ผลงานวิชาการ “วิทยานิพนธ์ดีเด่น”
การศึกษาเชิงวิเคราะห์สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค
(การปฏิบัติวิปัสสนาของพระพุทธเจ้าและพระสารีบุตร)
“วิปัสสนา” เป็นคำที่ได้ยินได้ฟังกันมาก และใช้กันมากจนเกิดปัญหาสำหรับผู้ปฏิบัติหรือผู้ศึกษาที่มาใหม่ สำนักแต่ละสำนักต่างยืนยันหลักการและวิธีการของตนเองว่าถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ผู้ที่สามารถแสดงหลักการวิปัสสนาที่เป็นเนื้อแท้ตรงแท้ตามหลักการและวิธีการของพระพุทธเจ้าได้ดีที่สุดคือ “พระสารีบุตร” และพระสารีบุตรท่านแสดงได้อย่างจะแจ้งชัดเจนว่า หลักการปฏิบัติวิปัสสนาของพระพุทธเจ้ามีเพียง ๔ อย่าง คือ (๑) วิปัสสนามีสมถะนำหน้า (๒) สมถะมีวิปัสสนานำหน้า (๓) สมถะและวิปัสสนาเข้าคู่กันหรือพร้อมกัน (๔) เมื่อจิตเขวด้วยธรรมุธัจจ์ หรือ จิตฟุ้งด้วยวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง มีแสงสว่าง เป็นต้น
ท่านชี้ชัดว่าวิปัสสนาคือ การยกจิตเข้าสู่ไตรลักษณ์ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยหลักการและวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงแสดงวิปัสสนาไว้สมบูรณ์ที่สุดอยู่ใน “มหาสติปัฏฐานสูตร” เป็นหลักการวิธีการปฏิบัติวิปัสสนามีสมถะนำหน้า ยกตัวอย่าง การตามดูลมหายใจเข้า-ออก ในตอนแรก เป็นสมถะ และเมื่อมีสติพิจารณาเห็นธรรม(ลมหายใจ)ที่เกิดในกาย เห็นธรรม(ลมหายใจ)ที่ดับในกาย โดยไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิ ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรในโลก สภาวะอย่างนี้จึงเป็นวิปัสสนา
ผู้ฝึกปฏิบัติวิปัสสนา อุปมาเหมือนนักมวยสากลสมัครเล่น ที่มีกฎกติกาการให้คะแนน ถ้าชกโดยส่งกำลังออกจากหัวใหล่ แล้วใช้ส่วนหน้าของหมัด(ที่เป็นสีขาวที่อยู่บริเวณหน้านวม) ชกโดนคู่ต่อสู้จะเป็นหน้า ลำตัว หรือส่วนไหน ๆ ก็จะได้คะแนน ถ้าเป็นสันมือ หรือการชกในลักษณะเหวี่ยงหมัดจะไม่ได้คะแนน วิปัสสนาในพระพุทธศาสนามีคะแนนการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติที่ฉลาดต้องรู้ด้วยตนเองว่าได้คะแนนหรือไม่ ซึ่งการได้คะแนนก็คือการกำหนดยกจิตเข้าสู่ไตรลักษณ์ได้อาจจะเห็นอนิจจัง หรือทุกขัง หรืออนัตตา แล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสังขาร เกิดลักษณะอาการคลายกำหนัด อาการราคะดับ สุดท้ายมีสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ เรียกว่าได้คะแนน แต่ถ้าเพียงบริกรรมเฉย ๆ แล้วใจสงบ สบาย ไม่เห็นไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ได้คะแนน เหมือนนักมวยสากลที่ชกไม่โดน หรือชกไม่ถูกตามกฎการให้คะแนน เหวี่ยงหมัดบ้าง ขว้างหมัดบ้าง ซึ่งมีประโยชน์เพียงการป้องกันคู่ต่อสู่ไว้ไม่ให้บุกเข้ามา คะแนนจากการกำหนดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะกัดกร่อนกิเลสทีละเล็กทีละน้อยจนในที่สุดทำไปด้วยวิระยะ(ความเพียร) ก็สามารถน็อคกิเลสได้ ดับทุกข์ พ้นทุกข์ ได้จริง สติปัฏฐานมีลักษณะการทำงาน หรือหน้าที่ตามสภาพกำลังของสติได้ ๔ อย่าง คือ
๑. สติที่มีกำลังหน้าที่ “กั้น” ความชั่ว กั้นอกุศล (สมถะ)
๒. สติที่มีกำลังหน้าที่ “เจริญ” ความดี พัฒนากุศล
๓. สติที่มีกำลังหน้าที่ “ฆ่า” ความชั่ว ปหานอกุศล (วิปัสสนา)
๔. สติที่มีกำลังหน้าที่ “รักษา” ความดี รักษากุศล
