ปลูกบัวในภาชนะจำกัด คือ การปลูกบัวในภาชนะที่ใส่ดิน ใส่น้ำโดยตรง
หรือปลูกบัวในอ่าง
หรือกระถางแล้วยกแช่ในภาชนะบรรจุน้ำที่ใหญ่กว่า
หลักเกณฑ์ของการดูแลรักษาบัวมี 5-6 เรื่อง คือ
1.
ให้อยู่ในที่ที่เหมาะที่สุด สบายที่สุด
เป็นเรื่องก่อนปลูก
ผู้ปลูกต้องรู้ว่าบัวที่อยากจะปลูกเป็นบัวอะไร พันธุ์อะไร
ต้องการที่อยู่แบบไหน น้ำลึก เท่าไร ต้องการการแผ่กระจายของใบเท่าไร
เช่น บัวหลวง บัวฝรั่ง เจริญเติบโตตามแนวนอน ภาชนะปลูกจึงควรมี
หน้ากว้างมาก ตรงกันข้ามกับบัวผันบัวเผื่อน บัวสาย จงกลนี
ซึ่งเจริญเติบโตตามแนวดิ่ง ภาชนะปลูกจึงควรเป็นแบบทรงสูง
ภาชนะปลูกควรจะใหญ่-เล็กแค่ไหน บรรจุดินปลูกเท่าไร
ตามความต้องการของแต่ละพันธุ์ ฯลฯ
บัวแต่ละพันธุ์ต้องการอยู่สภาพอย่างไร เกณฑ์กลางๆ คือ
ภาชนะปลูกบัวควรบรรจุดินได้ไม่ต่ำกว่า 1 ลูกบาศก์ฟุต หรือ
เท่ากับประมาณ 1 ปี๊บ
2.
ให้อยู่ในที่ที่ปราศจากมลภาวะ ปัจจัยที่ทำให้น้ำเน่าเสียมี 2-3 ประการ
คือ
2.1
ปล่อยให้พระเจ้าเลี้ยง ผู้ปลูกไม่สนใจคอยเด็ดใบที่แก่-เหลือง
และดอกโรยแล้วทิ้ง ปล่อยให้เละเน่าอยู่ในภาชนะ
ผู้ปลูกต้องคอยเด็ดใบแก่ที่เริ่มเหลืองและดอกที่หยุดบานแล้วทิ้ง
โดยปลิดถึงโคนก้าน ห้ามดึงอย่างเด็ดขาด เดินตรวจ เดินเด็ดทุกวัน
เป็นการออกกำลังกายอย่างดีของผู้สูงอายุ
2.2
เอาใจใส่-รักบัวมากเกินไป อยากให้งามมากๆ ตรงกันข้ามกับข้อแรก
เจ้าของเอาใจใส่มาก อยากให้บัวงามมากๆใส่ปุ๋ยอุตลุตเลยบัวกินไม่หมด
ปุ๋ยละลายออกมาในน้ำ ไม้น้ำอย่างอื่น ได้แก่ ตะไคร่ สาหร่าย
และจุลินทรีย์เขียว ฯลฯ เจริญเร็วกว่าบัว จะกินปุ๋ยหมด
การมีศัตรูคอยกินพวกนี้ นอกจากแย่งออกซิเจนในน้ำ จากบัวแล้ว
เมื่อแก่ตายก็จะทำให้น้ำเน่าเสีย ผู้ปลูกต้องเสียเวลาปราบ
2.3
ไม่เอาใจใส่เปลี่ยนดิน รากแก่ เหง้าแก่ตายเน่าอยู่ในดิน ทำให้น้ำเสีย
คือ ปล่อยให้พระเจ้าเลี้ยง
ปล่อยให้อยู่ในภาชนะจำกัดเสียจนราก-เหง้าอัดเต็มภาชนะปลูก
ดันดินออกไปหมด พอโตไม่ไหว ราก-เหง้าก็ตาย ทำให้น้ำเน่าเสีย
เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ฯลฯ แก้ไขด้วยการรื้อ
เปลี่ยนดินปลูกใหม่ครับ
3.
บัวอดอาหาร
ก็เป็นประเภทปล่อยให้พระเจ้าเลี้ยงอีกนั่นแหละ
เอามาปลูกปล่อยให้กินอาหารเดิมที่มีอยู่ในดินปลูก หมดแล้วก็
ไม่เติมอาหารให้ ใครจะไปอยู่ได้ ง่ายและสะดวกที่สุด ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล
เช่น 15-15-15 หรือ 16-16-16 หนึ่งช้อนกาแฟ ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 1-2
ชั้น อัดใต้โคนต้นบัวลึกสัก 3-4 นิ้ว
อย่างน้อยเดือนละครั้ง
4.
