สุญญากาศการเมือง
รัฐบาลเครียด
การเมืองทำเศรษฐกิจพัง งบฯ ปี"50 ช้าไปอีก 6 เดือน งบฯ
ก่อสร้าง ศึกษาฯ สาธารณสุข ปี"49 ค้างจ่ายเพียบ
"สมคิด" วอนรัฐมนตรีอย่าทำงานแบบรักษาการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16
พ.ค.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีหลายคน
ได้แสดงความกังวลถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง
ดังนั้น ครม.
จะปฏิบัติหน้าที่แบบรัฐบาลรักษาการไม่ได้ เร่งทำงานให้เต็มที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการบริหารงบประมาณ
การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และงบฯ ลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
เพราะโดยภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคยังพอขับเคลื่อนไปได้
"เดิมรัฐบาลวางแผนไว้ว่าจะรักษาการแค่ 60 วัน คือ
จัดการเลือกตั้งและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เสร็จสิ้น
แต่ตอนนี้สถานการณ์การเมืองและปัจจัยทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปมาก
คาดว่ากว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ก็คงจะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคม 2549
ระหว่างนี้กินเวลาอีก 5 เดือน ถ้า ครม.ยังปฏิบัติหน้าที่แบบรักษาการ
ต่างประเทศจะมองเราว่าเป็นเป็ดง่อย
จึงขอให้รัฐมนตรีทุกคนเร่งทำหน้าที่ให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้"
แหล่งข่าวอ้างคำพูดของรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจรายหนึ่ง
นายแพทย์สุรพงษ์
สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.
หารือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจอย่างเคร่งเครียด
เพราะขณะนี้เริ่มมองเห็นปัญหาแล้ว เช่น
การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550
ที่อาจจะต้องล่าช้าออกไปถึง 2 ไตรมาส กว่าจะมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น
และมีสภาผู้แทนราษฎรในการเสนอพระราชบัญญัติงบประมาณ
ต้องใช้เวลายาวนาน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้กล่าวแสดงความห่วงใยถึงปัญหาเศรษฐกิจ
เพราะเกรงว่าจะเกิดภาวะชะงักงัน
ดังนั้นในส่วนที่จะดำเนินการลงทุนอะไรได้ก็ขอให้เร่งดำเนินการ เช่น
กรณีของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ต้องเร่งตัดสินใจ
หากมีบริษัทต่างชาติมาขออนุมัติการลงทุน เพราะประเทศคู่แข่ง เช่น
สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็พยายามดึงนักลงทุนในช่วงนี้เช่นกัน
โฆษกประจำ
สำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเคยรายงานให้ ครม. ทราบว่า
ขณะนี้ปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงครึ่งหลังของปี 2549
มีงบประมาณที่ค้างจ่ายประมาณ 631,303 ล้านบาท
โดยมีโครงการที่เป็นงบประมาณปกติและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนขนาดใหญ่
(megaproject) อาทิ โครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
วงเงินรวม 11,364.49 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายไปเพียง 54.04
ล้านบาทเท่านั้น โครงการระบบขนส่งมวลชน วงเงิน 11,845.20 ล้านบาท
โครงการด้านการศึกษาทั้งระบบวงเงิน 14,020.64 ล้านบาท
โครงการพัฒนา
โครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานสาธารณสุขทุกระดับวงเงิน 10,176.40
ล้านบาท ทั้ง 3 รายการนี้ยังไม่มีการเบิกจ่ายเลย
สำหรับโครงการพื้นฐานด้านคมนาคมที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย ประกอบด้วย
โครงการของกรมทางหลวง เช่น โครงการก่อสร้างทางสายหลัก 4 ช่องจราจร
ระยะ 2 โครงข่ายภูเก็ต-พังงา-กระบี่-พัทลุง วงเงิน 295 ล้านบาท
เช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างทางสายหลัก 4 ช่องจราจร ระยะ 2
โครงข่ายภาคตะวันออกเชื่อมกับภาคอีสาน วงเงิน 924 ล้านบาท
โครงการสะพานข้ามแม่น้ำ 4 แห่งใน กทม. วงเงิน 140 ล้านบาท
โครงการก่อสร้างทางคู่
ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง
1,379.20 ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางของการรถไฟฯ อีก 4,000
ล้านบาท ส่วนโครงการของกรมทางหลวงชนบทที่เบิกจ่ายน้อย
ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี
วงเงิน 500 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 14.93 ล้านบาท
โครงการก่อสร้างทางเชื่อมถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก
โครงการทางพิเศษบางพลี-สุขสวัสดิ์ 1,300.70 ล้านบาท เบิกจ่าย 14.20
ล้านบาท และโครงการทางพิเศษสายรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก วงเงิน 2,045.19
ล้านบาท โครงการของกรมพาณิชย์นาวี
ที่ขออนุมัติงบประมาณไว้แต่ยังไม่มีการเบิกจ่ายทั้ง 2 โครงการ อาทิ
โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล วงเงิน 230 ล้านบาท
และโครงการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน 2 จ.เชียงราย 50 ล้านบาท
ที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาต้านไวรัสตามมาตรฐาน
WHO GMP วงเงิน 950 ล้านบาท เบิกจ่าย ไปแล้ว 10 ล้านบาทเท่านั้น
เช่นเดียวกับโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ วงเงิน 36,572.63
ล้านบาท เบิกจ่ายไปเพียง 4,658.22 ล้านบาท
ประชาชาติธุรกิจ 18 พ.ค. 49
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized หมายเลขบันทึก: 29356เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2006 11:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น