เมื่อความมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ การดับทุกข์ หรือการพ้นจากทุกข์ จึงมีพระพุทธพจน์ที่ระบุชี้ชัดว่าหลักการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ หรือพ้นจากทุกข์ คือ “สติปัฏฐาน” ซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น เป็นการยืนยันถึงหลักการและวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนของพุทธธรรม “สติปัฏฐาน” จึงเป็นมรดกอันล้ำค่าของชาวพุทธที่ถูกรักษาถ่ายทอดสืบต่อ ๆ กันมา แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง “สติปัฏฐาน” ก็เป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกนำมาอธิบายขยายความวิพากษ์วิจารณ์ตีความไปในลักษณะต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้แสดงสติปัฏฐานด้วยพระองค์เองซึ่งปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกพบว่า พระองค์ทรงได้อธิบายขยายความของสติปัฏฐานในหลากหลายรูปแบบหลายลักษณะ ครอบคลุมหลักพุทธธรรมและหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ทรงแสดงตั้งแต่หลักพื้นฐาน ทั่ว ๆ ไปจนไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ “ความดับทุกข์” ทรงตรัสแสดงในฐานะเป็นพุทธบัญญัติบ้าง ในฐานะหลักธรรมคำสอนบ้าง ทรงแสดงเต็มรูปแบบบ้าง ทรงแสดงเพียงบางส่วนบ้าง ทรงแสดงไว้เป็นการเฉพาะและทรงแสดงไว้ในชื่อกัมมัฏฐานอื่นบ้าง และทรงตรัสแสดงเพื่อเชื่อมโยงหรือขยายไปสู่หลักธรรมอื่น ๆ ซึ่งมีคำอธิบายทั้งในด้านหลักการและวิธีปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนโดยเฉพาะใน “มหาสติปัฏฐานสูตร” มีรายละเอียดสมบูรณ์เต็มรูปแบบเพียงพอต่อการนำไปปฏิบัติกัมมัฏฐานได้ด้วยตนเอง
ในสมัยเดียวกันนั้น “พระสารีบุตร” อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้มีปัญญามากสามารถอธิบายธรรมะได้อย่างแตกฉานพิสดาร ซึ่งท่านได้อธิบายสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หลากหลายนั้นด้วยการสรุปลงที่หลักการของ “ปัญญา” หรือ “วิปัสสนา” เป็น “วิปัสสนาล้วน” ว่าด้วยการกำหนดพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ราคะดับ ไม่ยึดมั่นถือมั่น สติปัฏฐานที่ท่านอธิบายมีชื่อว่า “สติปัฏฐานกถา” [๑] อยู่ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ ถือกันว่าเป็นปกรณ์ทางกัมมัฏฐานเล่มแรกของพระพุทธศาสนา[๒] เป็นคัมภีร์แนวอภิธรรมชั้นต้น ๆ[๓] ที่สำคัญคือเป็นผลงานของพระสารีบุตรผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีที่มีปัญญาล้ำเลิศ ด้วยเหตุนี้สติปัฏฐานกถาจึงเปรียบดั่งเพชรเม็ดงามที่ถูกเจียรนัยแล้วเพื่อประกาศสัทธรรมจักร ดังคำกล่าวยกย่องท่านไว้ว่า[๔]
ท่านเป็นสัทธรรมเสนาบดี คือผู้ประกาศพระสัทธรรมจักร ผู้เข้าใจความแจ่มแจ้งในอรรถตามความเป็นจริงของพระสูตรทั้งหลายที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว ผู้นำในการยังธรรมประทีปให้โชติช่วง อธิบายความได้อย่างลึกซึ้ง มีความลุ่มลึกดุจสาคร กว้างขวางดุจท้องฟ้านภากาศที่ดารดาษด้วยหมู่ดาว
เนื้อหาที่กล่าวมาเป็นเพียงการสรุปจาก “วิทยานิพนธ์การศึกษาเชิงวิเคราะห์สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค” ซึ่งถูกคัดเลือกตัดสินให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีเด่น ๒๕๕๑ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้วิจัยมีซีดีในรูปแบบ word และ pdf พร้อมหนังสือเก็บเพชรจากวิทยานิพนธ์ดีเด่น จำนวนจำกัดเพื่อแจกฟรี หรือผู้ใดสงสัยการปฏิบัติ หรือครูบาอาจารย์ท่านใดที่ต้องการจะแนะนำเสริมเติมแต่งให้สมบูรณ์สามารถติดต่อผู้วิจัยได้ที่ ๐๘๓๑๒๕๖๓๗๕
[๑] ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๓๔-๓๕/๔๔๐-๔๔๓, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๔-๓๕/๕๙๒-๕๙๖.
[๔] ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๒, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/[๙], อ้างใน เสนาะ ผดุงฉัตร, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์อานาปานัสสติกถา ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิต, (บัณฑิตวิยาลัย, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๗๗.