การถ่ายทอดทางสังคมในการทำงาน
ความหมายของการถ่ายทอดทางสังคมในการทำงาน
การถ่ายทอดทางสังคมในการทำงาน (Work Socialization) เป็นกระบวนการของการถ่ายทอดความรู้ในวัยผู้ใหญ่ เพื่อให้สมาชิกเกิดความรู้และทักษะในการอาชีพนั้น ๆ รวมทั้งมีบุคลิกภาพตามบทบาทในการทำงาน มีเอกลักษณ์และความยึดมั่นผูกพันในอาชีพ กระบวนการนี้รวมถึงการที่บุคคลซึมซับวัฒนธรรมของอาชีพ ค่านิยม บรรทัดฐาน และจริยธรรมของอาชีพของตน รวมทั้งยกเลิกลักษณะบางอย่างทางสังคมที่เขามีอยู่ และเกิดลักษณะบางอย่างทางสังคมที่ถูกยึดถือโดยสมาชิกในอาชีพนั้น ๆ (อ้อมเดือน สดมณี.2542 ; อ้างอิงจาก Stryker.1978)
พื้นฐานของทฤษฎีกระบวนการถ่ายทอดทางสังคมในการทำงาน
แนวคิดในทางสังคมวิทยา ได้มีการกล่าวถึงตน (Self) ในทางสังคมมนุษย์ไว้ว่า มีการเริ่มพัฒนาจากคนอื่นที่บุคคลนั้นได้ไปสัมผัสและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน โดยเริ่มจากครอบครัวเป็นแหล่งแรก ต่อมาคือ สังคมที่ตนเองเป็นสมาชิก สถาบันและวัฒนธรรมแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมา ได้แก่ โรงเรียน สื่อมวลชน และสิ่งอื่น ๆ มากมายที่รายล้อมรอบตัวเราอยู่ ล้วนมีส่วนส่งเสริมให้เป็นพัฒนาการไปสู่ความเป็นเอกบุคคล
นักจิตวิทยาสังคมได้ตั้งทฤษฎีการปฏิสังสรรค์ (interaction) ระหว่าง ตน กับ บุคคลนัยสำคัญ (Significant Others) โดยกล่าวถึงพัฒนาการของตนที่มีผลกระทบมาจากบุคคลนัยสำคัญและคนอื่น ๆ (Generalized Others) ที่ช่วยก่อรูปร่างของบุคคล (Self) นับตั้งแต่พ่อแม่ เพื่อน หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในระยะแรกของชีวิต และสังคมแวดล้อมที่ขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตตลอดไป (อ้อมเดือน สดมณี.2542 ; อ้างอิงจาก Mead.1934) ต่อมา ไฮแมน (อ้อมเดือน สอมณี.2542 ; อ้าอิงจาก Hyman) ได้สร้างมโนทัศน์ของกลุ่มอ้างอิง (Referance Group) ขึ้นและใช้มโนทัศน์นี้แยกจากกลุ่มที่เป็นสมาชิก (Membership Group) ในความหมายที่ว่า กลุ่มอ้างอิงเป็นกลุ่มที่บุคคลใช้เป็นฐานเปรียบเทียบสำหรับการประเมินค่าตนเอง ซึ่งตนเองอาจไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มอ้างอิงนั้นก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางสังคมแต่เดิมนั้นมุ่งเน้นที่อิทธิพลของกลุ่มที่เป็นสมาชิก แต่แท้จริงแล้วบุคคลอาจมีทัศนะอย่างอื่นที่ได้มาจากกลุ่มอื่นซึ่งตนมิได้เป็นสมาชิก แต่อาจมีอิทธิพลต่อความคิดและการประเมินค่าของตนเอง นอกจากนี้ยังมีนักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ซึ่งนิวคัมได้ให้ความสนใจกับกลุ่มอ้างอิง โดยได้ตั้งแนวคิดไปถึงกลุ่มอ้างอิงเชิงบวก (Positive Reference Group) และกลุ่มอ้างอิงเชิงลบ (Negative Reference Group) ตัวอย่างเช่น คนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนจะใช้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นกลุ่มอ้างอิงเชิงลบ เนื่องจากเขาไม่ชอบกลุ่มที่เขาเป็นสมาชิกอยู่และปรารถนาจะไปอยู่ชั้นที่สูงกว่า ซึ่งเป็นกลุ่มอ้างอิงเชิงบวก ต่อมานักจิตวิทยาสังคมหลายท่านได้ใช้แนวคิดนี้ไปตั้งทฤษฎีกลุ่มอ้างอิง (Reference Group) ซึ่ง Robert Merton (งามพิศ สัตย์สงวน.2546) ได้พูดถึงกลุ่มอ้างอิงว่าบุคคลทำตามบรรทัดฐานของกลุ่มที่เขาหวังจะเป็นสมาชิก และต้องการแสดงว่าเป็นพวกพ้องเดียวกัน ส่วนเฟสติงเจอร์ ซึ่งสนใจในแนวคิดนี้ได้สร้างทฤษฎี การเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison) และเสนอว่า บุคคลมีความโน้มเอียงไปในทางที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้กันทั้งในด้านสถานภาพ หรือด้านความรู้ความสามารถ ซึ่งกระบวนการเปรียบเทียบทางสังคมได้รับความสนใจในรูปของกลุ่มอ้างอิงเป็นอย่างมาก ซึ่งกลุ่มอ้างอิงนี้ได้สนองตอบการศึกษา 2 ประการคือ 1 ) เป็นกลุ่มบรรทัดฐาน (Normative Group) และ2) เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ (Comparison Group) เพื่อปรับเป็นหลักมาตรฐานสำหรับการประเมินตนเอง ซึ่งฮิวและแคนโด กล่าวว่า คนอื่นที่อ้างอิงถึงนั้นมีความหมายต่างๆ กันไป และในแง่ของ The profession-others มักเป็นบุคคลนัยสำคัญซึ่งชี้นำพฤติกรรมการปฏิบัติทางด้านอาชีพ
สำหรับแคทซ์และคาห์น (อ้อมเดือน สดมณี.2542 ; อ้างอิงจาก Katz & Kahn. 1978 : 377-378) ศึกษาการถ่ายทอดทางสังคมด้านอาชีพ ได้แบ่งการถ่ายทอดทางสังคมอาชีพ (Occupation Socialization) และการเป็นสมาชิกขององค์การในสังคมออกเป็น 3 องค์ประกอบ คือ
1. การถ่ายทอดทางสังคมในระยะแรก (Early Socialization) เป็นการถ่ายทอดในวัยเด็ก เป็นกระบวนการภายในครอบครัว เป็นการสร้างภาพตัวเองและการเป็นบุคลที่เป็นสมาชิกที่ดีของบุคคล
2. การถ่ายทอดล่วงหน้า (Anticipation Socialization) เป็นการถ่ายทอดและฝึกให้รู้จักบทบาทในวัยผู้ใหญ่ในด้านต่างๆ ก่อนที่จะเข้าสู่บทบาทนั้นอย่างเต็มตัวตามกระบวนการที่กำหนดไว้ โดยการถ่ายทอดความรู้ บรรทัดฐานและคุณค่า ภายในระบบการศึกษาและเป็นการเตรียมสมาชิกให้เข้าสู่สมาชิกขององค์การต่างๆ
3. การถ่ายทอดเพื่อสู่สมาชิกขององค์การในสังคม (Socialization Practice of Organizations) กระบวนการนี้เกิดภายหลังจากบุคคลเข้าสู่ภาวะสมาชิกขององค์การแล้ว องค์การจะเตรียมการฝึกและอบรมให้ยอมรับกฎ ระเบียบ วินัย ตลอดจนเป้าหมายขององค์การจนทำให้สมาชิกองค์การผู้นั้นยอมรับองค์การ และแสดงตนเป็นฝ่ายขององค์การ (Identification with the organization)
โดยสรุป เนื้อหากระบวนการถ่ายทอดทางสังคมโดยทั่วไป คือการหาความรู้และประสบการณ์ที่เป็นความชำนาญเกี่ยวกับบุคลิกภาพเด่นที่เปลี่ยนไปภายในขอบเขตของหัวข้อใหญ่ 5 ประการ คือ
1. ชนิดของสถานภาพ บทบาท และบุคลิกภาพทางสังคมที่ผู้อยู่ในสถานะนั้น หรือกำลังจะเข้าสู่สถานะนั้นเรียนรู้ภายในบริบททางสังคมที่เกี่ยวข้อง
2. พฤติกรรม การแสดงออก ลักษณะนิสัย และความเชื่อของแต่ละกลุ่มคน มีลักษณะเฉพาะและถ่ายทอดกันอยู่ในสังคมแต่ละสังคมนั้น ๆ
3. พฤติกรรม การแสดงออก ลักษณะนิสัย และความเชื่อมีรากฐานที่ก่อให้เกิดลักษณะเฉพาะทางสังคมตามแบบของแต่ละสังคมนั้น ๆ
4. การกระทบโต้ตอบกันในทางสังคม หรือการกระทำตอบกลับตามความคาดหวัง (Expected Reaction) ที่ผู้อื่นจะกระทำต่อกันนั้นเป็นไปตามแบบแผนที่กำหนด
5. ระเบียบแบบแผนทางสังคม เช่น บรรทัดฐาน ความยึดมั่นผูกพัน ความซื่อสัตย์ ระบบต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกัน
จากทั้งหมดเห็นได้ว่าองค์การ หรือองค์กรที่เราเข้าไปอยู่นั้น เราท้กคนจะถูกขัดเกลา ทั้งนี้เราควรเลือกแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาสู่ตัวเรา พฤติกรรมบางอย่างที่มีอยู่ในองค์การนั้น ถ้าเป็นพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์เราก็ไม่ควรเลียนแบบ เช่น การนินทา การใส่ร้ายป้ายสี นอกจากจะทำให้บุคลิกภาพของเราไม่ดีแล้ว ยังทำให้ผิดศีลข้อ ๔ ซึ่งศีลข้อนี้ เป็นข้อที่มนุษย์ทำผิดบ่อยที่สุด
ด้วยความรักและเมตตา
หมายเหตุ เนื้อหาในบันทึกนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการถ่ายทอดทางสังคมในการทำงาน ลงครุจันทรสาร คณะศึกษาศาสตร์ ม.ราชภัฏจันทรเกษม และ
เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเล็ก ๆ เรื่องหนึ่ง คือ เส้นทางนักมวยไทยอาชีพ
ไม่มีความเห็น