ศาสตร์แข็ง vs ศาสตร์อ่อน
ผู้เขียนเรียนและประกอบอาชีพเกี่ยวกับองค์ความรู้ในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งรู้จักกันในนามว่าศาสตร์ด้านแข็ง ในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน แต่ต่อมาก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสตร์ด้านอ่อน คือ ด้านการบริหาร และด้านการศึกษา ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการปรับวิถีชีวิตของตนเองหลายอย่าง อาทิ
มุมชีวิตที่เปิดกว้าง ในช่วงแรกที่เด็กวิทย์เรียนรู้เรื่องของสังคมศาสตร์ เราจะรู้สึกว่า...ทำไม่ไม่ชัดเจน...ไม่ฟันธง... ไม่แน่นอน ตายตัว กลิ้งได้เรื่อย.... สักระยะหนึ่ง มุมมองชีวิตจะเริ่มเปิดกว้างและรับรู้ได้ว่า“ชีวิตไม่ได้มีมุมเดียว”
ความยืดหยุ่น ในความที่เราถูกหล่อหลอมมาด้วยวิทยาศาสตร์ อะไร ๆ ก็ดูว่าจะต้องถูกต้อง แม่นตรง ทุกอย่างต้องชัดเจน เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ชีวิตมีคำตอบเดียวที่ถูกต้องไม่ขาวก็ดำ ไม่รู้จักสีเทาหรือ gray zole แต่ว่าเมื่อได้เรียนรู้ศาสตร์ด้านอ่อนที่ต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ชีวิตก็เริ่มลดความแข็งไปได้บ้าง 1+1 ในบางกรณีก็ไม่ใช่ = 2 เสมอไปทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น กองทราย 1 กอง บวกกับอีก 1 กองก็จะมีกองทรายเป็น 1 กองใหญ่ไม่ใช่ 2 กอง คิดได้ดังนั้นก็เพิ่มความยืดหยุ่นให้ชีวิตบ้าง แต่อย่ามากจนหย่อนยานนะ
การหาคำตอบหรือทางออกได้หลายทาง เมื่อได้เรียนรู้ศาสตร์ด้านอ่อนชีวิตของเราจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแน่นอนเพียงหนึ่งเดียว แต่จะได้เรียนรู้ว่าในกรณีนี้กรณีนั้นเราจะสามารถหาคำตอบหรือทางออกอย่างไรให้เหมาะสมและดีที่สุด โดยส่วนตัวได้เอามาใช้บ่อยๆ ทำให้เป็นกำลังใจให้ตัวเองว่าในเวลานั้นเราทำแบบนั้นเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดแล้ว จะได้ไม่โทษตัวเองย้อนหลังอีก
รู้จักให้อภัยและให้โอกาสตัวเองรวมทั้งคนอื่น เมื่อเราเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดได้บ้าง ความรู้สึกนึกคิด จิตใจของเราจะอ่อนโยนขึ้น สามารถยอมรับและเรียนรู้ข้อผิดพลาดได้มาก ไม่ยึดศาสตร์แข็งอยู่อย่างเดียวตลอดเวลา ทำให้เรารู้จักการให้อภัยและให้โอกาสตัวเอง และปรับไปถึงการให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นได้โดยง่าย
จะเห็นได้ว่า ชีวิตคนเราจะต้องมีทั้งการใช้ศาสตร์แข็งควบคู่ไปกับศาสตร์อ่อนด้วย ก็เป็นไปตามหลักพุทธศาสนาที่ให้เราเลือก เดินสายกลาง นั่นเอง
จัดให้ตัวเองเป็นคนประเภท "ศาสตร์อ่อน"
เพราะอ่อน (วิทยา)ศาสตร์ มาแต่ไหนแต่ไร วิชาทางวิทยาศาสตร์ที่เรียนได้ดีที่สุดเห็นจะเป็นวิชา "ดาราศาสตร์"
แต่ชอบวิชาด้านสังคมศาสตร์ ภาษา ศิลปะ ดนตรี อะไรเทือกนี้ค่ะ
เห็นด้วยกับพี่กบค่ะ ว่าชีวิต ต้องมีความสมดุล ทั้งศาสตร์แข็งและศาสตร์อ่อน
และต้องเป็นคน "หัวแข็ง" และ "หัวอ่อน" ไปพร้อม ๆ กันด้วยรึเปล่าคะ!!!
ในความเห็นของพี่นะ...หัวแข็งและหัวอ่อนต้องมีในตัวเองอยู่แล้วค่ะ แต่การแสดงออกช่วงไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับสถานการณ์ค่ะ
ทางสายกลาง
ความจริงเรารู้นะค่ะ ว่ามันมี
แต่ว่าส่วนใหญ่ก้เลือกที่จะเดินซ้ายหรือขวาก่อนเพื่อให้รู้(เอาชนะ)
แต่สุดท้ายก็ทางสายกลาง
จะแข็ง หรือ อ่อน ก็ต้องดูสถานกาณ์ ด้วยจริงไหมค่ะ พี่กบ
เห็นด้วยกับกบมากๆ
พึ่งจะได้สนใจเรื่องเหล่านี้
พยายามสร้างสมดุลอยู่เช่นกัน
รู้จักให้อภัยและให้โอกาสตัวเองรวมทั้งคนอื่น เมื่อเราเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดได้บ้าง ความรู้สึกนึกคิด จิตใจของเราจะอ่อนโยนขึ้น สามารถยอมรับและเรียนรู้ข้อผิดพลาดได้มาก ไม่ยึดศาสตร์แข็งอยู่อย่างเดียวตลอดเวลา ทำให้เรารู้จักการให้อภัยและให้โอกาสตัวเอง และปรับไปถึงการให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นได้โดยง่าย
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะพี่กบเพราะจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเองที่ดำเนินด้วยการยึดศาสตร์แข็งเกินไปในช่วงหนึ่งของชีวิตก็ทำให้เกิดจุดหักเหได้หลายอย่าง แต่ในขณะเดียวกันเมื่่อเริ่มปรับเปลี่ยนชีวิตโดยดำเนินตามหลักพุทธศาสนา ..เลือกเดินสายกลาง..ชีวิตก็เกิดจุดหักเหเหมือนกันแต่เป็นการหักเหไปในทางที่ดีโดยเกิดจากสภาวะทางด้านจิตใจที่ดีรู้จักให้อภัย..ไม่ใช่..ใช้แต่อารมณ์เป็นตัวตัดสินสิ่งใดๆ
(นำเรื่องดีๆ+ข้อคิดคติในการดำเนินชีวิตมาเขียนให้อ่านอีกนะคะ)
ไม่มีอะไรถูกที่สุด และไม่มีอะไรผิดที่สุด มันอยู่ที่การตีความจากประสบการณ์และพื้นฐานของแต่ละคน ถ้าเราเข้าใจซะทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มี...ไม่มีปัญหาค่ะ
จานแดง
เรื่องที่เขียนช่วยเตือนสติได้ดีจริง ๆ ค่ะ....
เขียนได้ดีครับ แล้วจะเข้ามาหาความรู้เพิ่มเติมครับ