เคยมีอาคันตุกะ
หลายต่อหลายคนทีเดียว
ที่มีโอกาสแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนพวกเราชาวข้าวขวัญ
นอกจากจะประทับใจในบรรยากาศภายในไร่ ซึ่งมีพื้นที่กว่า
17
ไร่
ที่ถูกจัดสรรปันส่วนให้ได้ใช้สอยเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับพวกเรา
ที่คิดจะหันวิถีชีวิต ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง ถ้าใครเคยเข้ามา
จะพบว่า พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่
จะใช้เป็นที่ในการทดลองและพัฒนาพันธุ์ข้าว รวมทั้งผักพื้นบ้าน
และอีกส่วนด้านหลัง จะเป็นที่สำหรับการเพาะปลูกไม้ผล ที่เราอยากกิน
แต่ไม่ลืมที่จะจัดสรรส่วนสำคัญในการกักตุนน้ำไว้ใช้ในการเกษตร
และเลี้ยงปลาไม่นับรวมอาคารหลังใหญ่สง่างาม
ที่เราได้รับการสนับสนุนจากกัลยาณมิตร สถานทูตประเทศญี่ปุ่น
จนทำให้วันนี้ พวกเราสามารถนั่งทำงาน ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติรายล้อม
ที่เอื้อต่อการทำงาน โดยที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
ด้วยความสุขทางใจอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งฉันว่า
ก็เพราะความสุขทางใจนี่แหล่ะ
ที่ทำให้คนทำงานของข้าวขวัญส่วนใหญ่มีอายุงานไม่ต่ำกว่า
10 ปี
ไม่เคยคิดหรือแสดงท่าทีที่จะลาออก
เพื่อแสวงหาความสุขที่มนุษย์ส่วนใหญ่แสวงหา
หรือแม้กระทั่งฉัน
ที่เข้ามาในยุคของความเจริญขั้นสูงสุดของข้าวขวัญ
ไม่เคยได้แม้กระทั่งร่วมประวัติศาสตร์กับพวกพี่ๆในอดีต
ที่เจอทุกข์มากกว่าสุข
แต่ฉันก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่พี่ๆรักและหวงแหนองค์กรมากแค่ไหน
ซึ่งฉันผู้มาใหม่
ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากพวกเค้าเลย..จนฉันเองก็กล้าที่จะคิดว่า
ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตของการเป็นมนุษย์เงินเดือน…
ข้าวขวัญ
นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้ไปสู่อาคันตุกะ
ที่หวังให้เราเป็นผู้นำทางความคิดทางด้านเกษตรกรรมยั่งยืนแล้ว
มิตรภาพและวิถีชีวิตของพวกเราที่อาศัยอยู่ภายในไร่
ประหนึ่งครอบครัวเดียวกันนี่เอง ทำให้ใครต่อใครต่างสะดุดใจ
แล้วเกิดคำถามหนึ่งที่อยากรู้จากปากพวกเรา คือ
คิดอย่างไรจึงได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลชุมชน
และดูจะสันโดษได้ขนาดนี้ คงเป็นคำถามที่คาใจผู้ถามอยู่มาก
อย่าว่าแค่เพียงผู้มาเยือนเท่านั้นเลย ที่ถามคำถามนี้กับพวกเรา
ชาวบ้าน/ชาวนา ที่พวกเราทำงานด้วย ก็ยังอดที่จะสงสัยไมได้
บางคนถึงกับพูดว่า ที่พวกเราทำงานลำบากลำบนได้เต็มที่ขนาดนี้
เป็นเพราะเรามีค่าตอบแทนสูง น่าท้อใจมั๊ยเล่า
ที่ในสายตาคนส่วนใหญ่ จะมองความเสียสละของใคร
โดยเอาเรื่องรายได้มาเป็นตัวแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่พวกฉันเลย
เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว สังคมที่มนุษย์คุ้นเคย
คือสังคมที่คนทำงานเพื่อหวังแลกเปลี่ยนกับรายได้ที่ควรจะได้รับ
