หน้าแรก
สมาชิก
ภูฟ้า
สมุด
บนเส้นทางธรรม
อ่านใจธรรมชาติ
ภูฟ้า
ดร. สุรเชต น้อยฤทธิ์
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
อ่านใจธรรมชาติ
"ความอยาก" เป็นได้ทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับว่า อยากเพราะ "หลง" หรือ อยากเพราะ "ปัญญา" เราควรเข้าฝึกเรียนรู้ทำความรู้จักกับเจ้าความอยาก ไม่ใช่ถอยห่างหรือหลีกหนีมัน
จากเหตุที่ได้เดินทางไปสอนที่จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเดือนก่อน ทำให้ได้หนังสือธรรมะของท่านพระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท) จากวัดหนองป่าพงพร้อมกับแผ่นซีดีเทศนาธรรมของท่าน หนังสือเล่มแรกที่ผมสุ่มมาอ่านนั้นชื่อ "กุญแจภาวนา" ใช้เวลาอ่านอยู่เดือนกว่า ๆ พบว่า เป็นหนังสือที่ดีมาก
เมื่อวานนี้จึงสุ่มหยิบหนังสือเล่มต่อไปขึ้นมาอ่าน ได้เล่มที่ชื่อว่า "โพธิญาณ" สุ่มอ่านตอนที่ชื่อว่า "อ่านใจธรรมชาติ"
โอ้โฮ! ถึงกับวางไม่ลงเลยครับ อ่านจนถึงตีสอง จึงขอนำองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาถอดเป็นบทเรียนไว้บางส่วนดังต่อไปนี้ครับ
แต่ก่อนผมเข้าใจว่า เจ้า "ความอยาก" เป็นสิ่งที่ไม่ดี ควรลด ละ เลิก สยบ เอาออก หรือหนีไปให้ไกล ๆ จากความอยากทั้งหลาย
แต่ความเข้าใจใหม่ คือ "ความอยาก" เป็นได้ทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับว่า อยากเพราะ "หลง" หรือ อยากเพราะ "ปัญญา" เราควรเข้าฝึกเรียนรู้ทำความรู้จักกับเจ้าความอยาก ไม่ใช่ถอยห่างหรือหลีกหนีมัน
-----------------------------
การภาวนา หมายความว่า ให้คิดดูให้ชัด ๆ พยายามอย่ารีบร้อนเกินไป อย่าช้าเกินไป ค่อยทำ ค่อยไป แต่ให้มีวิธีการและจุดหมายในการปฏิบัติภาวนานั้น
ทุกคนที่ออกมาปฏิบัตินั้น ก็ออกมาด้วย "ความอยาก" นี้บางทีมันก็ปนกับความหลง ถ้าอยากแล้วไม่หลง มันก็อยากด้วยปัญญา
บางคนไม่อยากจะให้มันอยาก เพราะเข้าใจว่า การมาปฏิบัติก็เพื่อระงับความอยาก ความจริงน่ะ ถ้าหากว่าไม่มีความอยาก ก็ไม่มีข้อปฏิบัติ
มันอยากด้วยความหลง มันก็เป็นตัณหา ถึงแม้ไม่อยาก มันก็เป็นความหลง มันก็เป็นตัณหาเหมือนกัน เพราะมันขาด "ปัญญา"
ความเป็นจริงนั้น ธรรมะมันอยู่ตรงนั้นแหละ ตรงความอยากกับความไม่อยากนั่นแหละ แต่เราไม่มีปัญญา ก็พยายามไม่ให้อยากบ้าง เดี๋ยวก็อยากบ้าง อยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ ความจริงทั้งสองอย่างนี้ หรือทั้งคู่นี้มันตัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ใช่สองตัว แต่เราไม่รู้เรื่องของมัน
พระพุทธเจ้าของเราและสาวกทั้งหลายของพระองค์ท่านก็อยากเหมือนกัน แต่ "อยาก" ของท่านก็เป็นเพียงอาการของจิตเฉย ๆ อีกเหมือนกัน มันวูบเดียวเท่านั้นก็หายไปแล้ว
ดังนั้น ความอยากหรือไม่อยากนี้ มันมีอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับผู้มีปัญญานั้น "อยาก" ก็ไม่มีอุปาทาน "ไม่อยาก" ก็ไม่มีอุปาทาน เป็น "สักแต่ว่า" อยากหรือไม่อยากเท่านั้น ถ้าพูดตามความจริงแล้วมันก็เป็นแต่อาการของจิต อาการของจิตมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ภูฟ้า
ใน
บนเส้นทางธรรม
คำสำคัญ (Tags):
#พระโพธิญาณเถร
#หลวงปู่ชา สุภัทโท
หมายเลขบันทึก: 302364
เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2009 11:29 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม 2014 13:24 น. (
)
สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (2)
ธรรมฐิต
เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2009 12:36 น. (
)
อยากเพราะหลงเรียกว่า..ตัณหา..
อยากเพราะปัญญาเรียกว่า..ฉันทะ..
สาธุอาจารย์
ภูฟ้า
เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2009 13:18 น. (
)
นมัสการ พระอาจารย์
อยากเพราะหลงเรียกว่า..ตัณหา..
อยากเพราะปัญญาเรียกว่า..ฉันทะ..
กราบขอบพระคุณครับ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ภูฟ้า
สมุด
บนเส้นทางธรรม
อ่านใจธรรมชาติ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท