<p>1. บทนำ
เว็บ 2.0
เป็นคำที่หลายต่อหลายคนในวงการอินเทอร์เน็ต
และอีคอมเมิร์ซพูดถึงอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีประเด็นคำถามกันอยู่
ซึ่งบางกลุ่มมองว่าแนวคิดเรื่องเว็บ 2.0 เป็นเพียงแค่แฟชั่น
ไม่มีสาระสำคัญต่อวงการอินเทอร์เน็ต และอีคอมเมิร์ซ
แต่ในขณะที่อีกแนวคิดหนึ่งมองว่าเว็บ 2.0 เป็นการ
ปฎิวัติทางแนวคิดและวิธีการสร้างรวมถึงบริการบนนั้น
เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนถ่ายจากคอนเทนต์ที่เป็นสแตติกคอนเทนต์เข้าสู่ยุคของไดนามิกคอนเทนต์
ในวงการของกลุ่มนักพัฒนาเว็บไซต์ทั้งในและต่างประเทศเองยังคงกำลังหาคำตอบ
และกำหนดว่าอะไรคือ เว็บ 2.0
และเว็บในแนวคิดดังกล่าวจะมีรูปร่างหน้าตาต่างไปจากเว็บในแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอย่างไร
แนวทางหนึ่งที่สามารถวางกรอบคร่าว ๆ ของเว็บ
2.0 คือ การกำหนดคุณลักษณะเด่นที่สำคัญของเว็บ 2.0
โดยในปีที่ผ่านมานี้เองที่เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในแวดวงของเว็บไซต์หลาย
ๆ คนพยายามที่จะหาคำจำกัดความ บางคนบอกว่าต้องดูที่แพลตฟอร์ม
บางแนวคิดก็ต้องดูที่โครงสร้างและจุดเริ่มต้นของการสร้างเว็บ
หรือแนวคิดที่ให้พิจารณาที่ฟังก์ชั่นการใช้งานของผู้ใช้ปรับกระบวนทัศน์การมีส่วนร่วมของผู้ใช้เว็บไซต์
</p>
ปัจจุบัน
วิถีทางในการใช้อินเทอร์เน็ตของชาวไซเบอร์เปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-3
ปีที่ผ่านมามาก เมื่อก่อนเรารู้จักที่จะใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อส่งอีเมล์
คุยกับเพื่อนด้วยแชตรูม หรือใช้โปรแกรมคุย
บางครั้งอาจมีการดาวน์โหลดโปรแกรมใหม่ การหาข้อมูล
การแลกเปลี่ยนความเห็นที่เว็บบอร์ด การอ่านข่าว ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการใช้งานหลัก ๆ ที่เราใช้งาน
ปัจจุบันเราใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อ เขียนบล็อก การแชร์รูป ร่วมเขียน
Wiki การโพสความเห็นลงในท้ายข่าว การหาแหล่งข้อมูลด้วย RSS เพื่อ Feed
มาอ่านที่หน้าจอ และกูเกิ้ล
จะเห็นได้ว่าวิธีการใช้ชีวิตบนอินเทอร์เน็ตของชาวออนไลน์เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเป็นที่มาของเว็บ 2.0 หรือยุคใหม่ของ
อินเทอร์เน็ตที่ได้เปลี่ยนการใช้งานของเราไปอย่างสิ้นเชิง
2. คุณลักษณะของเว็บ 2.0
หลังจากที่ดอตคอมในยุคนั้นได้ล่มสลายลงไป
แนวคิดของการสร้างสรรค์ธุรกิจเว็บไซต์ และการออกแบบต่าง ๆ
ได้มีพัฒนาการที่สำคัญเพิ่มขึ้นเช่น
เรื่องความน่าสนใจของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ
รวมถึงวิธีการดำเนินธุรกิจออนไลน์ด้วยแนวทางใหม่ๆ
จึงได้กำหนดคุณลักษณะของเว็บ 2.0 ดังนี้
2.1 ลักษณะเนื้อหามีการแบ่งส่วนบนหน้าเพจ
เปลี่ยน จากข้อมูลก้อนใหญ่มาเป็นก้อนเล็ก
2.2
ผู้ใช้สามารถเข้ามาจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บได้และสามารถแบ่งปันเนื้อหาที่ผ่านการจัดการให้กับกลุ่มคนในโลกออนไลน์ได้ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคมออนไลน์สังคมออนไลน์เกิดความเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น
เกิดกิจกรรมบนนั้นมากขึ้น
2.3 เนื้อหาจะมีการจัดเรียง จัดกลุ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม
2.4 เกิดโมเดลทางธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
และทำให้ธุรกิจเว็บไซต์กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล
2.5 การบริการ คือ เว็บที่มีลักษณะเด่นในการให้บริการหลาย ๆ
เว็บไซต์ที่มีแนวทางเดียวกัน
3. ความเปลี่ยนแปลงของเว็บ 1.0 เป็นเว็บ
2.0
ความจริงมันยังมีคำอีกมากมายที่กลายเป็นความหมายของเว็บ
2.0 นั่นคือ ถ้าเป็น เว็บ 1.0 จะเป็น Akamai แต่ถ้าเป็นเว็บ 2.0
จะกลายเป็น BitTorrent จาก mp3.com มาเป็น Napster จาก Britannica
Online มาเป็น Wikipedia จาก personal websites มาเป็น blogging จาก
evite มาเป็น upcoming.org and EVDB จาก domain name speculation
มาเป็น search engine optimization จาก page views มาเป็น cost per
click จาก screen scraping มาเป็น web services จาก publishing มาเป็น
participation จาก content management systems มาเป็น wikis จาก
directories
( taxonomy ) มาเป็น tagging ( ”folksonomy” ) และจาก stickiness
มาเป็น syndication ในที่สุด ดังตารางที่ 1
ในการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นดังที่ได้กล่าวไว้ จะมีคำศัพท์ต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
Web1.0 |
Web2.0 |
DoubleClick |
Google
AdSense |
Ofoto |
Flickr |
Akamai |
BitTorrent |
Mp3.com |
Napster |
Britannica Online |
Wikipedia |
Personal websites |
Blogging |
Evite |
upcoming.org and
EVDB |
Domain name speculation |
search engine
optimization |
Page views |
cost per
click |
Screen scraping |
web
services |
Publishing |
Participation |
Content management systems |
Wikis |
Directories (taxonomy) |
tagging
(“folksonsmy”) |
Stickiness |
Syndication |
ตารางที่ 1
ตารางเปรียบเทียบเว็บ 1.0 และ เว็บ 2.0
3.1 Google AdSense
กูเกิ้ล แอดเซ้นส์
คือระบบโฆษณาบนเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตเว็บไซต์
หรือเจ้าของเว็บไซต์ สามารถนำโฆษณาจจากระบบของ Google Adsense
มาติดในเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เว็บไซต์ ซึ่งรูปแบบของโฆษณา
ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบตัวอักษร ( Text )
บางทีอาจจะมีในรูปแบบแบนเนอร์ ( Banner ) ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1
หน้าจอการใช้งาน Google AdSense
3.2
Flickr
เป็นการอำนวยความสะดวกการใช้งานการอัพโหลดไฟล์ประเภทรูปถ่าย
ซึ่งเราอาจดาวน์โหลดโปรแกรม มาติดตั้งในเครื่องของเรา
หลังจากการติดตั้ง โปรแกรมจะขอให้มีการ Authorization สำหรับ Uploadr
ให้ผู้ใช้แสดงความยินยอม
และให้ทราบข้อควรปฏิบัติในการใช้งานโปรแกรม
3.3 BitTorrent /
Napster
BitTorrent เขียนขึ้นมาจากภาษา Python
และเป็นตัวซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ใช้ใบอนุญาตแบบ MIT (
ต่างจากซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สทั่วไปที่ใช้ GPL แต่โดยรวม ๆ
แล้วก็เป็นโอเพ่นซอร์สเหมือนกัน ) หลักการของ BitTorrent คือ
ใช้ช่องสัญญาณฝั่งอัพโหลดที่ว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์
