เช้านี้หลังจากวิจัยลมหายใจเสร็จ เปิดอ่านข้อมูลเก่าๆที่เก็บไว้
เลยมาพบ วิชาชีวิตที่อ่านแล้วเคยบันทึกข้อมูลไว้นานแล้วจึงก๊อบมาให้อ่านดูขอรับ...
เจาะหลักสูตร
อะไรคือแก่น “วิชาชีวิต”
รถจณา เถาว์พันธ์ ี่
วิชาชีวิตคืออะไร อะไรคือวิชาชีวิต...? ที่มาของวิชาชีวิต เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
ที่ศรัทธาในหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา และจัดการเรียนการสอนแบบวิถีพุทธ เพื่อบ่มเพาะเมล็ด
พันธุ์แห่งความดี ตามหลักและวิธีการพัฒนามนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ของพระพุทธศาสนา
ทำไมต้องมีวิชาชีวิต
เพราะการเรียนแค่เรื่องวิชาการ ไม่อาจสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก ในภาวะที่สังคมคุณธรรมเริ่ม
เสื่อมถอยลงไปทุกที การผนวกเอาวิชาการกับการใช้ชีวิตมาไว้ในบทเรียนเดียวกัน เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่
จะสร้างเกราะชีวิต และพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม ดังคำของพระอาจารย์ชยสาโร ที่ว่า “...ทุกวันนี้คนมี
ความรู้แน่นหนา แต่มีการศึกษาน้อยนิด ความรู้มันมาก แต่การศึกษามันน้อย ความรู้อยู่ในกรอบที่คับแคบ
มาก และเมื่อการแสวงหาความรู้ขาดหลักธรรมเป็นบาทฐาน หรือเป็นกรอบ ความรู้นั้นก็จะเกิดผลเสีย
มากกว่าผลดี...” ซึ่งพอสรุปได้ว่า การให้เด็กได้เรียนรู้แค่ในตำรา คงไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะวิชาการต่าง
ๆ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ดังนั้นโรงเรียนทอสี จึงจัดให้นักเรียนได้เรียน “วิชา
ชีวิต” ในลักษณะองค์รวม ไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการกับวิชาชีวิต
วิชาชีวิตคืออะไร
อาจารย์พัชนา มหพันธ์ (ครูแจ๊ส) ที่ดูแลฝ่ายวิชาชีวิตของโรงเรียนทอสี เล่าให้ฟังว่า เดิมที
โรงเรียนทอสีจะเรียกฝ่ายนี้ว่า ฝ่ายวิชาการมาโดยตลอด แต่เมื่อครูแจ๊สได้เข้ามาทำงานร่วมกับครูอ้อน
(อาจารย์บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์) และคุณครูท่านอื่น ๆ ในโรงเรียน ก็ได้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา
มากขึ้น เข้าใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนามากขึ้น จึงได้มีการพูดคุยกันในโรงเรียนว่า อยากจะขอเปลี่ยน
ชื่อฝ่ายวิชาการนี้เสียใหม่ เป็น “วิชาชีวิต” เพราะที่โรงเรียนทอสีของเรา ไม่ได้สอนแค่วิชาการ แต่เราสอน
วิชาชีวิตด้วย ส่วนหน่วยบูรณาการที่มีการจัดการศึกษาแบบองค์รวม ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เช่นกัน เป็น “เด็ด
ดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”
“การจัดการเรียนการสอนในหน่วยบูรณาการ จะมีวิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาเป็นแกนในการ
ผูกโยงเข้ากับสาระวิชาอื่น ๆ และนอกเหนือจากการบูรณาการวิชาต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่ทอสีทำมาตลอดคือ
การใส่หลักการและเหตุผลที่เป็นองค์ธรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้น ๆ มาตลอด แต่เนื่องจากที่ผ่านมา เรา
ตั้งชื่อหน่วยการเรียนรู้ต่าง ๆ ด้วยชื่อธรรมดา ๆ เช่น หน่วยข้าว ทำให้ครูยังคงติดอยู่ในกรอบของวิชาการ
