เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2552 เวลา 17.00 น. ข้าพเจ้ากลับจากราชมงคล ก็มารอรับหลานซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนกระเทียมวิทยา กลับมาจากการทัศนศึกษาที่จังหวัดศรีสะเกษ มองดูในมือของหลานสาว ก็พบว่าซื้อของกลับมาด้วยเยอะแยะมากมาย เช่น เย็ลลี่ น้ำดื่ม ที่ข้างขวดเขียนว่า บิวตี้ดริ้งค์ ซึ่งข้าพเจ้าคิดในใจว่า เอ้หลานสาวข้าพเจ้าก็
เป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่ง คะแนนที่สอบแต่ละวิชาก็พอใช้ได้อยู่หนึ่งในห้าของห้อง แต่ไฉน
ถึงได้ซื้ออาหารที่ไม่มีประโยชน์เลย ไม่คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ซึ่งในบทเรียนสอนเรื่อง อาหารหลัก 5 หมู่ ตั้งแต่เค้ายังเรียนอยู่ประถมด้วยซ้ำ และเท่าที่สังเกตดูเด็ก ๆ ก็มักจะมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกสุขลักษณะเลย เค้าใช้อะไรในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร
เกิดคำถามขึ้นในใจ ข้าพเจ้าถามหลานว่ามีโฆษณาในทีวีใช่หรือไม่ หลานตอบว่ามี ก็เลยถึงบางอ้อ อิทธิพลของโฆษณา
นี่ยังไม่รวมไปถึงวัตถุอื่น ๆ ที่มีการโฆษณาในโทรทัศน์ เช่น การแต่งกายของวัยรุ่น นักร้อง นักแสดงที่พวกเค้าชื่นชอบ โทรศัพท์มือถือ ไอ-พ็อด เครื่องเล่นต่าง ๆ ที่เป็นของเล่น ซึ่งเด็ก ๆ มองว่าเป็นความทันสมัย ที่นำเสนอออกรายการโทรทัศน์ ไม่ค่อยจะมีรายการที่ส่งเสริมความรู้หรือเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กได้ทำตามเลย ประกอบกับพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแล เด็กก็จะบริโภคข้อมูลข่าวสารที่ผิด ๆ ไปทุกวัน จนกลายเป็นความชอบ ความนิยมขึ้นมา ครูสอนที่ห้องเรียน สอนวิชาการ และสอนวิชาการใช้ชีวิตที่ถูกที่ควร แต่ก็รู้สึกว่าสู้ครูโทรทัศน์ไม่ได้ ก็จะเห็นเด็ก ๆ เจาะหู เจาะปากมาโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ามันผิดระเบียบ แต่เด็กก็ยินดีทำตาม ครูจะซักฟอกยังไง ก็ทำได้ยากเต็มที ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ของคุณวินทร์ เลียววารินทร์ ซึ่งเป็นเรื่องสั้น ตรงกับหัวข้อที่ข้าพเจ้าเขียนพอดี
มีชื่อเรื่องว่า "ผงซักฟอก" โดยขออนุญาตหยิบยกมาประกอบในบทความนี้
"ในเวลาเพียงชั่วอายุคน ค่านิยมของความสุขเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ คำว่า ความสุข มีนัยทางวัตถุมากขึ้นเรื่อย ๆ" แต่ผมก็รู้ว่ายากที่จะอธิบายให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจว่าความสุขของการมีเกมออนไลน์เป็นสิ่งที่ฉาบฉวย พวกจะเข้าใจข้อนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเล่าชีวิตวัยเด็กของตนให้คนรุ่นลูกฟัง และคนรุ่นลูกส่วยหัว บอกว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู" ในสายตาของคนในอนาคต โทรศัพท์มือถือ ,ไอ-พ็อด ,เกมออนไลน์ ฯลฯ ล้วนเป็นเครื่องมือที่ล้าหลังและไม่น่าสนุกแม้แต่นิดเดียว