ป้องกันและปราบศัตรูให้ศัตรูบัวมีทั้งศัตรูที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และศัตรูที่จงใจ
ป้องกันและปราบปรามศัตรูต่างๆ เหล่านี้ได้ดังนี้
4.1
ศัตรูที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชนิดที่ 1 ได้แก่ เจ้าของ-คนปลูกบัวเอง
อยากให้อ่าง-บ่อสวยก็เลี้ยงปลา เห็นบ่อยๆ ก็คือปลาสวยงาม ได้แก่
ปลาเงินปลาทอง ปลาคาร์ป ปลาพวกนี้เป็นปลาใช้ปากดูดกิน
เมื่อคุ้ยดูดอาหารโคนบ่อ-อ่างจะทำให้น้ำขุ่น
ถึงแม้ว่าจะช่วยกำจัดตะไคร่ สาหร่าย หอย
และจุลินทรีย์เขียวออกไปได้บ้าง แต่ก็ยังทำให้น้ำขุ่น
เจ้าของก็พยายามถ่ายเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพื่อให้น้ำใส
แต่ลืมคิดไปว่าการถ่ายเปลี่ยนน้ำในภาชนะปลูกบัวบ่อยๆ
ก็คือการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้แก่บัวตลอดเวลา เปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ
บัวก็จะไม่สบาย ไม่งาม การป้องกันที่ดีที่สุดคือ
อย่าเปลี่ยนน้ำ-ถ่ายน้ำในอ่าง-ภาชนะปลูกบัวบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น
ถ้าปลูกในบ่อ-สระใหญ่ๆ ที่ต้องการให้น้ำใสและเลี้ยงปลาสวยงามด้วย
ควรติดตั้งเครื่องกรองน้ำชนิดที่ดูดน้ำขึ้นไปกรองแล้วปล่อยกลับลงมาหมุนเวียนโดยไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ
4.2
ศัตรูที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชนิดที่ 2
ก็ได้แก่เจ้าของที่ปลูกบัวอีกนั่นแหละ
พวกนี้เป็นพวกที่ปลูกบัวในบ่อ-สระใหญ่ๆ
ทั้งในภาชนะจำกัดหรือปลูกลงดินโดยตรงในบ่อ
และต้องการเลี้ยงปลาเป็นอาชีพเสริม หรือมีบ่อ-สระอยู่แล้ว ปลูกบัวลงไป
แล้วปล่อยปลากินพืชลงไป ยิ่งถ้าเป็นปลากินพืชที่ขยายพันธุ์เร็ว เช่น
ปลาหมอเทศ ปลูกอะไรๆ ก็ไม่เหลือ ปูและหอยก็กินบัวครับ
ที่ร้ายที่สุดคือ หอยเชอรี่ ถ้ากันไม่ได้เพราะปลูกลงไปแล้วก็ต้องแก้
ทำบาปบ้าง ไปแก้ตัวกันเองในชาติหน้าก็แล้วกัน คือ เอาปลากินพืชออกไป
จะด้วยวิธีใดก็ตามแต่ถนัด (ปรึกษากรมประมงก็แล้วกันครับ) และ/หรือ
ปล่อยปลากินเนื้อลงไป เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาบู่
หรือปลากินเนื้อชนิดอื่นๆ ให้ช่วยจัดการลูกเล็กเด็กแดงของปลากินพืช ปู
และหอย ให้ปลากินเนื้อพวกนี้เหมาไป สำหรับหอยเชอรี่
ขยันเก็บไข่สีชมพูที่หอยไข่ไว้ตามยอดหญ้า
หรือผนังบ่อทิ้งทุกวันก็ปราบได้ครับ
4.3
ศัตรูประจำ 1 ที่ประจำจริงๆ เกือบตลอดปีและร้ายแรงมากได้แก่ หนอนพับใบ
(Leaf roller) ลูกของผีเสื้อกลางคืน ฤดูฝนอาจน้อยลงบ้าง
เนื่องจากผีเสื้อไข่บนใบบัวไม่ถนัดเพราะใบเปียก รองลงมาได้แก่
เพลี้ยอ่อน (Aphids) ระบาดมากในฤดูแล้งและ
ฤดูหนาว (เมื่อฝนน้อยลง) ที่ร้ายกาจถัดมาคือ เพลี้ยไฟ (Thrips)
และหนอนชอนใบ (Leaf miner) สำหรับบัวหลวง มีศัตรูอีกชนิดคือ
หนอนกระทู้ (Caterillar) เวลาระบาดมากจะกัดกินใบจนโปร่งฟ้าไปเลย
ศัตรูพวกนี้ป้องกันและกำจัดได้
