การสร้าง “คุณธรรม” ให้เกิดให้มีในจิตใจของ “ครู” นั้น สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ถ้าหากมี “คน” เข้าไปปั่น “กิจกรรม” ภายในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย...
ระบบ ระเบียบ แบบแผนเดิมที่นำครู นำนักเรียนออกมาอบรม สัมมนา เข้าค่าย ทำกิจกรรมตามวัด ตามสถานที่สำคัญทางศาสนานั้นก็ได้ผลในรูปของ “กิจกรรม” ซึ่งทำไปงั้น ๆ ตามคำสั่ง ตามโครงการ
ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นนั้นต่ำมาก วัดได้จากการที่เราเองเคยได้อยู่ที่เชียงใหม่ สถานที่แห่งนั้นมีโรงเรียน มีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ขอเข้ามา “ใช้สถานที่” และบุคลากรซึ่งเป็น “พระ” เป็นผู้อบรมให้นั้น เราเองไม่ได้ไปบรรยายอะไรกับเขาหรอก แต่คอยสังเกตุการณ์ดูห่าง ๆ แบบ “ใส่ใจ” แล้วพบว่า ปัญหานั้นอยู่ที่ “วิทยากร” เป็นหลัก...
คนที่ได้ชื่อเป็น “พระ” คือถูกสมมติให้เป็น “สงฆ์” นั้นคือ ปัญหาสำคัญในการเป็นผู้นำด้าน “จิตวิญญาณ”
ปัจจุบันพระนั้นใช้หลักการอบรมแบบ “โยม” คือ ใช้สื่อ ใช้คำพูด ใช้หลักการ การจัดกระบวนการแบบที่ “โยม” เขาทำกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่มีหลัก ไม่มีฐาน ไม่เข้าใจ “ศาสนา” อย่างแท้จริง
จึงมักโอนอ่อน ผ่อนตาม ข้อเรียกร้องของผู้มาเข้ารับการอบรมต่าง ๆ นานา ทิ้งข้อวัตร ข้อปฏิบัติของทางเรา (วัด) แล้วก็ไปทำตามเขา (บ้านและโรงเรียน) จึงทำให้ผู้เข้าอบรมเคยตัวและ “เสียนิสัย...”
การเข้าค่ายปฏิบัติธรรมก็เลยกลายเป็นการเปลี่ยนสถานที่อบรมจากโรงเรียนมาเป็น “วัด” แค่นั้น
โดยเฉพาะผลสัมฤทธิ์ที่กล่าวถึงตอนแรกนั้น เราวัดได้จากคนที่เข้ามาอบรมแล้วจะย้อนกลับมาปฏิบัติธรรม เข้ามาวัดอีกหรือไม่
เท่าที่เราพบนั้น ไม่ถึง “หนึ่งเปอร์เซ็นต์” ที่มาอบรมธรรมะในวัดแล้ว เขาจะกลับเข้ามาวัดอีก
คือ วัดทำได้ไม่ “ถึงใจ” ไม่สามารถชักจูงใจ และใช้โอกาสนี้ให้เขาเกิดความรู้สึกดี ๆ กับ “ศาสนา...”
อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ทำให้เกิดการสร้างภาพที่ว่า จะทำดี จะทำบุญต้องมาวัด เวลาอยู่ที่วัดนั้นเราถึงจะต้องมี “คุณธรรม”
เวลาที่อยู่ในสังคม ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ในองค์กรต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมี “คุณธรรม” ก็ได้
เรื่องคุณธรรมจึงเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องเฉพาะที่ เฉพาะแห่ง
ดังนั้นโจทย์สำคัญก็คือ เราจะทำอย่างไรให้ “ครู” “อาจารย์” “ข้าราชการ” “นักเรียน” และ “นักศึกษา” นั้นมีคุณธรรมที่ “เนียน” เข้าไปใน “ชีวิตประจำวัน...” ให้ลมหายใจทุก ๆ ครั้งของเขานั้นคือ “ความดี”
การมีตัวจักรสำคัญเข้าไปปั่น “กิจกรรมเนียน ๆ” ในองค์กรจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่ง
คนในองค์กรเองแม้นเพียงสักคนหนึ่ง ที่สามารถทำให้เขาดู พูดให้เขาฟัง สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ค่อย ๆ ซึม ค่อย ๆ ฝังให้เนียนเข้าไปในองค์กร
ในมหาวิทยาลัย ถ้าหากมีอาจารย์สักคนหนึ่งที่ทำตัวเป็นรูปแบบที่ดีให้แก่ศิษย์และเพื่อนอาจารย์ด้วยกันดูได้นั้นจะเป็นประโยชน์ที่ใหญ่หลวง
การพาอาจารย์ทั้งหมดไปอบรม เข้าค่ายปฏิบัติร้อยครั้ง ยังไม่สู้กับการมี “ครูดี” ฝังตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยเพียงคนเดียว...
