• ตอนอายุได้สัก 10 ขวบผมมีหน้าที่ต้มข้าวหมู และเลี้ยงหมู ตอนแรกมี 2 – 3 ตัว เป็นหมูพื้นเมือง เรียกว่า หมู “ขี้พร้า” ตัวดำ ท้องหย่อน หลังหย่อน ตัวไม่โตมาก ตอนหลังมีหมูพันธุ์ สีขาวปลอด ตัวโต หลังตรง ท้องไม่หย่อน เข้ามา คนก็หันมาเลี้ยงหมูพันธุ์มากขึ้น ตอนหลังที่บ้านผมเคยเลี้ยงมากเป็นร้อยตัว โดยเลี้ยงแบบปล่อยในพื้นที่หลายไร่ มีรั้วล้อม ที่เลี้ยงมากเพราะมีที่ มีอาหาร (รำข้าว ปลายข้าว) จากโรงสี และให้ลูกจ้างโรงสีผลัดเวรกันทำหน้าที่เลี้ยง ตอนนั้นผมมาเรียนที่กรุงเทพแล้ว
• ผมมีหน้าที่ไปแบกต้นกล้วย (เรียกว่าหยวก) ที่เขาตัดเครือกล้วยไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้ก็จะค่อยๆ เน่าไป (เราเอาหยวกมาใช้ประโยชน์สองอย่าง อย่างหนึ่งคือเลี้ยงหมู อีกอย่างหนึ่ง ใช้ทำเชือก เรียกว่าเชือกกล้วย จะเล่าวิธีทำภายหลัง) เอาหยวกมาวางนอนไว้สำหรับ “ฝานหยวก” ซึ่งคนปักษ์ใต้พูดว่า “ขวานหยวก” คนปักษ์ใต้พูดออกเสียงตัว ฝ เป็น ขว หมด เช่น ฝน พูดว่า ขวน ไฟ พูดว่า ไคว เสียวฟัน พูดว่า เข็ดควัน
• วิธี “ขวานหยวก” ทำโดยขึ้นไปนั่งคร่อมหยวก ที่ปลายด้านหนึ่ง (ด้านโคน) หันออกนอกพื้น ใช้มือสองข้างจับ “มีดขวานหยวก” ซึ่งเป็นมีดพิเศษ มีด้ามทั้งสองข้าง ตัวมีดงอเล็กน้อย ความยาวของมีดประมาณหนึ่งศอก ปาดหยวกเป็นแว่นบางๆ ลงไปในครกไม้ที่รองรับอยู่ ยิ่งบางยิ่งดี เพราะตำให้แหลกง่าย ถ้าเรา ขวานหยวกบางมาก ผู้ใหญ่มาเห็นก็จะชมว่าเก่ง
• ขวานหยวกจนเต็มครก ก็ตำ ซึ่งเรามักเรียกว่าโขลก โดยใช้สากไม้ยาวประมาณเมตรครึ่ง ด้ามจับอยู่ตรงกลางเป็นช่วงที่คอดจนเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณนิ้วครึ่ง ตัวสากมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 นี้ว ความหนักของสากหนักพอสมควรสำหรับเด็กเพราะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง พอโขลกไประยะหนึ่งก็ต้องเอามือควักให้ส่วนที่อยู่ข้างล่างและยังไม่แหลกขึ้นมาข้างบน ต้องโขลกให้แหลกทั่วกัน มิฉะนั้นเวลาเอาไปต้มก็จะเห็นหยวกที่ยังเป็นชิ้นโตๆ และถูกผู้ใหญ่ตำหนิ
• แล้วเอาไปต้มโดยใช้กระทะขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 – 3 ฟุต บนเตาอั้งโล่ หรือเตาดินที่ใช้หิน 3 ก้อนเป็นเส้า ใช้ฟืนซึ่งเป็นไม้เสม็ดหรือไม้โกงกางที่มีคนตัดมาขาย ที่บ้านผมซื้อมากองไว้ใช้สูงเป็นภูเขา เวลาหน้าฝนฟืนโดนฝนก็จะมีเห็ดขึ้น คือเห็ดแครงและเห็ดเหม็ด ผมมีหน้าที่ไปเก็บมาให้แม่ผัดกิน ตอนต้มหยวกต้องคอยคนเป็นครั้งคราว โดยใช้ไม้พาย
• พอหยวกสุกจนเริ่มเปื่อยก็ใส่รำข้าวและปลายข้าวลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหาร
• บางครั้งหยวกมีไม่ค่อยพอ ผมก็ไปสาวผักบุ้งจากในสระ เอามาหั่นและต้มแบบเดียวกัน อาจต้มปนกับหยวกด้วยก็ได้
• เมื่อข้าวหมูสุกดีแล้วก็ราไฟและปล่อยให้เย็น เอาฝาปิดไว้กันไก่มาลักกิน (ภาษาปักษ์ใต้) พอตกเย็นก็มาตักเอาไปเลี้ยงหมู โดยเอาเทลงในรางไม้ ที่เขาขุดไม้ทั้งต้นทำเป็นราง หรือเอาไม้กระดานมาต่อกันเข้า ทำเป็นราง
• ตอนหลัง เมื่อเลี้ยงหมูเป็นร้อยตัว เวลาให้อาหารจะใช้วิธีเคาะระฆัง หมูที่เดินไปหากินไกลๆ ก็จะวิ่งมาเมื่อได้ยินเสียงระฆัง ระฆังในที่นี้เป็นแผ่นเหล็กแขวนไว้ เอาเหล็กยาวๆ เคาะเสียงดังเก๊งๆ
• ในเศรษฐกิจพอเพียง ชาวบ้านต้องทำมาหากินหลายๆ อย่าง หาทางเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ บ้านผมเลี้ยงหมูในช่วงแรกเพื่อเอาเศษอาหารและหยวกกล้วยไปแปรเป็นเนื้อหมู ช่วงหลังเพื่อเอารำข้าวและปลายข้าวจากโรงสีไปเพิ่มมูลค่า
• ถ้าหมูไม่เป็นโรคก็ได้กำไรดี แต่ถ้าเป็นโรคก็ขาดทุนมากเหมือนกัน สมัยนั้นการป้องกันโรคของหมูยังแทบไม่มี
วิจารณ์ พานิช
๒๓ พค. ๔๙
ใครอยากเลี้ยงหมูแล้วได้น้ำหนักดี โตเร็ว แข็งแรง หมูไม่ตาย ไม่เป็นโรค
ไม่เป็นหวัด ไม่อ่อนเพลีย ที่สำคัญขี้ไม่เหม็น มีฟาร์มตัวอย่างให้ดูด้วย ที่จ.สระแก้ว ใช้ รุ่นที่ 2 ได้กำไรเพิ่ม 30,000 บาท ตอนนี้ผู้เขียนเองจะออกจากงานที่ทำอยู่ออกไปเลี้ยงหมูแล้ว อยู่ กรุงเทพก็เบื่อ อยากทำอะไรที่พอเพียงบ้าง
สอบถามเพิ่มเติมได้
โทร 02-946-0898