ภาวะจิตที่เจ็บป่วยใน Shawsham : cure : suicide : noriko และคนบ้าหลายจำพวก
สถานการณ์ต่างๆในยุคปัจจุบันล้วนเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดของคนในสังคมได้อย่างไม่ยาก ตกงาน ไม่มีเงินใช้ ผิดหวังในความรัก ได้สิ่งที่มุ่งหวังไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนพร้อมแปรเปลี่ยนภาวะจิตอันปกติให้กลายกลับเป็น “จิตที่เจ็บป่วย” ได้ในบันดล เมื่อจิตเจ็บป่วยแล้วไม่ได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธีจึงอาจเกิดความคิดชั่ววูบแล่นเข้ามาในหัวสมองอันเปราะบางได้ง่าย อาทิ ความคิดอยากฆ่าตัวตาย!!! วันก่อนผู้เขียนเห็นข่าวในทีวีรายงานจากประเทศเคนยาว่า ชายวัยกลางคนชาวเคนยาท่านหนึ่งได้ฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตนเองไว้กับเพดานบ้าน หรือเพดานชานอะไรทำนองนี้ มูลเหตุสุดสลดสืบเนื่องมาจากทีมฟุตบอลสุดรักในประเทศอังกฤษพ่ายแพ้ตกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลชายรายการยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกซ์ คาดเดาว่าผู้ตายคงจะเป็นแฟนบอลแบบเข้ากระดูกดำ(แฟนพันธุ์แท้)ของทีมดังจากย่านลอนดอนเหนือ ภาวะผิดหวัง และซึมเศร้ามักมีได้ในแฟนบอลประเภทนี้อย่างปกติวิถี แต่เกินเลยถึงขนาดฆ่าตัวตายนี่ดูจะหนักไปเสียหน่อย บ้างก็ว่าพวกที่มีความผิดหวังอย่างรุนแรง(โดยที่ก่อนหน้านี้ได้ตั้งความคาดหวัง หรือเป้าประสงค์เอาไว้สูง)มักมีอาการเป็นประเภท “จิตซึมเศร้า” (unipolar depression)ขาดพลังงาน และปัจจัยทางบวกเพื่อการดำรงชีวิต รู้สึกมีความภูมิใจในตนเองน้อยลง หรือต่ำลง ซึมเศร้ากับเหตุที่ผ่านมาอย่างสิ้นหวัง แถมในบางรายมีความคิดฆ่าตัวตายตามมาในภายหลัง(ดังที่เกิดกับชายชาวเคนยาคนดังกล่าว?) ต้องยอมรับอยู่ข้อหนึ่งว่าภาวะผิดหวังอย่างรุนแรงมักนำมาซึ่งความอ่อนแอ ในบางรายอาจมีอาการเจ็บป่วยทางจิตแทรกด้วยหากเป็นในระดับมากๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรายและกรณีไป เหตุการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนรวมทั้งคนใกล้ตัวในครอบครัวเราได้ จากรายงานภาวะจิตที่เจ็บป่วยในเอเชีย : กรณีการฆ่าตัวตายในเอเชีย สรุปว่า ประเทศศรีลังกา มีปริมาณคนฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลก อัตราเฉลี่ย 55 ต่อ 100000 คน ส่วนในประเทศไทยอยู่ที่เฉลี่ย 7.7 ต่อ 100000 คน (ที่มาของข้อมูล : ฮันนาห์ บีช นิตยสารไทร์ 10 พฤศจิกายน 2546)ภาวะการฆ่าตัวตายในประเทศไทยถึงแม้จะดูว่าน้อยกว่าประเทศศรีลังกา แต่หากมองดูแนวโน้มในภาวะการณ์ปัจจุบันแล้วดูน่าเป็นห่วงยิ่ง แนวโน้มคนตกงานดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าครองชีพสูง ค่าแรงคงเดิม(หรือปรับลด)สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเชิงลบอันส่งผลให้คนไทยมีความตึงเครียดสูงขึ้น