โดยปกติแล้วการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายจะแบ่งช่องสัญญาณเป็นขาลง (
ดาวน์โหลด จากเครือข่ายมายังเครื่องผู้ใช้ ) และขาขึ้น ( อัพโหลด
ใช้ในการส่งข้อมูลคืนไป ) สังเกตง่าย ๆ จากไฟของโมเด็มสองดวง คือ
อัพโหลดและดาวน์โหลด สำหรับ BitTorrent แตกต่างกับการแชร์ไฟล์แบบ
Napster ตรงที่ เราสามารถค้นหาตัวไฟล์ได้จากโปรแกรม Napster ได้โดยตรง
เช่น พิมพ์ชื่อศิลปินหรืออัลบั้มไปเพื่อค้นหาเพลง MP3
ทำให้ละเมิดลิขสิทธิ์ได้สะดวก ส่วน BitTorrent เราต้องไปหาไฟล์
Torrent ( นามสกุล .torrent )
ซึ่งเป็นไฟล์รายละเอียดการดาวน์โหลดมาจากเวบแบบปกติก่อน
แล้วค่อยใช้โปรแกรม BitTorrent สั่งดาวน์โหลดอีกทีครั้ง
จุดนี้ทำให้ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น
เพราะจัดการกับเว็บไซต์ต้นทางที่แจกไฟล์ Torrent เพียงแห่งเดียว
ข้อดีนี้ของ BitTorrent ทำให้มีหลาย ๆ
องค์กรแจกไฟล์ที่ถูกลิขสิทธิ์และเป็นทางการ ผ่านระบบ BitTorrent
กันมากขึ้นในช่วงหลัง โดยเฉพาะผู้ผลิตลินิกซ์ค่ายต่าง ๆ
ที่แจกไฟล์อิมเมจซีดีและดีวีดีของลินิกซ์เนื่องจากลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ไปได้มากนั่นเองโครงการ
Fedora และ Mandrake แจกด้วย BitTorrent มาหลายรุ่นแล้ว
3.4 Wikipedia
เป็นสารานุกรม (
Encyclopedia ) บนเว็บที่มีลักษณะเหมือนกับสารานุกรมทั่วๆ ไป
คือรวมเอาความรู้ทุกสาขา
มาไว้รวมกัน สิ่งที่แตกต่างออกไปจากสารานุกรมอื่น ๆ
ที่จ้างผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาเขียนเรื่องในสายงานของตัวเอง
อย่างพวก Encarta หรือ Britanica คือ Wikipedia
เขียนขึ้นมาด้วยแรงงานอาสาสมัครทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น
สมมติว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง
เมื่อเปิดไปหาข้อมูลเกี่ยวกับแมลงเต่าทองบน Wikipedia
ปรากฎว่าชื่อทางวิทยาศาสตร์ของเต่าทองนั้นพิมพ์ตกไปตัวนึง
ถ้าเป็นสารานุกรมทั่วไปผมต้องแจ้งไปยังผู้จัดทำว่า ชื่อตรงนี้ตกไปนะ
ช่วยแก้ไขให้หน่อย หลังจากนั้นก็รอสารานุกรมรุ่นต่อไป (
ในกรณีที่เป็นหนังสือ ) หรือรอผู้ดูแลระบบมาแก้ไข ( ในกรณีที่เป็นเว็บ
) ข้อมูลจึงจะถูกต้อง แต่ถ้าเป็น Wikipedia
สิ่งที่ผมต้องทำมีเพียงแค่กดปุ่ม Edit หน้าของแมลงเต่าทอง
แก้ไขชื่อให้ถูกต้อง แล้วสั่งเซฟ
แค่นี้ผู้ที่มาอ่านหน้านั้นหลังจากที่แก้
ก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องไปทันที
Wikipedia ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า wiki
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถแก้ไขหรือสร้างหน้าเว็บขึ้นมาใหม่
ผ่านเว็บบราวเซอร์ โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการสร้างไฟล์ และการเขียนโค้ด
HTML ภาษาของ wiki นั้นเข้าใจได้ง่ายและใกล้เคียงภาษาเขียนมากกว่า
HTML เช่น ต้องการสร้างรายการ บน HTML ต้องใช้แทก
ผมเองมาทำไร่สวนบ้านนอกที่ไกลจากโลกพายนอกจริงๆครับ คือเบื่อในเมือง
เลยมาหาทีสงบๆอยู่คนเดียวครับ บอกก็บอกเหอะผมอ่านไม่เข้าใจจริงครับ ที่ท่านเขียนผมเองก็ไช้จะเรียนรู้ได้เร็วสะเมื่อไร..........แต่ก็จะรู้ไห้ทันคนในเมืองเขาไห้ได้
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดี ๆ ที่แบ่งปันให้กับคนทั่วโลก
ขอบคุณครับ ทรงเดช