การกระทำตนให้เป็นแบบอย่างด้วย “ชีวิต” ในชีวิตประจำวันของอาจารย์ผู้นั้น จักเป็น “รูปแบบชีวิต” ที่สามารถนำอาจารย์และศิษย์ประพฤติ ปฏิบัติตามได้
ดังนั้นการเชิดชู “อาจารย์ดี” อาจารย์ที่มีคุณธรรม ทั้งในชีวิตครอบครัวและหน้าที่การงานนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องของ “วิถีชีวิต” ที่สามารถทำให้ “ศิษย์” นั้นมีทางเลือกใหม่ในการที่จะก้าวไปในถนนแห่งความดี
รูปแบบวิถีชีวิตจากสื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนัง เป็นละครนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นวิถีชีวิตที่ผิดศีล “ผิดธรรม…”
การน้อมนำวิถีชีวิตที่ดี ๆ ให้ศิษย์เห็นนั้นจึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่แก่จิตใจ
จากนั้นถ้าหากมีใครสักคนหนึ่งคอย “ปั่น” คอยชี้ ให้เพื่อนอาจารย์ดี คอยปั่นให้เด็กเห็น ส่งเสริมและ “เชียร์” รูปแบบวิถีชีวิตที่ดี ๆ นี้ แน่นอนว่าศิษย์อีกมากหลาย เพื่อนอาจารย์อีกมากมายจะนำมายึดถือและปฏิบัติตาม
ในรูปแบบของชีวิต ไม่จำเป็นต้องดีร้อยทั้งร้อย
คนหนึ่งมีดีหนึ่ง ก็ขอให้เชิดชูความดีในหนึ่งเส้นทางนั้น
ครู อาจารย์ หรือศิษย์คนใดมีความดีอะไร ร่วมกัน “ปั่น” ความดีนั้นให้ฟุ้ง ขจร กระจาย
แบบอย่างชีวิตที่ดี ๆ ในสังคมนี้มีน้อย ขอให้เราร่วมกัน “ปั่น” คุณธรรมน้อย ๆ นั้นให้ “ประจักษ์”
ก้าวแรกในความดีเริ่มจากหนึ่ง ค้นหาและ “ปั่น” ความดี ให้เนียนเข้าไปในชีวีของทุกคน...