อยู่ ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายที่เป็นองค์ธรรมที่เราต้องให้กับเด็ก หรือพฤติกรรมทางปัญญา และเมื่อปลาย
เทอมที่ผ่านมา (2548) ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ด้วยการตั้งชื่อให้มีความชัดเจนขึ้น ตื่นเต้นขึ้น
กระตุ้นให้เด็กอยากรู้อยากเรียนมากขึ้น”
ชื่อนั้นสำคัญไฉน
“ที่ต้องตั้งชื่อให้ดูตื่นเต้น เพราะเราเล็งเห็นว่า ชื่อมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นความสนใจของเด็ก
ทำให้เด็กอยากเรียนอยากรู้มากขึ้น โดยทุกระดับชั้นตั้งแต่ป.1-ป.6 จะเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ยกเว้นวิชาที่เป็น
ทักษะ เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และชื่อหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละระดับจะมีความสอดคล้อง เชื่อมโยง
มีเหตุ มีผล โดยในเทอมที่ 1 ของทุกระดับชั้น จะมีวิทยาศาสตร์เป็นแกนหลัก ส่วนเทอมที่ 2 จะมีสังคม
ศึกษาเป็นแกน แล้วเอาวิชาอื่นมาบูรณาการ แต่นอกเหนือจากการบูรณาการแล้ว จะต้องเป็นองค์รวมด้วย
กล่าวคือ จะไม่แยกวิชาการออกจากชีวิต และทำให้ทั้ง 2 เรื่อง เป็นเรื่องเดียวกัน ให้เด็กมองทุก ๆ อย่าง ให้
เป็นภาพเดียวกัน มองกายกับจิตให้เป็นภาพรวม”
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว...วลีนี้มีที่มา
“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เป็นคำที่เรานำมาใช้เพื่อต้องการสื่อให้เด็กเห็นว่า สิ่งทั้งหลายใน
โลกล้วนเชื่อมโยงกันทั้งหมด เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ก็ย่อมมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นตาม หลักการใหญ่ที่เราเอามาใช้
ทรัพปยัตตา ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับกรรม และผลของการกระทำ และเนื้อหาวิชาที่เขาจะเรียนก็จะเกี่ยวพัน
ถึงชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขา ไม่แยกส่วนกัน ไม่เหมือนเมื่อก่อน เวลาที่เราเรียนเรื่องอะไรจะแยกส่วนกัน
หมด อย่างจะเรียนเรื่องดิน ก็เรียนแต่เรื่องดิน จำให้ได้แล้วไปสอบ ไม่มีการเชื่อมโยงเลย ไม่รู้เลยว่าแก่น
ของดินจริง ๆ คืออะไร เราไม่รู้ว่า ถ้าไม่มีดิน ไม่มีชีวิต และไม่ตระหนักถึงความสำคัญ แต่การเรียนที่ทอสี
ก็จะเชื่อมโยงกัน ทำให้เด็กเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตรอบตัวที่อยู่รอบตัว
เพื่อให้รู้ถึงแก่น และสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก”
รูปแบบกระบวนการเรียนรู้
รูปแบบการเรียนของชั้นประถมศึกษา ในหน่วย เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวนี้ จะแบ่ง
ออกเป็น 6 ปี 12 เทอม 12 บทเรียน โดยบทเรียนทั้ง 12 บทเรียนจะร้อยเรียงกัน ให้เขาเห็นว่า สิ่งใดที่เขาทำ
นั้นจะกระทบกับคนอื่นตลอดเวลา เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้ใช้ชีวิตไปในทางที่ดีงาม และไม่เบียดเบียนผู้อื่น โดย
ครูแจ๊สได้ยกตัวอย่างบทเรียนสั้น ๆ ว่า
“ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เทอม 1 จะเรียนเรื่อง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จุดมุ่งหมายของบทเรียน
