แต่ครูดีอยากหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งก็เพราะว่า
ครูดีเห็นว่าเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการครูของเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยในชั้นเรียนกันอย่างแท้จริง
มีครูที่ทำและนำเสนอรายงานวิจัยในชั้นเรียนในลักษณะของการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่สู่วงวิชาการน้อยมาก
หรือ มักได้ยินผู้บริหารโรงเรียนบ่นกันอยู่บ่อย ๆว่า
พยายามผลักดันให้ครูในโรงเรียนทำวิจัยในชั้นเรียนคนละเรื่องสองเรื่องต่อปี
ก็ไม่ค่อยได้ผล อย่างเก่งจะได้แค่ 40 -50
เปอร์เซ็นต์ และก็จะได้เฉพาะในช่วงแรก ๆ พอไม่กำชับ
ส่วนใหญ่ก็วางมือ
การวิจัยในชั้นเรียนในบ้านเราเกิดขึ้นโดยสถานการณ์บังคับมากกว่าการตระหนักในความสำคัญที่มีอยู่ในสำนึกของครูอาจารย์
เพราะอะไร????????
การพัฒนาวิชาการในวงการวิชาชีพครูของเราไม่ใช่วัฒนธรรมในการทำงานของครูไทย
แต่เดิมครูไทยไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในฐานะครูชั้นวิชาชีพ
ลองหันกลับไปดูประวัติการฝึกหัดครูของเราจะเห็นชัดเจน
เราเคยชินกับการมองว่าครู คือ ผู้ถ่ายทอดความรู้
ดังนั้นคนเป็นครูในบ้านเราจะเป็นใครก็ได้ที่มีความรู้
การมีความรู้ของคน ก็ถูกมองว่า คือการรับการถ่ายทอดความรู้
ไม่ใช่การแสวงหาความรู้ด้วยการศึกษาค้นคว้า การศึกษาวิจัย
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการลงมือปฏิบัตจนเกิดความจัดเจน
เราแทบจะไม่ยกย่องเรื่องความรู้จากการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติกันเลย
ครูไม่ใช่คนสร้างความรู้เอง
แต่เป็นคนที่นำความรู้ที่ผู้อื่นได้สร้างไว้แล้วมาถ่ายทอด
ความคิดแบบนี้มีมาช้านานในสังคมไทย
แม้เมื่อเริ่มการศึกษาในระบบโรงเรียนขึ้นในบ้านเรา
ความคิดแบบนี้ก็แจ่มชัดมาโดยตลอด
หลักสูตรการฝึกหัดครูให้ครูเรียนความรู้หลายอย่าง
แต่ที่ไม่ได้ให้เรียนประการหนึ่ง คือการวิจัย
ทั้งนี้เพราะเราคิดว่าครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ไม่ใช่คนสร้างความรู้
จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเรียนวิจัย
วงการฝึกหัดครูไทยเพิ่งบรรจุวิชาวิจัยทางการศึกษาลงในหลักสูตรในราวปี
2518
ซึ่งครูดีเชื่อว่าเกิดจากการปรับเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับครูในบ้านเมืองเราว่าครูเป็นมากกว่าผู้ถ่ายทอดความรู้
ความคิดใหม่ที่มองครูว่ามีบทบาทในการสร้างสรรค์ความรู้ด้วยนั้นปรากฏชัดเจนในรายงานการปฏิรูปการศึกษาของคณะกรรมการการปฏิรูปการศึกษา
ซึ่งมีท่านศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธาน
แต่การเรียนการสอนวิจัยทางการศึกษาในช่วงนั้นไม่ได้เน้นให้เกิดสำนึกของผู้สร้างความรู้ให้แก่ครู
แต่มันกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาของครู
วิจัยทางการศึกษากลายเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ
กลายเป็นยาขมของคนเรียนครู โดยเฉพาะคนที่เรียนครูรุ่นเก่า
ๆที่กลับมาเรียนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ปริญญา
แม้ครูได้เรียนวิจัยทางการศึกษา แต่ก็มีครูจำนวนน้อยมาก
หรือกล่าวได้ว่าแทบไม่มีเลยที่นำเอาการวิจัยไปใช้ในการสร้างหรือแสวงหาความรู้
แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันในวงการครูว่าครูควรวิจัยเพื่อสร้างสรรค์ความรู้มาใช้ในการเรียนการสอนของตนหรือไม่?
มีครูจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าการวิจัยไม่ควรเป็นบทบาทหน้าที่ของครู
การวิจัยจึงยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในสำนึกของครู
ยังไม่ได้เข้าไปในวิถีของการประกอบวิชาชีพของครู
การวิจัยในชั้นเรียนซึ่งเป็นกิจกรรมทางวิชาการที่ใช้กระบวนการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน
จึงเป็นสิ่งยากที่ครูจะยอมรับเข้าไว้เป็นวิถีปรกติของการเรียนการสอนของเขา
ทำอย่างไรครูจึงนำเอาการวิจัยในชั้นเรียนเข้าไปเป็นวิถีปรกติของการประกอบวิชาชีพของตน?????
ครูดีคิดว่า
การเอาครูไปอบรมวิจัยในชั้นเรียน ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
การเอาการวิจัยในชั้นเรียนเป็นเกณฑ์หนึ่งของการปูนบำเหน็จความดีความชอบ
ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
การเอาการวิจัยในชั้นเรียนเป็นเกณฑ์หนึ่งของการประเมินคุณภาพทางการศึกษาของโรงเรียน
ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
การกำหนดให้การวิจัยในชั้นเรียนเป็นเกณฑ์หนึ่งของการขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ
ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
หรือ
ฯลฯ
ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ครูดีมองเห็นอยู่ประการเดียวคือ
กระทรวงศึกษาธิการต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในกระทรวงให้ได้ และในนั้น
การวิจัยเพื่อการพัฒนางานในหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรในกระทรวงเป็นส่วนหนึ่ง
โดยเฉพาะ คนเป็นผู้บริหารทุกระดับ
นักวิชาการทุกระดับ และ ครูอาจารย์ทุกคน
ถ้าการวิจัยพื่อการพัฒนางานในหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรในกระทรวงเป็นสิ่งที่บุคลากรในกระทรวงทุกคนทำ
ปลัดกระทรวงทำ
เลขาธิการสำนักต่าง ๆ ทำ
ผู้อำนวยการส่วนฯ สำนักฯ ต่าง ๆ ทำ
ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯทำ
ตำแหน่งรอง
ๆอื่น ๆทำ
หัวหน้างานต่าง ๆทำ
ผู้อำนวยการโรงเรียนทำ
และ ครูบาอาจารย์ทำ
ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรยากาศขององค์กรมันผลักดัน
ชักจูง สนับสนุน ให้ครูทำ
ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ทุกคนที่อยู่ข้างบนครูชี้มาที่ครู
ไม่มีใครสักคนชี้ที่ตนเองด้วย
หรือมีใครจะกล้าปฏิเสธหรือว่า
ในตำแหน่งของตนไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอาการวิจัยไปใช้
ในตำแหน่งของตนไม่ควรเรียนรู้อะไรในงานของตน
ในตำแหน่งของตนไม่ควรแลกเปลี่ยนเรียนรู้อะไรกับใคร
ในตำแหน่งของตนไม่ควรปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ตนมีให้กลายเป็นองค์
ความรู้ขององค์กร
ถ้าปฏิเสธไม่ได้ก็ควรทำ
เมื่อทุกคนที่ควรทำ
ทำ
ครูบาอาจารย์ก็จะทำ
และ เป็นการทำชนิดที่ไม่ต้องคิด
เหมือนคนเราต้องกิน ต้องนอน ต้องหายใจฯลฯ
อะไรทำนองนั้น
ครูดี
19/08/52
22:20
อยากได้ตัวอย่างวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนม.1 ค่ะ