GotoKnow

แด่ข้าวขวัญ...ด้วยศรัทธา

ข้าวขวัญ
เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2006 14:53 น. ()
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:59 น. ()
ไม่ต้องมีค่าตอบแทนที่สูง ไม่ต้องแต่งกายโก้หรูอย่างมีเกียรติ ไม่ต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องแข่งขัน.....แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หดหายไป.....

เคยมีอาคันตุกะ หลายต่อหลายคนทีเดียว ที่มีโอกาสแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนพวกเราชาวข้าวขวัญ นอกจากจะประทับใจในบรรยากาศภายในไร่ ซึ่งมีพื้นที่กว่า 17 ไร่  ที่ถูกจัดสรรปันส่วนให้ได้ใช้สอยเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับพวกเรา ที่คิดจะหันวิถีชีวิต ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง ถ้าใครเคยเข้ามา จะพบว่า พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่ จะใช้เป็นที่ในการทดลองและพัฒนาพันธุ์ข้าว รวมทั้งผักพื้นบ้าน  และอีกส่วนด้านหลัง จะเป็นที่สำหรับการเพาะปลูกไม้ผล ที่เราอยากกิน แต่ไม่ลืมที่จะจัดสรรส่วนสำคัญในการกักตุนน้ำไว้ใช้ในการเกษตร และเลี้ยงปลาไม่นับรวมอาคารหลังใหญ่สง่างาม ที่เราได้รับการสนับสนุนจากกัลยาณมิตร สถานทูตประเทศญี่ปุ่น จนทำให้วันนี้ พวกเราสามารถนั่งทำงาน ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติรายล้อม ที่เอื้อต่อการทำงาน โดยที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม  ด้วยความสุขทางใจอย่างเต็มเปี่ยม  ซึ่งฉันว่า ก็เพราะความสุขทางใจนี่แหล่ะ ที่ทำให้คนทำงานของข้าวขวัญส่วนใหญ่มีอายุงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ไม่เคยคิดหรือแสดงท่าทีที่จะลาออก เพื่อแสวงหาความสุขที่มนุษย์ส่วนใหญ่แสวงหา  หรือแม้กระทั่งฉัน ที่เข้ามาในยุคของความเจริญขั้นสูงสุดของข้าวขวัญ ไม่เคยได้แม้กระทั่งร่วมประวัติศาสตร์กับพวกพี่ๆในอดีต ที่เจอทุกข์มากกว่าสุข แต่ฉันก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่พี่ๆรักและหวงแหนองค์กรมากแค่ไหน ซึ่งฉันผู้มาใหม่ ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากพวกเค้าเลย..จนฉันเองก็กล้าที่จะคิดว่า ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตของการเป็นมนุษย์เงินเดือน
ข้าวขวัญ นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้ไปสู่อาคันตุกะ ที่หวังให้เราเป็นผู้นำทางความคิดทางด้านเกษตรกรรมยั่งยืนแล้ว มิตรภาพและวิถีชีวิตของพวกเราที่อาศัยอยู่ภายในไร่ ประหนึ่งครอบครัวเดียวกันนี่เอง ทำให้ใครต่อใครต่างสะดุดใจ แล้วเกิดคำถามหนึ่งที่อยากรู้จากปากพวกเรา คือ คิดอย่างไรจึงได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลชุมชน และดูจะสันโดษได้ขนาดนี้  คงเป็นคำถามที่คาใจผู้ถามอยู่มาก อย่าว่าแค่เพียงผู้มาเยือนเท่านั้นเลย ที่ถามคำถามนี้กับพวกเรา ชาวบ้าน/ชาวนา ที่พวกเราทำงานด้วย ก็ยังอดที่จะสงสัยไมได้ บางคนถึงกับพูดว่า ที่พวกเราทำงานลำบากลำบนได้เต็มที่ขนาดนี้ เป็นเพราะเรามีค่าตอบแทนสูง  น่าท้อใจมั๊ยเล่า ที่ในสายตาคนส่วนใหญ่ จะมองความเสียสละของใคร โดยเอาเรื่องรายได้มาเป็นตัวแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่พวกฉันเลย  เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว สังคมที่มนุษย์คุ้นเคย คือสังคมที่คนทำงานเพื่อหวังแลกเปลี่ยนกับรายได้ที่ควรจะได้รับ เรียนจบสูง ก็หวังจะยกระดับรายได้ของตน   คงเป็นสังคมอันสมบูรณ์แบบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะแสวงหา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ในสังคมนี้อย่างเป็นสุข  แต่สิ่งที่พวกฉัน ( ชาวข้าวขวัญ ) เลือกในการแสวงหาความสุข กลับมีข้อแตกต่างปลีกย่อยจากคนในสังคมส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่า พวกเราละสิ้นซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวงหรอกนะ  พวกเราบุคลากรทั้ง 10 ชีวิต ต่างมีระดับของการใช้ชีวิตรวมทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันตามจริตของตน แล้วแต่ว่าใครจะจัดการกับชีวิตของตน ภายใต้แนวคิดการอยู่อย่างพอเพียงได้มากน้อยแค่ไหน ลุงเดชา หัวหน้าของพวกเราพูดไว้เสมอว่า  "ภายใต้แนวคิดของการทำงานที่พวกเราต้องมุ่งมั่นและศรัทธาในสิ่งที่พวกเราทำนั้น  มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขับเคลื่อนให้ได้ดั่งใจปรารถนา มันต้องใช้เวลารอคอยด้วยความอดทน  แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเรามีกำลังใจในการอดทนต่ออุปสรรคจากการทำงาน ก็คือ พวกเราต้องทำให้งานและชีวิตมันเป็นเนื้อเดียวกันให้ได้  ไม่จำเป็นต้องแยกมันออกจากกัน" เพราะพวกเรารู้ว่าแรงใจสำคัญที่ทำให้พวกเราทำงานได้อย่างเต็มที่ คือฐานความอบอุ่นของครอบครัว จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ถ้าใครเข้ามาที่ออฟฟิส แล้วจะพบเจ้าตัวเล็ก ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว กอดแข้ง กอดขา ลุง ป้า น้า อา ในช่วงเวลาที่พวกเราทำงานอยู่บนโต๊ะที่หันหน้าเข้าหากัน ในตำแหน่งระนาบเดียวกัน ไร้ซึ่งกำแพงขวางกั้นสายตา ที่จะสอดประสานกันได้อย่างไร้ขอบเขต   คนโสดอย่างฉันพลอยได้อานิสงค์จากการฟังสิ่งดีๆ น้ำเสียงที่สอนลูก สายตาที่สื่อความรู้สึกต่างๆ ที่คนคิดจะมีครอบครัวควรยึดถือปฏิบัติ มันคืออานิสงค์ ของความสัมพันธ์ที่พวกเราทั้ง 10 ครอบครัว ไม่เคยมองข้าม.... กว่า 16 ปี ของการก่อกำเนิดเป็นข้าวขวัญ  ด้วยความหวังที่จะให้บุคลลากรของข้าวขวัญ อยู่ด้วยกันและพึ่งพากันและกันอย่างยั่งยืนในอนาคต ที่ส่วนหนึ่งขององค์กรจึงถูกจัดสรรให้เป็นบ้านพักอันแสนอบอุ่นของเจ้าหน้าที่ ให้อยู่ร่วมกัน ให้ดูแลกันและกัน ข้าว ผัก และทรัพยากรในไร่ ถูกนำมาจัดการเพื่อหล่อเลี้ยงบุคลากรทั้งหมด....การอยู่กันแบบพี่-น้อง แบ่งปัน และเอื้ออาทรนี่เอง ที่ทำให้เกิดความสุขเล็กๆขึ้นกลางหัวใจของคนทำงานพัฒนา  ไม่ต้องมีค่าตอบแทนที่สูง ไม่ต้องแต่งกายโก้หรูอย่างมีเกียรติ ไม่ต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ไม่ต้องมีชื่อเสียง  ไม่ต้องแข่งขัน.....แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หดหายไป.....