นี้คือ ต้องการให้เด็กสามารถพึ่งตนเองให้ได้เร็วที่สุด เมื่อเกิดปัญหา เด็กสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ในทางที่ถูกต้องได้อย่างไร ส่วนเนื้อหาวิชาการที่ให้กับเด็กระดับนี้คือ การเรียนรู้เรื่องร่างกาย และจิตใจที่
เชื่อมต่อกัน ร่างกาย เราให้เด็กเรียนตั้งแต่ว่า เขาได้ร่างกายนี้มาจากไหน บ้านเกิดหลังแรกของเขาอยู่ที่ไหน
ซึ่งบ้านหลังแรกของเด็กคือท้องของแม่ เราก็จะพาเขาไปเรียนรู้เรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อในเทอม 2 ใน
บทเรียนที่ว่า หนี้ศักดิ์สิทธิ์ คำว่า หนี้ศักดิ์สิทธิ์นี้คือ หนี้ที่เรามีต่อพ่อแม่นั่นเอง เป็นหลักการและเหตุผลที่
จะนำเด็กเข้าสู่การเรียนรู้เรื่อง กฎ กติกา ของครอบครัว
ระดับประถมศึกษาปีที่ 2 เทอม 2 เราต้องการใหเด็กได้เรียนรู้เรื่อง คน พืช สัตว์ แบบเป็นภาพรวม
ให้เด็กเห็นว่า ทั้ง 3 สิ่งนี้เกื้อกูลกันอยู่ แต่ละชีวิต แต่ละสรรพสิ่งล้วนมีความเหมือน และความต่าง เราจึงใช้
ชื่อบทเรียนนี้ว่า กัลยาณมิตร ในเทอมที่ 2 เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องกฎ กติกาสังคมในกรุงเทพฯ ในบทเรียนที่
ชื่อว่า ระลึกคุณบ้านเกิด ขณะเดียวกับเราก็ต้องดึงเขากลับมามองตัวตนที่แท้จริงของเขาว่า บ้านหลังแรกคือ
ท้องแม่ ต่อมาคือผืนแผ่นดินที่อยู่อาศัยนั่นก็คือ กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ ในวันนี้เป็นอย่างไร น่าอยู่หรือไม่
ความสมดุลระหว่าง คน พืช สัตว์หายไปไหน เพราะน้ำมือคนใช่หรือไม่ แล้วเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ดี ไม่
เบียดเบียนผู้อื่น
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เทอม 1 เด็กก็ยังคงเรียนรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตอยู่ ในบทเรียนที่ชื่อว่า เมล็ด
พันธ์แห่งความดี โดยมีข้าวเป็นตัวดำเนินเรื่อง เพราะข้าวเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต และวิถีชีวิตของ
ชาวนาก็น่าสนใจ เด็กจะได้รู้ถึงความอดทน ความมุ่งมั่นและคุณธรรมหลาย ๆ อย่างที่ชาวนามี ได้สัมผัส
ของจริง ด้วยการพาเขาไปทำนา ฝึกให้เขาเรียนรู้ชีวิต ให้อยู่กับชาวบ้าน ให้ชาวบ้านช่วยฝึกเด็กของเรา เด็ก
ๆ จะได้ซึมซับกับอาชีพเก่าแก่ของคนไทย รับรู้ถึงความขยัน อดทน และสำนึกในบุญคุณของชาวนาที่ปลูก
ข้าวให้เรากิน ระลึกถึงบุญคุณข้าว ไม่กินทิ้งกินขว้าง และก็เอาเรื่องข้าวมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเขาว่า
หากเขาเป็นเมล็ดพันธ์แห่งความดี จะหว่านลงตรงไหนก็เจริญงอกงาม และทำประโยชน์ให้กับสังคมได้
ส่วนในเทอมที่ 2 คืนสู่แผ่นดิน ในบทเรียนนี้เด็กจะได้เรียนเรื่อง กฎกติกาของชาติบ้านเมือง และเหตุ
ปัจจัยที่ทำให้แต่ละภาคมีความแตกต่างกัน จุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้นอกเหนือจากการเรียนรู้เรื่อง
ภูมิศาสตร์ในด้านต่าง ๆ แล้ว คือ ต้องการปลูกฝังให้เด็กเห็นคุณค่าของแผ่นดิน และจะไม่ทำลายสิ่งที่มี
คุณค่านี้เมื่อเขาโตขึ้น
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เทอม 1 จะเริ่มเรียนรู้เรื่องของสิ่งไม่มีชีวิต และให้ชื่อบทเรียนว่า
พลังน้ำใจ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่องของดินน้ำลมไฟ โดยมีน้ำเป็นตัวดำเนินเรื่อง เชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ รวม