เราอยู่ในสังคมที่สอนและตอกย้ำให้เห็นว่า ความสุขเกิดจากการปรุงแต่ง กิเลสเป็นสิ่งดี
เกิดมาไม่สวย ก็ดิ้นรนให้สวยจนได้ สวยอยู่แล้วก็อยากสวยขึ้นไปอีก ไม่มีอะไรต้องหามาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธิใดก็ตาม
คนเราสร้างความต้องการเทียม ๆ ขึ้นมา แล้วฝังตัวอยู่กับมัน ขาดมันแล้วก็อยู่ไม่ได้
ผมเคยพบเห็นเด็กรุ่นใหม่บางคนที่ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่สินค้าแบรนด์เนม ใช้สินค้าตามอย่างดาราที่ตนเองชื่นชอบ
ในที่สุดก็ไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้ใช้ชีวิตของเรากันแน่ เพราะต้องเดินตามแฟชั่นที่ผู้อื่นกำหนดให้เดินตลอด ยิ่งเดินตามคนอื่นนานเท่าใด ก็ยิ่งถอยห่างตัวเองเท่านั้น นาน ๆ เข้า ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
เฮ็นรี่ เดวิด โธโร นักคิด นักเขียน นักธรรมชาติวิทยา ผู้เขียนหนังสือ Walden สอนให้คนใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติ ท่านเขียนไว้ว่า "มนุษย์เป็นผู้สร้างความสุขของตัวเอง" หากคุณเป็นเจ้าของชีวิตของคุณจริง ๆ คุณต้องใช้ชีวิตของคุณด้วยตัวเอง เพราะเราเรียกคนที่ถูกใช้ชีวิตแทนให้ว่า "ทาส"
ปรัชญาตะวันออกเชื่อว่า จิตเดิมของมนุษย์เป็นผ้าขาวเปล่า ทุกสิ่งที่ระบายลงไปเป็นกิเลส
เฮ้อออออออ..........เหนื่อย .....
เพราะความเป็นไปของเด็ก ๆ ในสมัยปัจจุบันสอนยากขึ้นทุกที แต่ยังไง ก็ยังจะเป็นผงซักฟอกที่ดี เมื่อนักเรียนเลอะสิ่งสกปรก ก็ต้องซักให้สะอาด ถึงแม้เสื้อบางตัวจะสกปรกมากก็ตาม แต่ก็เป็นหน้าที่ของครู อย่างเรา ๆ ท่านนี่แหละนะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ครูทุก ๆ ท่านก็แล้วกันค่ะ
อย่างนี้แหละครับอาชีพครู เด็กทุกวันนี้เขาทันสมัยครับ ปัจจุบันมีปัจจัยที่ 5แล้วครับ เฮ้ย...............
โลกเปลี่ยนแปลง ปัจจัยรอบข้างก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ที่สำคัญใจคนต้องเอาผงซักฟอกซักให้เป็นประจำ จิตจะได้ขาวใสงัยครับ
ถ้าต้องการความสวย ต้องอ่านบทความของพี่วิทย์..จะได้สวยมากกว่าเดิม(ความสวยอยู่ที่ใหนเอ๋ย)ตอบมา
สวัสดีค่ะ..
สื่อและเทคโนโลยี ก็เป็นเหมือนดาบสองคมนะคะ มีทั้งดีและร้าย อยู่ที่ว่าคนใช้จะเลือกใช้ในด้านไหน แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะหนักไปทางด้านร้ายซะมากกว่า ฉะนั้นคุณครูทุกคนก็คงต้องร่วมมือกันดูแล สอนสั่ง แล้วก็ ซัก..ซัก..ใจกันให้สะอาดและขอสนับสนุนให้คุณครูยังคงเป็น"ผงซักฟอกกันต่อไป" ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ พี่จามรี...
อ่านแล้วเป็นเหตุการณืที่ทันกับเวลาปัจจุบันจริๆ คะ แม้แต่ผู้ใหญ่ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้เลยคะ