มาถึงแผ่นพับฉบับที่ 3 แล้ว จากสองฉบับที่ได้ลงก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องของกฎหมายสูงสุดของประเทศ และบทบาทของรัฐสภา และความเป็นมาของทั้งสองอย่างแล้ว วันนี้จะได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของบทบาทระหว่างผู้บริหารประเทศ และผู้คุมและออกกฎของประเทศแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้สนใจอยากจะทราบแน่นอนว่าจริงๆ แล้วรัฐสภากับรัฐบาลมีความสัมพันธ์ และเชื่อมโยงกันอย่างไร เพราะทุกวันนี้มักลืมกันเสมอ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับฝ่ายรัฐบาลเป็นความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ถ้ารัฐสภามีความเป็นอิสระจากรัฐบาลมากเพียงไร ความเป็นประชาธิปไตยในระบบการเมือง และการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทางรัฐบาลก็จะมีมากขึ้นเพียงนั้น แต่รูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับรัฐบาลจะเป็นอย่างไร และอิสรภาพของรัฐสภาจากรัฐบาลจะมีมากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศที่มีแตกต่างกันไป
โดยทั่วไปความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับรัฐบาลเกิดขึ้นจากอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาที่มีต่อฝ่ายบริหาร 4 ประการ คือ
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากจากพรรคเดียวหรือหลายพรรครวมกันเป็นผู้เลือกผู้บริหารคือ นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภา ภายหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้ารัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและบริหารงานตามนโยบายที่ได้แถลงเอาไว้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนและการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของรัฐบาลจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในโอกาสต่อไป ดังนั้น สภาผู้แทนราษฎรจึงต้องมีหน้าที่ควบคุม ดูแล การปฏิบัติงานของรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจ รวมตลอดถึงการออกพระราชบัญญัติกฎหมายต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการปกครองและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศ
1. ในการแต่งตั้งคณะผู้บริหาร
พรรคการเมืองที่ได้รับเสียข้างมากหรือพรรคหลายพรรคร่วมกันเป็นเสียงข้างมาก จะเป็นผู้จัดการตั้งรัฐบาล โดยทั่วไป หัวหน้าพรรคที่มีคะแนนเสียงข้างมากหรือคะแนนเสียงสูงสุดจะได้แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาหรือบุคคลภายนอกเป็นรัฐมนตรีตามความเหมาะสม ดังนั้นสมาชิกรัฐสภาฝ่ายข้างมากและรัฐบาลจึงเป็นพวกเดียวกัน และมีอำนาจในการควบคุมวาระการประชุมและการตัดสินใจของรัฐสภา ทำให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลเป็นผู้มีบทบาทควบคุมสภา ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับรัฐสภาจะมั่นคงราบรื่นตราบเท่าที่ฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบเป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ และสมาชิกพรรคฝ่ายรัฐบาลมีระเบียบวินัยดี แต่ฝ่ายบริหารจะประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองได้ถ้าดำเนินนโยบายผิดพลาด ไม่มีประสิทธิภาพ สมาชิกพรรคของฝ่ายรัฐบาลอาจจะร่วมมือกับสมาชิกพรรคของฝ่ายเสียงข้างน้อย หรือฝ่ายค้านในการออกเสียงไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงต้องพยายามบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และพยายามที่จะควบคุมเสียงสมาชิกในสภาให้ได้
2. ในการบัญญัติกฎหมาย
ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างกฎหมายจะเสนอได้โดยคณะรัฐมนตรีหรือโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในทางปฏิบัติร่างพระราชบัญญัติส่วนมากจะเสนอโดยคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้น เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบก็จะเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไปยังวุฒิสภา เพื่อพิจารณาต่อไป ในบางประเทศมีการตั้ง "คณะกรรมาธิการสามัญ" ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายหรือมีการตั้ง "คณะกรรมาธิการพิเศษ" หรือ "คณะกรรมาธิการเฉพาะเรื่อง" ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภายในและภายนอก หรือจัดตั้ง "คณะกรรมาธิการผสม" จากทั้งสองสภาร่วมกันพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ก็ได้
3. ในการอนุมัติงบประมาณ
ปัจจุบันหน้าที่นี้ คือ การควบคุมดูแลการใช้จ่ายเงินของฝ่ายบริหาร พรรคฝ่ายค้านจะเป็นผู้ควบคุมเวลาการอภิปรายเกี่ยวกับร่างงบประมาณการเงินที่เสนอโดยฝ่ายรัฐบาลในแต่ละปี ซึ่งฝ่ายค้านจะถือเป็นโอกาสที่ดีในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไปในเวลาเดียวกัน
4. ในการตรวจสอบและควบคุมการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร
สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ในการติดตามการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ทั้งนี้โดยสภาผู้แทนราษฎรมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการต่างๆ มากกว่า 20 คณะ ทำหน้าที่สอดส่งดูแลการปฏิบัติงานของกระทรวงต่างๆ คณะกรรมาธิการต่างๆ เหล่านี้ เช่น คณะกรรมาธิการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ คณะกรรมาธิการคมนาคม คณะกรรมาธิการทหาร คณะกรรมาธิการการปกครอง และคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ เป็นต้น คณะกรรมาธิการเหล่านี้จะสอดส่งซักถามการทำงานของฝ่ายบริหารหรือตรวจสอบเมื่อสงสัยว่าจะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือประพฤติมิชอบต่างๆ
โดยสรุป รัฐสภาและรัฐบาลมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และรัฐสภาควรมีความเป็นอิสระจากรัฐบาลพอสมควรเพื่อที่จะควบคุมดูแลการออกกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสัมพันธ์ของสถาบันทั้งสองนี้ในแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันไปตามรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศจึงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบที่ตายตัวเนื่องจากประเทศต่างๆ ยังคงมุ่งพัฒนารูปแบบของความสัมพันธ์ของสถาบันทั้งสองนี้ให้ดีขึ้นอยู่เรื่อยๆ เพื่อมิให้รัฐสภาหรือรัฐบาลมีอำนาจมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
ขอขอบผู้เรียบเรียงที่ให้ความรู้ รองศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย ศิริไกร
จากการจัดทำโดย อนุกรรมการวิชาการและวางแผนการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมืองคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง
ไม่มีความเห็น