รวมทั้งมีภาวะจิตเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้นได้ในภายภาคหน้า ซึ่งอาจรวมถึงการฆ่าตัวตายตามมาได้ ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง(เมื่อนานมาแล้ว)เรื่อง “มิตรภาพ ความหวัง ความรุนเเรง” (The Shawshamk redemption) มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้อาวุโส(ในเรือนจำ Shawshamk)ได้รับการปล่อยตัวออกมาเนื่องด้วยหมดวาระโทษแล้ว การออกมาสู่โลกกว้างแห่งเสรี การดำรงชีพในภาวะสังคมปัจจุบัน(ที่มิใช่ในเรือนจำ Shawshamk)ทำให้ท่านผู้อาวุโสท่านดังกล่าวได้รับการปฏิบัติที่ดูว่าต้อยต่ำกว่าผู้อื่น อาจจะเป็นในเชิงดูถูกดูแคลนด้วยสายตา จนนำมาสู่เหตุสลดในช่วงกลางเรื่องกลายๆ ชายชราผู้อาวุโสได้รับการยอมรับในเรือนจำที่เขาเรียกมันอย่าภาคภูมิว่า “สถาบัน” แต่ในสังคมคนปกติ..........ไม่เป็นเฉกเช่นนั้น ท่านผู้คอตายกับไม้คานบ้านพัก พร้อมคำให้หวนระลึกคิดว่า “สถานที่บางสถานที่ บางคนพยายามเพื่อให้หลีกลี้หนีมันออกมา แต่บางคนพยายามเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่” เรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าภาวะตึงเครียด เดียวดาย และจิตเจ็บป่วยมักเกิดขึ้นกับใครก็ได้ หากไม่รีบบำบัดเสียแต่เนิ่นๆอาจนำพาไปสู่ภาวะการณ์ที่เศร้าสลด สูญเสียตามมาได้ในไม่ช้า พูดถึงเรื่องอาการจิตเจ็บป่วย-อันนำมาซึ่งการฆ่าตัวตาย(หรืออาจจะคิด) จึงขอหยิบยกประเด็นที่ได้รับ ได้ชมมาจากหนังแผ่น(DVD)เรื่องหนึ่งเมื่อสอง-สามวันก่อนให้ได้หวนระลึกเอาไว้ ณ ห้วงนี้ เคยชมกับบ้างรึเปล่าครับหนังสยองขวัญเรื่อง cure ว่าด้วยเรื่องการฆ่าตัวตายในแบบแปลกๆ คือการสะกดจิตให้มีการฆ่าคนในครอบครัว หรือใครก็แล้วแต่ที่เราอยากให้ฆ่า การสะกดจิตในเรื่อง cure นี้เน้นใช้แสงไฟแช็คช่วยในการ “สะกดจิต” (hypnosis)เพื่อให้เหยื่อเข้าสู่ภวังค์แห่ง “ภาวะกึ่งสำนึก” (trance)ทีละน้อยๆ ตัวหนังมีมูลเหตุจูงใจแบบแปลกๆ บางฉากดูว่าเหมือนจบ แต่ก็ดูว่าไม่จบ พอดูหนังเรื่อง cure จบพานให้นึกถึงการสะกดจิตในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน ที่คนร้ายใช้เทคนิคบางประการสะกดจิตพนักงานร้านขายทอง(ร้านหนึ่ง)จนอยู่หมัด เสร็จสรรพเลยหยิบฉวยทองเส้นส่งให้คนร้ายเสียกำหนึ่งเป็นที่ฮือฮาเป็นข่าวใหญ่โตตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน คนร้ายจะใช้กลวิธีในการสะกดจิตเฉกเช่นในหนังเรื่อง cure รึเปล่า?