โดยถ้าเกิดไม่มากเด็ดใบที่ถูกรบกวนทำลายทิ้ง ถ้าบัวมีใบไม่มาก
ถ้าเป็นติดต่อกันและบ่อยมากใช้ยาฆ่าแมลงประเภทดูดซึมในอัตราที่แนะนำตามสลากข้างขวดหรือบนซอง
ควรใช้ยาฉีดสลับกัน 6 อย่าง(เพื่อกันไม่ให้ศัตรูดื้อยา) ได้แก่
อโซดริน 60 พอสธ์ เซฟวิน 85 โปรตีนเบสทริล และแลนเนท
ยาอโซดรินโปรตีน เบสทริล และเซฟวิน
ปราบแมลงปากกัดและดูดของบัวได้เกือบทุกชนิด ส่วนพอสธ์
และแลนเนทใช้ปราบหนอนและเพลี้ยเป็นส่วนใหญ่
4.4
ศัตรูประจำ 2 ได้แก่ โรคต่าง ๆ ที่เป็นประจำ บ่อยที่สุดคือ โรคใบจุด
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรา
ซึ่งมักจะระบาดในฤดูฝนที่อากาศชื้นโรคใบจุดอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดในฤดูร้อนและหนาวที่อากาศแห้งแล้งและแดดร้อนมาก
ความร้อนของแดดทำให้หยดน้ำบนใบบัวร้อน ใบบัว ณ จุดนั้นก็ตาย
เชื้อโรคที่กินพืชที่ ตายแล้ว (Saprophyte) เข้าทำลาย
ทำให้ใบเป็นจุดหรือเป็นแถบไหม้ ทั้งบนใบและจากขอบใบ ป้องกันโดยเด็ดใบ
ที่เป็นโรคทิ้ง ไม่ต้องกลัวครับ บัวที่ตั้งหลักได้แล้ว มีเพียง 3-5
ใบก็ไม่ตาย
4.5
ศัตรูประจำ 3 ได้แก่ ตะไคร่ จุลินทรีย์เขียว สาหร่าย และวัชพืช
พวกนี้นอกจากแย่งอาหารบัวกินแล้ว ยังก่อให้เกิดความรำคาญ
หรือทำให้บัวเจริญไม่เต็มที่ เช่น ตะไคร่ สาหร่าย เจริญพันกอบัว
ยอกบัว ใบบัว ไม่ให้โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ตะไคร่และจุลินทรีย์เขียว
สาหร่าย และวัชพืชอื่น ๆ ที่ ไม่ต้องการ เช่น หญ้าน้ำ ลูกบัว
(คือต้นอ่อนของบัวที่งอกจากเมล็ด) ปราบโดยเก็บทิ้งครับ
ป้องกันคือไม่ใช้ปุ๋ยคอกจากมูลวัวหรือเก็บดอกโรยทิ้งก่อนติดฝักและเมล็ด
4.6
ศัตรูจากคนมักได้ ศัพท์ตลกๆ ของฝรั่งเขาเรียกโรค Finger Blight
หรือโรคนิ้วมือไหม้ครับ จากมือคนที่มักได้
อยากได้บัวที่เขาไม่ให้ ก็เลยขโมยเอาไป
โรคนี้ป้องกันและกำจัดยากมาก เพราะไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร
5.
ให้เจริญเติบโตตามสภาพที่ต้องการ
สภาพที่บัวไม่ต้องการแต่ต้องพบถ้าเจ้าของไม่ดูแลให้ดี
ทำให้บัวชะงัก-หยุดการเจริญเติบโต และอาจตายไปเลย ถ้าดูแลไม่ทัน
ได้แก่
5.1
แตกกอในภาชนะปลูกจนแน่น แย่งกันกินอาหารจนไม่พอกิน หยุดการเจริญเติบโต
ไม่ออกดอก
แก้ด้วยการรื้อเอาต้นที่ไม่ต้องการออกไปให้เหลือต้น-กอเดียว
5.2
ไม่ให้บัวอยู่อย่างสันโดษ คือปลูกบัวหลายพันธุ์ในภาชนะเดียวกัน
ภาชนะใหญ่ กว้าง อาจอยู่ได้สักพักหนึ่ง แต่ถ้าเป็นภาชนะปลูกที่เล็ก
ถ้าปลูกบัวหลายพันธุ์ไว้ในภาชนะเดียวกันและเผลอปล่อยให้พระเจ้าเลี้ยง
พันธุ์ที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะเหลืออยู่ให้คุณ
เพราะมันจะเจริญเติบโตเบียด-ข่มพันธุ์ที่อ่อนแอกว่าตายไปในที่สุด
และเจ้าพันธุ์ที่ตายไปอาจเป็นพันธุ์ที่คุณรักที่สุดก็ได้
5.3
รากลอย เกิดกับบัวที่เจริญเติบโตทางแนวดิ่งเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
