ตลิ่งสูง ซุงหนัก
นิคม รายยวา
สนพ.ต้นหมาก /พิมพ์ (ครั้งแรก ธันวาคม ๒๕๒๗)
เรื่องย่อ :
พลายสุด...หรือชื่อเต็ม ๆ ว่าพลายสุดสง่า เกิดปีเดียวกับคำงาย
เขาคลุกคลีเล่นหัวอยู่กับมันมาแต่เล็ก ๆ
แต่วันหนึ่งเมื่อเขาไปเป็นทหารอยู่สองปีแล้วกลับมาบ้านเขาก็พบว่าพ่อของเขาได้ขายพลายสุดให้กับพ่อเลี้ยงไปเสียแล้ว...เพื่อนำเงินมารักษาตัวที่ป่วย
แต่ถึงแม้จะได้เงินมาจากการขายพลายสุด
พ่อของเขาก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
คำงายรู้สึกผูกพันและอาลัยในตัวพลายสุด แต่ก็ต้องยอมรับความจริง
พ่อเลี้ยงมีโรงแกะสลักและสตัฟฟ์สัตว์ต่าง ๆ
เมื่อคำงายไปทำงานด้วยเขาก็เรียนรู้วิธีแกะสลัก
และสตัฟฟ์สัตว์จนชำนาญ
คำงายตั้งใจจะแกะสลักช้างไม้ขนาดใหญ่ด้วยไม้ชิงชัน
เพื่อขอแลกกับพลายสุดคืนมา...
เขาทุ่มเททั้งหยาดเหงื่อ
แรงงานและเวลาให้กับงานแกะสลักช้างไม้อยู่หลายปีตั้งแต่ลูกชายเขายังตัวเล็ก
ๆ
เขาให้สัญญากับลูกว่าวันหนึ่งเขาจะพาลูกขี่ช้างไปเที่ยวเล่นด้วยกัน...
แต่วันหนึ่ง...เกิดอุบัติเหตุลูกชายเขาจมน้ำตายขณะที่ไปตกปลาในแม่น้ำที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับมันมาจนเหมือนปลาตัวหนึ่ง...
หลังจากเสียลูกชายคำงายก็ไม่ได้กลับเข้าไปในเพิงที่เขาแกะสลักช้างไม้ค้างไว้อีกเลย...
และเขาก็ไม่สามารถสตัฟฟ์สัตว์ได้อีกแล้ว...เขาจึงขอไปเป็นควาญช้างชักลากซุงแทน
เวลาต่อมา...พลายสุดถูกขโมยตัดงาจนกุดทั้งสองข้าง จนใคร ๆ
เปลี่ยนคำเรียกขานจากพลายสุดเป็นพลายกุด...
คำงายเฝ้าดูแลเอาใจใส่ รักษาแผลให้มัน
จนมันหายดีและกลับมาทำงานได้เหมือนเคย
เมื่อพ่อเลี้ยงได้เห็นช้างไม้ที่คำงายแกะสลักค้างไว้ก็พอใจ
ตกลงขอแลกกับพลายสุด...
แต่...วันสุดท้ายที่คำงายกับพลายสุดไปชักลากซุงขึ้นตลิ่งด้วยกัน...ด้วยตลิ่งที่สูงและซุงที่หนักเกินกำลัง
ทั้งคนและช้างจึงพลั้งพลาด...คำงายเสีย "ชีวิต"
ที่เขาเพิ่งจะค้นพบความหมายไปพร้อม ๆ กับพลายสุดนั่นเอง
เรื่องย่อแบบยาวอีกแล้ว...
เศร้าค่ะเรื่องนี้ อ่านกี่รอบกี่หนก็ยังให้อารมณ์ที่หนัก ๆ หน่วง ๆ
ราวกับถูกซุงทับกระนั้น...
เป็นหนังสือเล่มโปรดอีกเล่มที่อ่านซ้ำ ๆ ได้ไม่รู้เบื่อ
เพราะ...ทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาอ่าน เราจะค้นพบแง่งามใหม่ ๆ
ของเรื่องอยู่เรื่อย ๆ
ในวัยที่ยังเยาว์กว่านี้ ตอนอ่านนิยายเรื่องนี้ก็เพียงรู้สึกหดหู่
เศร้า สะเทือนใจ...
เมื่อโตขึ้นแล้วหยิบมาอ่านใหม่อีกครั้ง
และอีกครั้งก็รู้สึกได้ว่าแรงสะเทือนนั้น...มันมากขึ้น
มากขึ้นทุกครั้งทุกคราวไป
แง่คิดและมุมมองอันซื่อใสแต่งดงามของคำงาย
เป็นเหมือนกระจกเงาให้เราได้ส่องสะท้อนเข้ามายังชีวิตของเราเอง
เกิดเป็นคำถามที่ถามตัวเองย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ว่า...ถึงวันนี้เราหา"ชีวิต"
เจอหรือยัง...?
เราได้ดูแล"ชีวิต"ของตนเองดีพอหรือยัง...?
หรือเพียงปรนเปรอ"ซาก"ของชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น
เรื่องราวส่วนใหญ่บอกเล่าผ่านความคิดคำนึงของคำงาย 'สาร'
ที่ผู้เขียนตั้งใจสื่อออกมาจึงซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา
แต่...เฉียบแหลมและคมคายทีเดียว...
มีหลายบทหลายตอนที่...กระทบใจ...เช่น
"รูปปั้นไม่มีทางเหมือนคนได้เลย
เพราะมันเป็นซากไม่มีชีวิต ...
แต่คนเหมือนรูปปั้น เพราะบางที คนคล้ายซาก
ไม่มีจิตไม่มีใจ"
*****
'ไม่เป็นท่าเลย’
เขาพูดแล้วก้มมองตัวเอง...
'ฉันเคยเดินทางไกล ได้พบเห็นอะไรหลายอย่าง
แต่ของใกล้ตัวที่มีความหมายกับฉันมากที่สุด ฉันกลับมองไม่เห็น
เหมือนไม่รู้จักมันเลย...ข้อที่แปลกก็คือ
ฉันไม่รู้ว่าฉันไม่รู้'
*****
'ทำไมชีวิตจึงเก็บไว้ไม่ได้นะ' เขาคิด
'มันคงจะเก็บไว้ได้ เพียงแต่ทำไม่ถูกวิธี
อยากรู้จังว่า ถ้าจะสตัฟฟ์ชีวิต จะต้องทำอย่างไร
จะเริ่มต้นตรงไหนนะ'...
“ก็เริ่มต้นตรงที่ อย่าฆ่ามันนะซิ” เขาพูดออกมาดัง ๆ
...
'ง่ายนิดเดียวจริง ๆ' เขาคิด ' ถ้าอยากเก็บชีวิตไว้ ก็ต้องเลี้ยงมัน
รักมัน ถนอมมัน...
แบบนี้ง่ายกว่าทำสตัฟฟ์ซากตั้งเยอะ'
******
'ทำไมต้องเอาไม้ใหญ่มาทำช้างนะ...'
คำงายคิด...'คนเรานี่แปลกจริง ๆ ไม้ใหญ่มันก็ใหญ่ของมันอยู่แล้ว
คนไม่ได้ทำให้ช้างใหญ่ แต่ท่อนไม้มันใหญ่ของมันเอง
ตัวมันจริง ๆ คือต้นไม้
แต่คนกลับไม่เห็นความสวยและค่าของมันตอนมีร่มเงา มีชีวิต
กลับโค่นมัน ลิดกิ่งตัดใบให้เป็นซากไม้
แล้วเอามาแกะให้เหมือนซากช้าง
ชื่นชมมันมากกว่าได้เห็นซากจริง หรือต้นไม้ที่มีชีวิตเสียอีก
ทำไปทำมาก็จะไม่มีของจริงเลยสักอย่าง
ไม่ว่าช้างหรือต้นไม้'
*****
คำงายรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของช้าง
และช้างเป็นส่วนหนึ่งของเขา...
'ไม่มีใครแยกต่างหากออกจากใคร
มนุษย์ทุกคนมีสายโยงใยที่มองไม่เห็น ฉันไม่ใช่ฉัน เขาไม่ใช่เขา
มีฉันอยู่ในตัวเขา และเขาในตัวฉัน...
...
เราทุกคนมีการเกิดและความตายอย่างละหนึ่งหนเท่ากัน
แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างกลางนั้นเป็นชีวิต...เราต้องหาเอาเอง'
*****
จริง ๆ แล้วมีอีกเยอะมาก แต่ยกมาเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อย
หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลดีเด่นโดยคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ
ในปีพ.ศ. ๒๕๒๗
และได้รับรางวัลซีไรต์ประเภทนวนิยายในปีพ.ศ.๒๕๓๑
นำมาชวนอ่านในวันช้างไทย ๑๓ มีนาคม
สนุกและเหมาะแล้วที่ได้รับรางวัลครับ
ระลึกถึง..เจ้าค่ะ...คารมนี้..ตลิ่งสูงซุงหนัก..
ผู้แต่งเข้าใจถึงตัวตนไม่ใช่ตัวตนแล้ว บรรลุอนาคามีแม้ยังเป็นฆราวาส