(ยังเป็นปริศนาอยู่) พูดถึงเรื่องการสะกดจิตแล้วนี่ผู้เขียนนึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้ คือ “การสวดภาณยักษ์” ท่านผู้อ่านพอจะรู้จักกันบ้างรึเปล่าครับการสวดภาณยักษ์ เชื่อกันครับว่าการสวดภาณยักษ์นี่มีมาแต่สมัยอยุธยาแล้ว(แต่ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2394-2411) โดยมากมักประกอบพิธีกรรมในช่วงต้นๆปีใหม่ไทย อาจจะก่อนหรือหลังวันสงกรานต์ก็ได้ คนไทยโดยมากล้วนเชื่อกันว่าการสวดภาณยักษ์นี้จะช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคลต่างๆ ผี ปีศาจ ของร้าย สิ่งชั่วออกไปจากร่างนั้นๆ(ร่างที่เข้าร่วมพิธี) แต่ในทางจิตวิทยากลับเชื่อกันว่าการสวดภาณยักษ์ เป็นหนึ่งในกระบวนการ “สะกดจิตหมู่” (mass hypnosis) การใช้รูปแบบความ “ขลัง ศักดิ์สิทธิ์” ของพิธีกรรม รวมทั้งพลังคลื่นเสียงแอมปริไฟร์หลายสิบวัตต์เข้ากระแทก เร้าอารมณ์ผู้เข้าร่วมในพิธีล้วนมีส่วน-ผลทำให้ผู้ที่มีจิตอ่อน(หรือผู้ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้า)เกิดภาวะที่เรียกกันว่า “ทรานซ์” (ภาวะกึ่งสำนึก) สะลึมสะลือ ซึมเสร้า ร้องไห้หวีดร้อง บ้างก็เอะอะโวยวาย การสวดภาณยักษ์ในบางสำนักยังนิยมให้ผู้เข้าร่วมพิธีพูดหรือท่องคำบางคำ เช่นคำว่า นะนะนะนะนะนะนะนะ.........โดยมีจังหวะขึ้น-ลง ช้า-เร็ว ตามแต่เจ้าพิธีกำหนดมา ประกอบกับเสียงดนตรีหนัก-เบาไม่คงที่ ความขลัง(ที่เชื่อว่า) ภาวะจิตของผู้เข้าร่วมพิธีจึงอาจอ่อนแอลง เข้าสู่ภวังค์แห่งการโดนสะกดได้ง่าย(โดยมากในไทยนิยมสะกดแบบพ่อ-ลูก : แม่-ลูก) ร่ายรำ ท่าบางท่าโดยไม่รู้ตัวประหนึ่งเจ้าลง..........บ้างก็ว่าเป็นเจ้าเข้า-เจ้าลง บ้างก็ว่าเป็นความทุกข์ใจอันเอ่อล้นออกมา..........คุณเชื่ออะไร? พูดเรื่องการสะกดจิตมาพอควร คราวนี้จึงขอนำท่านผู้อ่านกลับมายังหนัง(ภาพยนตร์)อีกเรื่องหนึ่ง(ที่ดูน่าสนใจ) เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวจิตๆอีกเหมือนกัน สโลแกนของเรื่องนี้มีอยู่ว่า “ฆ่าตัวตายอย่างเริงร่า”.........เคยเห็นกันมาบ้างรึเปล่าครับ? ในหนังแผ่นเรื่อง suicide circle (ญี่ปุ่น) มีอยู่หลายฉากในหนังเรื่องนี้ที่นำเสนอการฆ่าตัวตายอย่างเริงร่า แต่คงเป็นฉากแรกที่ยังคงตรึงตาตรึงใจของคนดู กับภาพที่เด็กนักเรียนสาว ม.ปลายราว 28 นาง ยืนจับมือกันเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตาของชานชาลาสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง พร้อมกับเหวี่ยงมือไปข้างหน้า 1-2-1-2-3 จวบจนรถไฟวิ่งเข้ามาใกล้เทียบชานชาลา พวกเธอทั้ง 28 นางจึงกระโดดลงไปให้รถไฟทับตายหมดทั้ง 28 นาง!!! เป็นการฆ่าตัวตายท่ามกลางผู้คน(ที่ได้เห็น)หมู่มากอย่างสยดสยอง แต่พวกเธอทั้ง 28 นางกลับมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกกับสิ่งที่ได้ประสบ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? อาจ........อาจเป็นได้หรือเปล่าว่าคุณเธอทั้ง 28 นาง(สาว)อาจจะเกิดอาการ “ทรอมา” (trauma) บาดแผลทางกาย หรือทางใจ ซึ่งกล่าวถึงการบุบสลาย เสียหายของกายร่างอย่างรุนแรง ช็อคหมดสติเพราะโดนเรื่องบางเรื่องเขย่าจนขวัญกระเจิดกระเจิง มีอาการวิตกกังวลมากกว่าคนปกติ ประกอบกับการสูญเสีย หรือพ่ายแพ้ อันนำมาสู่การควบคุมร่างกายไม่ได้ สภาวะจิตไม่คงที่ ซึมเศร้า ท้ายสุด(อาจ)ถูกใครบางคน หรือบางกลุ่มกระทำการสะกดจิตหมู่(mass hypnosis)..........