บัวผันบัวเผื่อน บัวสาย จงกลนี และบัวกระด้ง
โดยเฉพาะเมื่อปลูกในภาชนะจำกัด รากและต้น (เหง้า)
เมื่อดันลงล่างไม่ได้เพราะติดก้นของภาชนะ ก็ดันขึ้นบน นานเข้าๆ
ส่วนโคนก็ลอยพ้นดิน
รากที่ยึดดินและรากฝอยที่เกิดตามแนวและแยกแขนงออกมาจากราก
ยึดดินที่เป็นรากดูดอาหารก็ลอยตามพื้นดินขึ้นมาด้วย
เมื่อดันสูงขึ้นมามากๆ รากยึดดินก็หมดสภาพที่จะยึดดินไว้ได้อีกต่อไป
รากฝอยที่ดูดอาหารที่เกาะอยู่กับเม็ดดินก็ดูดอาหารจากดินไม่ได้
ได้เพียงอาหารบางส่วนที่ละลายอยู่ในน้ำ
ระหว่างที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใต้น้ำ เมื่อลมพัด น้ำกระเพื่อม
ความสั่นสะเทือนจะไปถึงโคนต้น เมื่อรากยึดดินได้ไม่แน่นพอ
ต้นบัวก็โคลงตามไปด้วย เมื่อสั่น-โคลง รากหลวมและลอย
ความสามารถในการดูดหาอาหารก็ลดลง แก้ไขด้วยการรื้อทั้งต้นขึ้นมา
ตัดเหง้าเกินทิ้งเหลือเท่าที่ติดส่วนโคน แล้วปลูกกลับลงไปใหม่
บำรุงรักษาไปตามปกติ
5.4 บัว
“หัวชนฝา” เกิดกับบัวหลวงและบัวฝรั่งที่เจริญเติบโตทางแนวนอน
บัวหลวงไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไรเพราะยอดอ่อน
(ชาวบ้านปลูกบัวหลวงเก็บดอก-ฝักขายเป็นธุรกิจ เรียก “หัวหน้า”)
ไหลอ่อน เจริญเติบโต คดเคี้ยวไปตามแนวผนังของภาชนะได้
แต่บัวฝรั่งเหง้าแข็ง เมื่อโตไปจนหัวชนฝาก็จะหยุดชะงักการเจริญเติบโต
หยุดการออกดอก ใบเล็กลง
แก้โดยการตัดส่วนเกินออกแล้วปลูกใหม่ที่ริมผนังภาชนะ
เหง้าแก่ที่เหลืออยู่ถ้าไม่มีหน่ออ่อนที่จะเก็บไว้ขยายพันธุ์ควรรื้อทิ้ง
เพราะจะเน่าเสียทำให้น้ำเสียได้
5.5
ดินปลูกหมดสภาพ ปลูกบัวในภาชนะจำกัดนานๆ เข้า รากบัวจะเจริญและขยาย
อัด-ดันดินให้ ย่อยลงและละลายสลายตัวไปกับน้ำรากเข้าแทนที่จนดินหมด
มีแต่ราก บัวก็จะเจริญลงคือ ใบเล็กลง น้อยลง ไม่ออกดอก
ใบเหลืองเร็วและง่าย
แก้ไขโดยรื้อปลูก-เปลี่ยนดินใหม่
6.
บัวกลายพันธุ์ เป็นพวกที่ปล่อยพระเจ้าเลี้ยง
ไม่เด็ดใบแก่ ดอกโรยทิ้ง โดยเฉพาะบัวผัน บัวสาย
หลายพันธุ์ติดเมล็ดง่าย
และพันธุ์ที่ปลูกเป็นไม้ดอก-ไม้ประดับปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นพันธุ์ลูกผสมอยู่แล้ว
เม็ดที่ติดจากดอกที่โรยและเน่าร่วงลงในภาชนะ งอกเป็นต้นใหม่หลาย ๆ ต้น
แก่งแย่งกันเจริญเติบโต ก็แย่งโต แย่งกินอาหาร แย่งที่อยู่
เบียดจนพ่อหรือแม่ตายไป
จาก
http://www.thaiwaterlily.com/knowledge_see.asp
อีกตำราค่ะ
หลักเกณฑ์ในการดูแลรักษา
บัวทุกชนิด (หรือต้นไม้ทุกชนิด) ปลูกไม่ยาก สำหรับบัว
การดูแลรักษาถ้าปลูกเป็นไม้ดอก-ไม้ประดับในบ้านเพียงไม่กี่ต้น เช่น
ปลูกภาชนะจำกัดเป็นอ่าง ๆ หรือบ่อเล็ก ๆ ในสวนหย่อมไม่ยากเลย
งานเบามาก เด็ก สตรี และคนชราก็ทำเองได้แต่
ถ้าปลูกในบ่อพลาสติกหรือบ่อดินขนาดใหญ่มีบัวเป็นสิบ ๆ ต้น
งานดูแลรักษาไม่หนักแต่ใช้เวลามาก
หลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาที่สำคัญได้แก่
1.