เรียนจบสูง ก็หวังจะยกระดับรายได้ของตน
คงเป็นสังคมอันสมบูรณ์แบบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะแสวงหา
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ในสังคมนี้อย่างเป็นสุข
แต่สิ่งที่พวกฉัน ( ชาวข้าวขวัญ ) เลือกในการแสวงหาความสุข
กลับมีข้อแตกต่างปลีกย่อยจากคนในสังคมส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่ว่า
พวกเราละสิ้นซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวงหรอกนะ
พวกเราบุคลากรทั้ง
10 ชีวิต
ต่างมีระดับของการใช้ชีวิตรวมทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันตามจริตของตน
แล้วแต่ว่าใครจะจัดการกับชีวิตของตน
ภายใต้แนวคิดการอยู่อย่างพอเพียงได้มากน้อยแค่ไหน ลุงเดชา
หัวหน้าของพวกเราพูดไว้เสมอว่า "ภายใต้แนวคิดของการทำงานที่พวกเราต้องมุ่งมั่นและศรัทธาในสิ่งที่พวกเราทำนั้น
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขับเคลื่อนให้ได้ดั่งใจปรารถนา
มันต้องใช้เวลารอคอยด้วยความอดทน
แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเรามีกำลังใจในการอดทนต่ออุปสรรคจากการทำงาน
ก็คือ พวกเราต้องทำให้งานและชีวิตมันเป็นเนื้อเดียวกันให้ได้
ไม่จำเป็นต้องแยกมันออกจากกัน"
เพราะพวกเรารู้ว่าแรงใจสำคัญที่ทำให้พวกเราทำงานได้อย่างเต็มที่
คือฐานความอบอุ่นของครอบครัว จึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ถ้าใครเข้ามาที่ออฟฟิส แล้วจะพบเจ้าตัวเล็ก ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
กอดแข้ง กอดขา ลุง ป้า น้า อา
ในช่วงเวลาที่พวกเราทำงานอยู่บนโต๊ะที่หันหน้าเข้าหากัน
ในตำแหน่งระนาบเดียวกัน ไร้ซึ่งกำแพงขวางกั้นสายตา
ที่จะสอดประสานกันได้อย่างไร้ขอบเขต
คนโสดอย่างฉันพลอยได้อานิสงค์จากการฟังสิ่งดีๆ
น้ำเสียงที่สอนลูก สายตาที่สื่อความรู้สึกต่างๆ
ที่คนคิดจะมีครอบครัวควรยึดถือปฏิบัติ มันคืออานิสงค์
ของความสัมพันธ์ที่พวกเราทั้ง 10 ครอบครัว ไม่เคยมองข้าม....
กว่า 16 ปี
ของการก่อกำเนิดเป็นข้าวขวัญ
ด้วยความหวังที่จะให้บุคลลากรของข้าวขวัญ
อยู่ด้วยกันและพึ่งพากันและกันอย่างยั่งยืนในอนาคต
ที่ส่วนหนึ่งขององค์กรจึงถูกจัดสรรให้เป็นบ้านพักอันแสนอบอุ่นของเจ้าหน้าที่
ให้อยู่ร่วมกัน ให้ดูแลกันและกัน ข้าว ผัก และทรัพยากรในไร่
ถูกนำมาจัดการเพื่อหล่อเลี้ยงบุคลากรทั้งหมด....การอยู่กันแบบพี่-น้อง
แบ่งปัน และเอื้ออาทรนี่เอง
ที่ทำให้เกิดความสุขเล็กๆขึ้นกลางหัวใจของคนทำงานพัฒนา
ไม่ต้องมีค่าตอบแทนที่สูง
ไม่ต้องแต่งกายโก้หรูอย่างมีเกียรติ
ไม่ต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ไม่ต้องมีชื่อเสียง
ไม่ต้องแข่งขัน.....แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หดหายไป.....
แค่ตื่นเช้ามาได้ยินเสียงนกน้อยร้องก้องกังวาน
เสียงสรรพชีวิตเล็กๆร้องระงมแข่งกัน เพื่อบอกว่า
วันใหม่กำลังจะเริ่มต้น
แค่เพียงเรารู้สึกว่าชีวิตที่นี่ “ปลอดภัย” มันก็แสนจะอุ่นใจ เรียกพลังภายใน
ให้ฮึดสู้มาได้อีกโข