกเรื่องที่สำคัญคือ คำพูดที่ไพเราะจากหมอและพยาบาล คือยารักษาคนไข้ชั้นเยี่ยมและกำลังใจของญาติผู้ป่วยที่ดีที่สุด หลายครั้งที่บรรดาแพทย์อินเทิรน์และอาจารย์แพทย์พูดภาษาคนไม่เป็น ซึ่งสร้างปฎิกริยาหลายอย่างให้กับผู้ได้รับฟังคำพูดที่จากแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทำให้นึกเปรียบเทียบว่า แพทย์อาจจะมองผู้ป่วย หรือความตายเป็นเรื่องปกติ จนลืมไปว่าเขาเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ หากเขาเป็นพ่อแม่พี่น้องลูกของท่านล่ะ ท่านจะพูดอย่างไรกับเขา แบบเดียวกับที่เราเคยมองโครงกระดูกที่เป็นวัตถุศึกษาฉันใดฉันนั้น
จากไปโดยไม่ห่วง
เพราะได้ดูแลแม่เป็นเวลานาน ได้เรียนรู้จากหนังสือกองโตโรงพยาบาล และร้านหนังสือ คุยกับเพื่อนที่เป็นหมอ พยาบาลที่คุ้นเคยว่าทำอย่างไรที่จะมีกิจกรรมในการช่วยให้คนป่วยและญาติได้ความรู้ในการเตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะจะช่วยทำให้กระบวนการรักษา ดูแลง่ายขึ้นกระมัง ไม่ได้ติดตามว่ามีกิจกรรมอะไรต่อจากนั้น หลังจากที่แม่จากไป
เมื่อต้องเผชิญกับการจากไปของแม่จริงๆ ทำให้ชีวิตว่างเปล่า ไม่เคยชิน แต่ก็ปรับตัวได้เร็วเพราะมีงานที่จะต้องทำอยู่ตรงหน้า ระหว่างนั้นก็ทำให้กลับมาทบทวน การปลงศพ พิธีกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบว่านั่นคือการแสดงความรัก รำลึกถึงคนที่เรารัก การปฎิบัติต่อแม่ในงานศพก็เต็มไปด้วยความรักผูกพันจากครอบครัว-ญาติมิตร-เพื่อนฝูง เช่นเดียวกับกัลาณมิตร-เพื่อน-พี่ที่จากไป ทำให้ฉุกคิดว่าเวลาที่เรานำเอาซากโครงกระดูกขึ้นมาจากตำแหน่งเดิม เรามัวแต่นึกถึง out put ที่เป็น scientific จนลืมนึกถึง "ความเป็นมนุษย์" เรารู้สึกเฉยมากเมื่อเก็บกระดูกจากหลุมขุดค้น เดินข้ามไปข้ามมาราวกับเป็นวัตถุศึกษาอย่างหนึ่ง
ความตายของกัลยาณมิตร เพื่อน พี่ ในช่วงเวลาคล้อยหลังแม่ไม่นาน ช่วยกระตุกต่อมสำนึกให้กลับมามอง "ความตาย" ในฐานะของ "คนเป็น" 2 อย่างคือ สำหรับเรื่องคนเป็น ทำด้วยการบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับแม่ พูดถึงเรื่องความตายอย่างปกติธรรมดา เพื่อบอกเพื่อนของเพื่อนว่า "ไม่เป็นไรที่เขาจะรู้สึกแย่ในตอนแรก ทำใจไม่ได้ แต่หากเขาต้องการจะทำให้ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เหลืออยู่มีความหมาย เขาก็จำเป็นต้องเรียนรู้ในการเผชิญกับความจริงและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสุดท้าย เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง"
สำหรับความตายของอดีต ความตายที่กลายเป็นเรื่อง "ส่วนตัว" ทำให้โครงกระดูกจากการขุดค้นกลับมามีชีวิตและได้เตือนตัวเองว่าจะต้องปฏิบัติต่อโครงกระดูกด้วยความเคารพในฐานะที่เขาเป็นบุคคลที่มีผู้ที่รักผูกพันเช่นเดียวกับเรา มีการบรรจงฝังศพที่ตั้งใจ...โครงกระดูกจึงไม่ใช่เพียงวัตถุศึกษาหรือวิจัย!
...เพียงเพราะ "เพื่อน" ถามคำถามว่าจะช่วยทำให้ "เพื่อนของเขา" เตรียมตัวกับแม่ที่กำลังจะจากไป ทำให้ได้กลับทบทวนตัวเอง/เจริญสติอย่างตระหนักรู้อีกครั้ง...
ไม่มีความเห็น