ป้องกันน้ำเสีย
โดยเฉพาะการปลูกในภาชนะจำกัดและขนาดเล็กปริมาณน้ำน้อยบัวก็เหมือนกับปลา
ต้องการอากาศหายใจในน้ำถ้าน้ำเสีย อ๊อกซิเย่นไม่มีจะพาลตายได้ง่าย
เด็ดใบแก่ดอกโรยทิ้งเสียก่อนจะเน่าในภาชนะหรือบ่อที่ปลูกถ้าไม่จำเป็นไม่ควร
แก้ไข โดยการถ่ายน้ำเปลี่ยนน้ำใหม่บ่อย ๆ
เพราะจะต้องทำให้บัวต้องปรับตัวเองตามจะเจริญเติบโตช้าแต่ถ้าจำเป็นด้วยเหตุ
เช่น มีสัตว์ตายอยู่ใต้ดินปลูก ได้แก่ กิ้งกือ ไส้เดือน
หรือคางคกลงไปปล้ำกัดกันตายหรือออกไข่-ออกลูกจนน้ำเน่าเสีย หรือ
อินทรีย์วัตถุที่ติดมากับดินปลูกยังเน่าเปื่อยไม่หมดทำให้น้ำเน่า
ถ่ายน้ำ 2-3 ครั้ง
แล้วยังไม่หายต้องเปลี่ยนดินปลูกใหม่
2.
ปราบตะไคร่น้ำ-สาหร่าย
ตะไคร่ น้ำที่เกิดจากอินทรีย์วัตถุ
เช่นมูลสัตว์ที่ใช้เป็นปุ๋ยคลุกที่ยังไม่สลายตัวเต็มที่
สาหร่ายอาจติดมากับดินปลูกเก็บทิ้ง ถ้าปลูกไม่กี่ต้น
ถ้าปลูกมากแต่ปลูกในภาชนะจำกัดใช้ด่างทับทิมละลายน้ำในภาชนะปลูกเป็นสีบาน
เย็นเข้มทิ้งไว้ 2-3 วัน
ถ่ายน้ำออกครึ่งหนึ่งเก็บตะไคร่สาหร่ายที่ตายออกเติมน้ำใหม่ตามเดิม
3.
เก็บคราบน้ำมัน
ไขมัน
จากกระดูกป่นหรืออินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อยไม่หมดและการปลูกที่อัดดินไม่
แน่น ดินกลบกลบดินผสมเบื้องล่าง ไม่สมบูรณ์ ไขมันจะละลายเป็นฝ้า
ถ้าปลูกในอ่างหรือในภาชนะจำกัดใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปะลอยบนผิวน้ำจะช่วยซับ
คราบน้ำมันออกถ้าปลูกในบ่อที่มีท่อน้ำล้น
ปล่อยน้ำดันให้น้ำผิวหน้าไหลล้นออกทางท่อระบายน้ำ
4.
ต้นและรากลอย
เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ผู้ที่สนใจเลิกปลูกบัวไปหลายราย
โดยเฉพาะอุบลชาติ เช่น เมื่อปลูกใหม่ ๆ ถ้ากดอัดดินทับไม่แน่น
ต้นเหง้าลอย รากดูดอาหารมาเลี้ยงลำต้นไม่ได้สังเกตได้ง่ายที่สุด
ไม่โตสักที ใบเล็กลงและใบเหลือง แก่เร็ว แก้โดย การปลูกใหม่
และหาไม้ไผ่อ่อนพับครึ่งคล้ายปากเคียเสียงคร่อนต้นที่ปลูกกันไม่ให้ลอย
(ชาวสวนปลูกบัวเรียกตะเกียบ) สำหรับต้นแก่ที่ปลูกไว้นานแล้ว
โดยเฉพาะในภาชนะที่จำกัดอุบลชาติประเภทยืนต้นเจริญทางนอนจนไปชนอีกผนังของ
อ่างหรือบ่อในหลายกรณีจะหักขึ้นบนเจริญขึ้นไปจนรากลอยตัดเหง้าที่ไม่ต้องการทิ้ง
ปลูกใหม่
5.