คนเราทุกคนไม่สามารถดีได้ทุกด้าน หากด้านใดของใครทำได้ดี ช่วยกันส่งเสริม เราจะได้คนดีเพิ่มขึ้น คนที่ถูกยกย่องให้ดีในด้านใด ด้านอื่นๆ เขาจะพยายามปรับให้ดีไปเอง เพื่อรักษาดีไว้ให้คนชม ขอบคุณ สุญญตาที่แบ่งปันความรู้ ความคิดนี้
ตัวจักรหรือฟันเฟืองที่สำคัญซึ่งจะนำความสำเร็จมายัง "การศึกษาไทย" ได้คือ "ตัวปั่น"
คนที่จะลงไปปั่น "คุณธรรม" นั้นต้องสามารถน้อมนำกระบวนการ KM เข้าไปใช้ได้อย่าง "เนียน" ทั้งในงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน
คุณสมบัติของ ครู ก นักปั่นจึงต้อง "หลุดกรอบ" แต่มีความเข้าในกรอบอย่างลึกซึ้ง
มีความเข้าใจกระบวนการและสามารถประยุกต์ใช้กระบวนการได้ตามสถานการณ์ ปรับปรุงกระบวนการได้อย่างเฉียบแหลม
ความเข้าใจกรอบอย่างลึกซึ้งนั้นก็คือ การเข้าใจวัตถุประสงค์ว่า ที่เราทำนี้เพื่อ "ระบบการศึกษาไทย"
เราทำเพื่อ "การศึกษาของประเทศไทย" นะ มิใช่เราทำเพื่อใคร หรือมิใช่เพียงแค่ "ทำเพื่อครู"
แนวคิดของ "ครู ก" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตอกย้ำกันให้ชัดเจน
เป้าหมาย ปลายทาง สิ่งที่ต้องการ ต้องแม่น ต้องแน่ชัด
ทีมงานจึงต้องคุยกันเรื่อง "เป้าหมาย" กันอย่างกระจ่าง ทุกคนในทีมจะต้องวางงานเพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
ถึงแม้นว่าในระหว่างการทำงานนั้นจะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปตาม "บริบท" แต่ทุก ๆ ย่างก้าวที่เปลี่ยนไป เป้าหมายต้อง "ไม่เปลี่ยนแปลง..."
ทุก ๆ อย่างก้าวของ "ครู ก" ต้องทำความดี ต้องกระทำทุกอย่างในพื้นฐานที่ "เสียสละ"
ผลประโยชน์นั้นจักต้อง "เคลียร์" กันให้แน่ชัด ว่างานนี้ผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุด คืออะไร...?
ผลประโยชน์ส่วนรวมจักต้องมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัวเสมอ
เงินมีไว้เพื่อขับเคลื่อนเครือข่าย แต่ไม่ได้มีไว้ "ซื้อใจครู..."
ใจครูที่ทำงานงานนี้จักต้องดี และ "มั่นคง..."
คุณสมบัติของครูนักปั่นที่ทำงานนี้จะต้อง "เสียสละ..."
จักต้องสู้และแข็งแกร่งเมื่อโดนคำติฉิน นินทา
จักต้องยืนหยัด มั่นคง รอคอย ผลประโยชน์ในวันข้างหน้ามากกว่าผลประโยชน์อย่างฉาบฉวย
การเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาไทยนั้นจักต้องรอแรมเดือน แรมปี ดังนั้น "ครูดี" จักต้องอดทน
ครูนักปั่นจะโดนด่ามากกว่าโดนชม
ต้องฝึก "สติ" และ "การปล่อยวาง" ให้มาก
ต้องฝึกเชื่อใจตนเอง เชื่อการกระทำที่ดีของตนเองมากกว่าเชื่อ "น้ำคำ" ของคนอื่น
ต้องมั่นใจในการกระทำของตนเอง
ต้องคิดดี พูดดี และทำดีอยู่เสมอ
และต้องยิ้มให้ได้ในทุกสถานการณ์
ครูนักปั่นงานหนักไหม หนักสิ เพราะจักต้องเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์การศึกษาไทยในทศวรรษที่สองนี้
เครือข่ายนี้ถ้าทำให้นี้สามารถพลิกประวัติศาสตร์หนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาได้
เพราะเราสามารถนำความดีให้ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของคนไทยที่ชื่อ "ครุ..."
อืม.......แบบนี้ก็เป็น การเอา ครูดี ไปฝังตัวในระบบ
อืม......ทำไงดีนะ เริ่มจาก ปรับของเดิมที่มีอยู่ ดึง จุดดีของครูแต่ละคน
มาชี้ให้เห็น ผลักดันให้เขาเห็นคุณค่าของตนเอง เชื่อมั่นในความดี ละอายในการทำชั่ว
หรือ เปลี่ยนน้ำดี หาครู ที่ดี มีคุณธรรม เข้าไปแทรกซึม
ในระบบ แบบเนียน ๆ ไม่โดดเด่น แต่ไม่เคยหายไป
ยกย่องครูดี ๆ ให้เป็นต้นแบบ