ไปถึงน้ำในใจของเด็กแต่ละคนที่เรียกว่า น้ำใจ เทอม 2 จะเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ ในหัวข้อ ตามรอย
กรรม ย้ำดูตน ที่นอกจากจะสอนเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แล้ว ยังสามารถสอดแทรกเรื่องของกฎแห่ง
กรรมได้เป็นอย่างดี
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เทอม 1 เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลก ในบทเรียนที่ชื่อ ต้นเหตุแห่ง
ตน ในด้านวิชาการเขาจะเรียนรู้ตั้งแต่การกำเนิดโลก คน พืช สัตว์ ในบทนี้เด็กจะรู้ว่าโลกที่เขาอาศัยอยู่นี้
ให้อะไรกับเขาบ้าง แล้วเขาจะคืนประโยชน์อะไรให้กับโลก เทอมที่ 2 จะเป็นเรื่อง ตนเป็นต้นเหตุ ซึ่งจะ
ต่อเนื่องจากเทอมที่ 1 ว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร การที่เรามองว่า เราเป็นนายของธรรมชาติ เราทำ
อะไรบ้าง ตนเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภาวะต่าง ๆ ของโลก เช่น ภาวะโลกร้อน หรือภาวะน้ำมากอย่างที่กำลัง
เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำและกิเลสของคนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่
เราไม่เคยรู้เลยว่า จะส่งผลกระทบต่อโลก และสิ่งเหล่านั้นจะย้อมกลับมาทำร้ายตัวเราเองอย่างไร
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เทอม 1 โลกรอดได้เพราะกตัญญู เด็กจะเรียนไกลออกนอกโลก ไปสู่
จักรวาล ดวงดาวต่าง ๆ แล้วดึงเขากลับมามองตนเองว่า ตัวเขาเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับโลก และจักรวาล
การที่เขาคิดจะทำนั่น ทำนี่ มันสะท้อนให้เขาเห็นว่า จริง ๆ ตัวตนของเขาเล็กนิดเดียวนะ แล้วชีวิตของเขา
เมื่อตายไปมันก็จะเป็นดินน้ำลมไฟ แต่สิ่งที่ยังเหลืออยู่คืออะไร นั่นก็คือ คุณงามความดีที่ตนเองได้สร้างไว้
เท่านั้นที่จะยังคงอยู่ เขาต้องเพียรพยายามทำความดีให้กับโลกนี้ ให้เหลือไว้เป็นคุณค่าให้กับโลกใบนี้บ้าง
ส่วนในเทอมที่ 2 ซึ่งเป็นเทอมสุดท้าย เด็ก ๆ จะได้ แกะสลักชีวิต ซึ่งจะไม่เกี่ยวกับ พืชสัตว์ หรือจักรวาล
แต่จะให้เด็ก ๆ ทำโครงงานของตนเองขึ้นมา คือให้เขาเลือกที่จะแกะสลักชีวิตตนเอง ที่ผ่านมา มีคน
มากมายที่มาช่วยเขาแกะสลักชีวิต แต่ต่อจากนี้ไป เขาต้องเลือกที่จะแกะสลักชีวิตด้วยตนเองแล้ว เราก็จะ
มาพูดกับเด็ก ๆ ว่า เขาจะเลือกแกะสลักชีวิตของตนเองอย่างไร เขาจะแกะให้สวยงามหรือแกะให้หยาบ
กระด้าง ก็อยู่ที่ตัวเขาว่าจะเลือกเดินทางไหน เลือกเป็นคนอย่างไร”
ด้วยพลังศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา สิ่งที่โรงเรียนแห่งนี้มุ่งหวังจากการ
จัดการเรียนการสอน คือ ปรารถนาให้เด็กมีศรัทธาที่จะทำความดี ปลูกสัมมาทิฐิให้เกิดกับเด็ก ซึ่งทุกฝ่าย
ทั้งโรงเรียน บ้าน ชุมชน ต้องช่วยกันในการที่จะพัฒนาสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นกับเด็ก เพื่อให้เขาเป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์ ดีงามในอนาคต
ที่มาจาก........วงการครู ปีที่3 ฉบับที่32 เดือนสิงหาคม 2549 มุมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
นมัสการ
ขอบพระคุณที่ท่านนำเรื่องที่ดีมากนี้มาให้ศึกษาครับ
หน้าที่ที่ธรรมฐิตจะพึงกระทำขอรับ..