ที่ปลูกร้อนเกินไป
บัวทุกชนิดต้องการแดดเต็มที่
จะมีปัญหาถ้าที่ปลูกบัวตื้นน้ำน้อยแดดเผาน้ำจนร้อน สังเกตง่าย ๆ
ขนาดน้ำอุ่นพอที่จะอาบได้ สบาย ๆ ก็ถือว่าร้อนแล้วสำหรับบัว
บัวต้องการแดดเต็มที่วันละไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
ขยับที่ปลูกเสียใหม่ถ้าปลูกในภาชนะ
ที่เคลื่อนย้ายได้หรือเปลี่ยนภาชนะที่ปลูกให้น้ำลึกขึ้น
หรือถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้และที่ปลูกได้แดดทั้งวัน ใช้มุ้งลวดหรือ
มุ้งพลาสติกกันด้านบนเพื่อลดความเข้ม-ร้อนของแสง
6. ดินจืด
มี 2 สาเหตุ คือ ขาดปุ๋ย หรือขาดดิน
(ถ้าปลูกในภาชนะจำกัด) สังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าบัวใบเล็กลง เหลืองแก่เร็ว
ถ้าปลูกใน บ่อดินที่เหลือเฟือก็คือขาดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยสูตรกลาง ๆ ทั่วไป
เช่น 10-10-10, 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือปุ๋ยสำหรับบัว
โดยเฉพาะถ้าปลูกในภาชนะจำกัดที่สามารถอัดปุ๋ยได้ในการจุ่มมือครั้งเดียว
จะใช้ปุ๋ยห่อกระดาษอ่อนที่ใช้เข้าห้องน้ำหรือ
กระดาษหนังสือพิมพ์อัดฝังโคนต้นบัวเลย
แต่ถ้าต้องใช้เวลาในการฝังปุ๋ยทำปุ๋ย
ลูกกอนำโดยปั้นดินหุ้มปุ๋ยผึ่งแห้งเตรียมไว้
จะใช้เมื่อไรก็ฝังโคนต้นสำหรับปริมาณใช้เท่าไรขึ้นอยู่กับการสังเกตและศึกษา
เองของผู้ปลูก เพราะภาชนะปลูกเล็ก-ใหญ่
ต่างกันปริมาณน้ำปลูกมากน้อยต่างกัน ปลูกในบ่อดิน บ่อคอนกรีต
พันธุ์ชนิดบัว ฯลฯ จึงไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ
์ตายตัวได้ถ้าปลูกในภาชนะจำกัด อีกสาเหตุคือขาดดิน
บัวจะออกรากขยายเหง้า ฯลฯ ดันดินพ้นภาชนะละลายไปอยู่กั
น้ำจนในที่สุดแทบจะไม่มีดินเหลืออยู่เลย ราก-เหง้าอัดภาชนะเต็มไปหมด
แก้โดยรื้อเปลี่ยนดินปลูกใหม่
7.
โรค-แมลงศัตรู
ที่พบเป็นประจำ คือ
โรคใบจุดและรากเน่าโรคใบจุดไม่ร้ายแรง
เพราะใบบัวมีพื้นที่ปรุงอาหารมากเด็ดใบเป็นโรคทำลาย ทิ้งไป
โรครากเน่ามีบ้างร้ายแรงกับบัวกระด้งและอุบลชาติ
ประเภทล้มลุกบางพันธุ์ ยังไม่ทราบวิธีแก้ นอกจากนั้น คือ
เก็บดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสียเลี่ยงไปปลูกบัวชนิดอื่น
หรืออุบลชาติประเภทอื่นแทน แมลงที่สำคัญกินบัว ทุกชนิดคือ
เพลี้ยและหนอนบัวหลวงเดือดร้อนมากที่สุด
เพราะชูใบขึ้นมาให้เพลี้ยเกาะกินบัวชนิดอื่นถูกทำลายบ้างแต่
ใบลอยน้ำฝนตกน้ำกระเพื่อมก็ช่วยซัดเอาเพลี้ยหลุดลอยไปได้บ้าง
(ปกติผู้ปลูกเป็นการค้าจะพ่นน้ำให้ลอยหลุดไป)
ป้องกันโดยเด็ดใบที่มีเพลี้ยและหนอนท้ง-ทำลายหนอนพับหนอนพับใบเป็นศัตรูที่
สำคัญของอุบลชาติ เช่นผีเสื้อ
กลางคืนจะมาวางไข่บนใบเมื่อฟักเป็นตัวหนอนจะกัดกินดูดน้ำเลี้ยงใบจนโตแล้ว
กัดใบพับทับตัวเองเพื่อป้องกันศัตรู เช่น นก ฯลฯ
ป้องกันกำจัดโดยการบี้ทำลาย
บัวหลวงมีศัตรูหนอนมากที่สุดนอกเหนือจากเพลี้ยไฟซึ่งเก่ากินใต้ใบ
หนอนกระทู้หนอนชอนใบ โดยเฉพาะหนอนกระทู้กินใบ
โกร๋นทั้งต้นซึ่งจะเกิดในช่วงปลายฤดูฝนและในฤดูหนาวซึ่ง
เป็นระยะที่บัวชงักการเจริญเติบโตด้วย