แค่ตื่นเช้ามาได้ยินเสียงนกน้อยร้องก้องกังวาน เสียงสรรพชีวิตเล็กๆร้องระงมแข่งกัน เพื่อบอกว่า วันใหม่กำลังจะเริ่มต้น แค่เพียงเรารู้สึกว่าชีวิตที่นี่ ปลอดภัย มันก็แสนจะอุ่นใจ เรียกพลังภายใน ให้ฮึดสู้มาได้อีกโข

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized 


ความเห็น

H.N.K.
เขียนเมื่อ

Yes, I've been there.

Such a wonderful place to spend your life.

Do you need more colleague?

lamhub
เขียนเมื่อ

Thanks a lot

for your commend

I thinks may be is coming soon we will to set plan for new colleague....are you interesting?

คนเมืองหลวง
เขียนเมื่อ

ไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสักที

ทั้งๆที่ได้รู้จักมากว่าหลายเดือนแล้ว

อิจฉาเจ้าหน้าที่ที่นั่นจังครับ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน

แบบคนเมืองหลวง 

ข้าวขวัญ
เขียนเมื่อ
ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ถ้าจะให้เกียรติข้าวขวัญต้อนรับสักหน อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันค่ะ มาเมือ่ไหร่ก็ย่อมได้
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย