เว็บศูนย์รวม "โยคะสารัตถะ |
Dr. D.K. Deshmukh เรื่อง
ทพ.สมดุลย์ หมั่นเพียรการ
แปลและเรียบเรียง
จาก YOGA and TOTAL HEALTH November 2008
โยคะสารัตถะ ฉ. สิงหาคม '๕๒
บทนำ
คำถามหนึ่งที่มักถามเกี่ยวกับโยคะในแง่วิทยาศาสตร์คือ
มีการศึกษาใดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของโยคะในแง่การทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ในมุมมองที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
ถึงแม้ว่าโยคะจะไม่ใช่วิธีการรักษาโรคหรือเครื่องมือให้ผลที่จับต้องได้
แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าโยคะช่วยให้การทำงานในร่างกายเป็นไปอย่างเหมาะสม
และอยู่ในสภาวะสมดุล
ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีสมาธิ
ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงนอกเหนือจากเป้าหมายทางจิตวิญญาณ
วัตถุประสงค์
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอคุณค่าของโยคะอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นการนำโยคะไปใช้ในการบำบัดโรค
งานชิ้นนี้ได้รับการออกแบบอย่างรอบคอบโดยคณะผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะศาสตร์
บนฐานความคิดว่า แม้โยคะจะมีไว้เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของคนปกติ
เราก็ยังสามารถนำโยคะมาใช้กับผู้ป่วยได้
โดยยังคงยึดในเป้าหมายสูงสุดของโยคะซึ่งไร้ขอบเขตจำกัด
วิธีการ
ทำการศึกษาจากผู้ป่วยจำนวน 116 ราย ผู้มารับการรักษาที่สถาบันโยคะ(
The Yoga Institute) เมืองซานตาครูซ (Santacrutz)
ซึ่งได้รับการรักษาในระยะเวลาที่เพียงพอ
ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการตรวจและประเมินทั้งภาวะทางร่างกาย
และสภาพจิตใจ ด้วยการตรวจทางคลินิกร่วมกับการทดสอบสภาพจิต เช่น MMPI,
MPI, และ TAMS เพิ่มเติม
นอกจากนี้ผู้ป่วยยังได้รับการตรวจด้วยวิธีทางพยาธิวิทยา, รังสีวิทยา
และการตรวจคลื่นหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กเมื่อมีข้อบ่งชี้
ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยคณะของสถาบันโยคะด้วยวิธีการรักษาปกติ
การรักษาประกอบด้วยการสอนกระบวนการปฏิบัติของโยคะ, การบรรยายโดย ศรี
โยเกนดรา (Shri Yogendraji)
และการพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับนักบำบัดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง
"วิถีชีวิต" ของผู้ป่วยเมื่อพบว่าจำเป็น
เป็นการรักษาด้วยวิธีการแบบองค์รวม
โดยไม่พยายามที่จะแบ่งวิธีการของโยคะศาสตร์แบบดั้งเดิมออกเป็นส่วนๆ
เพื่อกำหนดว่าส่วนใดเป็นส่วนที่มีความสำคัญ หรือมีประสิทธิภาพสูงสุด
กล่าวคือ ปฏิเสธการมองโยคะแบบแยกส่วน
ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการตรวจประเมินซ้ำหลังจบการรักษา
ด้วยวิธีการเดียวกับการตรวจร่างกายและสภาวะทางจิตเมื่อเริ่มต้น
รวมถึงการทดสอบด้วยวิธีการพิเศษเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น
นักจิตวิทยาใช้เกณฑ์ Knight's criteria (ตามที่ระบุโดย Wobe)
เป็นแนวทางในการประเมินการเปลี่ยนแปลงของภาวะที่ดีขึ้น
ผลการศึกษา แสดงตามตาราง ดังนี้:
ผลการศึกษา การวิเคราะห์ภาวะที่ดีขึ้น ของผู้ป่วย 116 ราย
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเข้าสูภาพขยาย)
วิจารณ์
จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า
ภาวะที่ดีขึ้นของผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิต
และโรคกายเหตุจิตมีระดับการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับสูงเมื่อได้รับการรักษาจนครบสมบูรณ์ตามกำหนดเวลา
การศึกษานี้ แม้ทำอย่างพิถีพิถัน
แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามระเบียบวิธีวิจัยมาตรฐาน กล่าวคือ
ไม่มีการศึกษาคนไข้อีกกลุ่ม ที่ไม่ได้ฝึกโยคะ
แล้วนำผลของทั้งสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกัน เพื่อชี้ให้เห็นว่า
กลุ่มที่ฝึกโยคะต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้ฝึกแค่ไหน อย่างไร อย่างไรก็ตาม
หากเปรียบเทียบกับผลการรักษาด้วยวิธีการที่มีอยู่ทั่วไป
จากรายงานต่างๆ ก็สามารถกล่าวได้ว่า
โยคะให้ผลการรักษาอยู่ในระดับที่ดี
อัตราโดยรวมของภาวะที่ดีขึ้นมีค่าร้อยละ 77.58
ซึ่งเหนือกว่าผลการบำบัดด้วยวิธีการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา
(Psychoanalyical therapy) แบบต่างๆ (มีค่าแปรผันตั้งแต่ ร้อยละ 39 -
67) มีเฉพาะการบำบัดบางวิธี ได้แก่ การบำบัดด้วยยา หรือพฤติกรรมบำบัด
ที่บางครั้งก็ให้ผลในระดับที่ใกล้เคียงกับการบำบัดแบบโยคะ
เป็นที่น่าสังเกตว่า การบำบัดที่มุ่งทางกายนั้น
มีจุดมุ่งหมายการรักษาเพียงเพื่อบรรเทาอาการ
ไม่ได้เป็นการรักษาแบบบูรณาการ
ซึ่งแตกต่างจากการบำบัดด้วยโยคะหรือการวิเคราะห์ทางจิต
ดังนั้นจากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า
โยคะเป็นการบำบัดโดยมีจุดมุ่งหมายที่สูงและให้ผลการรักษาที่น่าพอใจ
มีเรื่องที่น่าสนใจคือ ระยะเวลาของความเจ็บป่วย
และความรุนแรงของความเครียดจากภายนอก ไม่ได้ผกผันกับผลที่ได้รับ
กล่าวคือ ไม่ว่าจะป่วยรุนแรงเพียงใด เครียดเพียงใด
ก็ได้ผลดีทำนองเดียวกัน อีกประเด็นคือ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความเครียดจากปัจจัยภายนอกอยู่ในระดับต่ำๆ เท่านั้น
หมายความว่า สาเหตุของความเจ็บป่วยหลักนั้น มาจากความขัดแย้งภายใน
ซึ่งซับซ้อน และเป็นเพียงความกังวลในตัวผู้ป่วยเอง
ข้อค้นพบที่ว่า
ระยะเวลาของความเจ็บป่วยไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อ'การบำบัดด้วยโยคะ'
อย่างมีนัยสำคัญ นั้น สอดคล้องกับการศึกษาของ Vahia และคณะ ซึ่งทำขึ้น
ณ โรงพยาบาล KEM เมืองบอมเบย์
สรุป
ผลการศึกษาอย่างละเอียดในกลุ่มผู้ป่วยจำนวน 116
ราย*เป็นข้อมูลที่เพียงพอที่แสดงให้ว่า
โยคะเป็นวิธีการสำคัญในการบำบัดผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตและผู้ป่วยโรคกาย-จิตสัมพันธ์
โดยให้ผลเป็นที่น่าพอใจ
*ผู้ป่วยในการศึกษานี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู
แต่ยังรวมถึงมุสลิม, คริสเตียน, ผู้นับถือหลักศาสนา Zoroaster
(ศาสนาอิหร่านนิกายหนึ่ง ผู้แปล), ผู้นับถือศาสนาพุทธ, ศาสนาเชน
และกลุ่มอื่นที่เห็นประโยชน์ของโยคะ จาก 116 คนนี้
เป็นชนกลุ่มน้อยร้อยละ14
ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สอดคล้องกับประชาการในประเทศอินเดีย
ที่มีชนกลุ่มน้อย (ไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู ผู้แปล) ร้อยละ 16
เราจึงสามารถกล่าวได้ว่าผู้ป่วยในงานวิจัยนี้
ไม่ได้มารับการรักษาแบบโยคะบำบัด เพราะความเชื่อทางศาสนา (ฮินดู)
แต่มาเพราะเห็นว่า โยคะเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์
สวัสดีค่ะ
สนใจ paper นี้ค่ะ
พอจะมีไฟล์ paper ต้นฉบับมั้ยคะ
ตอนนี้ทำ evidence based practice
เกี่ยวกับการนำโยคะมาลด anxiety ในผู้ป่วยมะเร็งค่ะ
อ่านแล้วน่าจะนำมา อ้างอิงได้ และถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปจะขอท่าโยคะอาสนะที่จะช่วยลด anxiety ท่าที่ผู้ป่วยมะเร็งพอจะทำได้ด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่า
สวัสดีค่ะ คุณ Hana
ขอบพระคุณมากนะคะ ที่แวะเข้ามารับรู้ข้อมูลและนำไปปรับใช้
จะรีบแจ้งให้กับทางทีมงานให้รับทราบนะคะ
และรบกวนของ e-mail คุณ Hana ด้วยนะคะ
ส่งเข้า e-mail โดยตรงของ "แตง" ได้เลยค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
ขอ paper ด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณ Liew [IP: 125.27.118.209]
รบกวนของ e-mail ด้วยนะคะ จะได้สามารถจัดส่ง file ให้ได้ค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะคุณแตงไทย แวะมาขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ หนึ่งได้รับไฟล์ต้นฉบับจาก ทพ.สมดุลย์ หมั่นเพียรการ เรียบร้อยแล้วค่ะ และนำมาใช้ทั้งที่เรียนและที่ทำงานเรีบยร้อยแล้วด้วยค่ะ นำผลงานมาฝากให้ดูด้วยค่ะ อิอิ ที่นี่เลยค่ะ และ ที่นี่ค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