กสิกรที่ปลูกบัวหลวงเป็นการค้ามักจะตัดใบทิ้ง-ทำลายหมด(ให้หมดเชื้อของหนอน)
รอให้ใบแตกใหม่-ออกดอกใหม่
แมลงที่กล่าวทั้งหมดสามารถปราบและควบคุมได้พอสมควรโดยใช้ยาอะโซดริน 60
ผสมน้ำอัตราส่วนน้ำยา 1:100 (1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร)
ฉีดพ่นให้เป็นฝอยให้จับหน้าของใบบัวบาง ๆ ใบจะดูดน้ำยาเข้าไว้
เมื่อแมลงและหนอนมาดูดกินน้ำเลี้ยงของใบจะกินยาเข้าไปด้วยและตาย
ฉีดพ่นทุก ๆ สัปดาห์จนกว่าจะหมดศัตรูฉีดบาง ๆ
จะไม่เป็นอันตรายทั้งกับคนและปลาที่เลี้ยง
8. หอย
ส่วนใหญ่ได้แก่
หอยขมและหอยคันเป็นทั้งมิตรและศัตรู หอยโข่งเป็นศัตรูที่จงใจ
แต่หอยขมเป็นศัตรูที่ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจ
บ้างคือเมื่อตอนเป็นต้นอ่อนจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากรากและใบอ่อนที่เกิดใหม่
ๆ ใต้น้ำ โดยเฉพาะอุบลชาติบัวหลวงไม่ค่อย
เดือดร้อนเพราะมีสารที่เรียกว่า ดิวติน เคลือบอยู่
และก้านใบก้านดอกมีหนามเล็ก ๆ (บัวกระด้งหนามเต็มต้นไม่เดือนร้อน เลย)
หอยขมและหอยโข่งเมื่อโตขึ้นจะเดินทางจากโคนก้านใบขึ้นมาใต้ใบเกาะดูดน้ำ
เลี้ยงจากไข่-ตัวหนอน และน้ำเลี้ยง
ใบกินระหว่างเดินทางจากโคนก้านใบขึ้นมาใต้ใบ
ถ้าน้ำกระเพื่อมกระเทือนจะหุบก้าน ปล่อยตัวหลุดจากก้านบัวเมื่อก้านหุบ
ก็เลยเหมือนมีดตัดก้านบัวที่ยังอ่อน ๆ
ขาดไปด้วยเป็นปัญหาใหญ่ของการปลูกในบ่อดินป้องกันกำจัดโดยการเก็บทิ้งและ
ปลูกอุบลชาติเผื่อไว้มาก ๆ จะได้แบ่งเบาการทำลายลงไปได้บ้าง
ถ้าปลูกในภาชนะจำกัดเก็บทิ้งง่ายหอยจะเป็นตัวบอกว่า
น้ำเสียหรือยังถ้าน้ำเสียหอยจะลอยมาเกาะตามผนังภาชนะ ณ
จุดผิวน้ำเพื่อหาอากาศหายใจแสดงว่าอ๊อกซิเย่นในน้ำไม่มี
น้ำเสียแล้วควรรีบแก้ไข
9. วัชพืช
เป็นปัญหาที่ใหญ่ของการปลูกบัว
ในบ่อดิน
หญ้ามิใช่วัชพืชหลักเพราะเมื่อถอนทิ้งไปแล้วก็หมดไปโดยเฉพาะน้ำมากและ
ลึกพอควรที่เป็นปัญหาหลักคือสาหร่ายมี 2-3 ชนิด เช่น สาหร่ายหางกระรอก
สาหร่ายวุ้น สาหร่ายไปและสาหร่ายฝอย
สาหร่ายหางกระรอกปราบยากที่สุดเพราะเปาะเมื่อถูกถอนมันจะขาดส่วนที่ขาดจะลอย
และไปขยายพันธุ์ต่อที่อื่น สาหร่าย วุ้นยากเป็นที่ 2
เพราะลื่นและหลุดขาดออกจากกันง่ายเช่นเดียวกับสาหร่ายหางกระรอก
สาหร่ายเส้น หรือสาหร่ายฝอย
เก็บปราบง่ายที่สุดเพราะไม่ค่อยขาดถอนหรือเก็บได้ทั้งกระจุกแต่จะร้ายที่สุด
เพราะมักจะไปพันบัวเสียจนยอดบัวเจริญ ขึ้นมาได้
ลูกบัวและก้านบัวต้นเล็ก ๆ
ที่งอกจากเมล็ดจากอุบลชาติประเภทล้มลุกทั้งพวกบานกลางวันและบานกลางคืน
คือบัวผัน บัวเผื่อน
และบัวสายเป็นปัญหามากที่สุดและไม่รู้จักจบสำหรับการปลูกในบ่อดินที่ปลูก
อุบลชาติประเภทนี้ ต้อง เก็บกันเป็นประจำทุก ๆ 2-3 สัปดาห์
เพราะนอกจากจะทำให้บ่อบัวรกไม่สวยงามแล้ว
ยังแย่งแร่ธาตุอาหารจากบัวที่ปลูก อีกด้วย
วิธีแก้คือต้องขยันหมั่นเก็บดอกแก่ทิ้งก่อนติดเมล็ดถ้าปลูกบ่อใหม่และคิดว่า
จะเก็บไม่ทัน และปลูกหลายบ่อแนะนำ
ให้แยกปลูกอุบลชาติประเภทยืนต้นไว้บ่อหนึ่ง ล้มลุกอีกบ่อหนึ่ง
เก็บลูกบัววัชพืชเฉพาะบ่อปลูกประเภทล้มลุกบ่อเดียว
10.
ฟักตัวในฤดูหนาว
อุบลชาติประเภทยืนต้น
หรือบัวฝรั่งหลายพันธุ์ และอุบลชาติประเภทล้มลุกบานกลางวัน
หรือบัวผัน
บัวเผื่อนที่นำมาจากต่างประเทศบางพันธุ์จะหยุดการเจริญเติบโตผลิตใบหนา
ก้านใบสั้น
จมอยู่ใต้น้ำในฤดูหนาวแก้โดยเพิ่มความร้อนและแสงให้
หรือโดยการลดความลึกของระดับน้ำในบ่อที่ปลูกก่อนเข้าฤดูหนาว 1 เดือน
(ประมาณกลางเดือนตุลาคม) โดยลดระดับน้ำให้เหลือ 15-20
เซนติเมตรจากผิวดิน
หรือยกอ่างปลูกให้อยู่ใกล้ผิวหน้าของน้ำตามเกณฑ์ดังกล่าว
11.
ปลูกบัวพันธุ์ไหนที่เหมาะสมกับสถานที่และภาชนะที่ปลูก
เป็นหัวใจของการดูและรักษาเพราะถ้าชนิดพันธุ์ไม่เหมาะสมแก่สถานที่ที่จะดูแล
รักษาอย่างไรก็ไม่โต ในปัจจุบันพันธุ์
ที่มีจำหน่ายผู้ขายและผู้ปลูกควรรู้จักพันธุ์ว่าชนิดใดชอบน้ำตื้นน้ำลึก
ที่ปลูกควรกว้างหรือแคบแค่ไหนผู้ผลิตพันธุ์ออกมา
จำหน่ายจะต้องบอกได้ว่าบัวพันธุ์นั้น ๆ
ต้องการที่ปลูกอย่างไร
12.
อย่าให้อดอาหารและอย่าให้กินจนเป็นโรคท้องมาร
ใส่ปุ๋ยบำรุงตามความจำเป็นถ้าใส่มากเกินไปน้ำจะเขียว
ปุ๋ยสูตรสมดุล 10-10-10, 12-12-12, 15-15-15 หรือ
16-16-16 ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 2 ชั้น
หรือปั้นเอาดินเหนียวหุ้มปริมาณเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการสังเกตของผู้ปลูก
เพราะผู้ปลูกแต่ละ รายปลูกในภาชนะขนาดแตกต่างกัน
การให้ปุ๋ยแต่ละครั้งต้องหมั่นสังเกตถ้าน้ำเขียว ตะไคร่
สาหร่ายขึ้นเร็วแสดงว่าให้ปุ๋ย
มากเกินไปควรลดปริมาณหรือความถี่ในการให้ปุ๋ยลง
13.
เลี้ยงปลาที่ไม่กินพืช
เช่น ปลาหางนกยูง ปลาสอด หรือปลากัด
เพราะจะช่วยกินลูกน้ำ
14.
อย่าให้บัวขยายพันธุ์จนแน่นในภาชนะเดียวกัน
บัวฝรั่งจะแตกต่าง บัวสาย บัวหลวง
จะแตกไหลไปขึ้นต้นใหม่
บัวผันหรือบัวสายเกิดเมล็ดงอกเป็นต้นใหม่แน่นภาชนะ
ให้เอาออกเพราะหากแน่นมากไปต้นจะไม่ออกดอก
15.
อย่าปลูกบัวหลายพันธุ์ในภาชนะเดียวกัน
ต้นจากพันธุ์ที่แข็งแรงโตเร็วจะเบียดต้นอ่อนแอจนตายไปในที่สุด
16. บัวฝรั่ง บัวหลวง
เจริญตามแนวนอน
ถ้าพุ่งชนภาชนะเมื่อไรจะชงักการเจริญเติบโต
หักเหง้าหรือไหลให้ยอดหันกลับทางกลางอ่างหรือบ่อ
17.
ไม่จำเป็นอย่าถ่ายน้ำในบ่อบัว
เพราะ
จะเป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากที่บัวเคยชิน บัวจะไม่งาม
ถ้าจำเป็นจะต้องถ่ายควรถ่ายออกครึ่งหนึ่งเก็บไว้
ครึ่งหนึ่งจะเป็นการดี
18.
เปลี่ยนดินปลูกใหม่
ควรเปลี่ยนเมื่อรากแน่นภาชนะที่ปลูกและถ้าปลูกในภาชนะที่จำกัดหรือถ้าปลูกในบ่อและนาน
ๆ หลาย ๆ ปี ก็น่าต้องเปลี่ยน หน้าดินเหมือนกัน
จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thpratom&month=03-2008&date=01&group=2&gblog=1