มีโอกาสเป็นไปได้รึเปล่า? สุดท้าย..........หนังที่ดูเหมือนเป็นภาคต่อของ suicide circle อย่าง noriko dinner table (เห็นเพื่อนผู้เขียนบอกว่าคนไทยเรียกเรื่องนี้ว่า........สายสะดือของมิทสุโกะ)โครงเรื่องหลักของหนังกล่าวอ้างถึงเด็กสาวในสังคมชนบทคนหนึ่งที่ชื่อ “โนริโกะ” ผู้ต้องการก้าวหน้า-ก้าวห่างความเป็น “โนริโกะ” ไปสู่ “มิสมิทสุโกะ” ผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว กับการหนีออกจากบ้านมุ่งสู่รั้วเมืองหลวง(โตเกียว)กับการดั้นด้นค้นหาหญิงนิรนามผู้ใช้นามแฝงว่า “สถานีอูเอโนะ 54” และอาชีพใหม่ที่ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาอย่างน่าขนหัวลุกในสังคมบริโภคนิยมยุคใหม่ในเกาะญี่ปุ่น..........“อาชีพครอบครัวเสมือน” (ครอบครัวเสมือน คือ การที่เราเป็นคนกำหนดให้คนที่เราไม่รู้จักมาเล่นบทคนในครอบครัวของเรา โดยมีการศึกษาถึงบทอย่างถ่องแท้ : คิดราคาเป็นรายชั่วโมงตามแต่บทจะยากหรือง่าย)อาชีพที่มีการเล่นกันในหนังเรื่อง noriko dinner table นี้เอง แฝงถึงความน่ากลัว มืดบอดของการโหยหาในสิ่งที่ตนขาดหายไปอย่างร้ายกาจในยุควัตถุนิยมครองเมือง อนึ่ง noriko dinner table ยังนำเสนอภาพของสังคมเมืองหลวงในภาวะเจ็บป่วยทางจิตได้ดีในอีกระดับ และแง่มุมอันสุดจะหม่นหมองในฉากจบ
เขียนมาจนถึงตรงนี้ หลายคนที่มีโอกาสได้อ่านคงเริ่มลังเลใจ หรือ..........อาจจะ? ชีวิตทุกชีวิตมีค่า กว่าจะเกิดมาได้นั้นแสนยาก ยิ่งเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยแล้วนั้นยากยิ่งกว่า ฆ่าตัวตายไม่ว่าในศาสนาใดใดล้วนบาปยิ่งใหญ่นักหนา หนังแผ่นจบเพียง 90 หรือ 180 นาทีคงไม่เกินนี้ ดูหนังแผ่นจบชีวิตย่อมไม่จบตาม ชีวิตยังคงโลดแล่นอยู่ต่อไป เครียดนัก เหนื่อยนักก็พักหน่อย จะได้หลีกหนีไกลจากโรคภัยนานาประการ เดี๋ยวเจ็บมากๆกลายกลับเป็นมีอาการเจ็บป่วยทางจิตแล้วจะยุ่งไปกันใหญ่ อาการเจ็บป่วยทางจิต โรคจิต เป็นมากเขาเรียก “บ้า” พระเอกหนังฝรั่งชื่ออะไรแล้วนะ(ผมไม่ค่อยจำชื่อ)ที่เล่นเรื่อง “คนคลั่งไฟแรงสูง” นั่นก็เป็นประเภทบ้าประเภทหนึ่ง คือบ้าแบบจริงๆจังๆในหนัง หรือบทภาพยนตร์ บ้าแบบนี้ได้ตังค์มันก็น่าบ้าอยู่หรอก พอจำนักฟุตบอลท่านหนึ่งชาวฮอลแลนด์ท่านนี้พอเห็นเครื่องบินก็แทบเป็นบ้าเป็นบอไปเหมือนกันเลยขอประกาศไม่นั่งเครื่องเวลาไปเตะบอลต่างถิ่นแบบว่าขอนั่งเรือหรือขับรถไปสบายใจกว่าน่ะได้ข่าวว่าเธอชื่ออะไรน่ะฉันจำไม่ค่อยได้(ฮา) ผิดกับคนบ้า(บางคน)ชอบ..........ชอบนั่งเครื่องบินเป็นอาชีพ วันหนึ่งบ้าบินไปบินมาไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ลางวันบ้าว่าสนามบินนี้แหล่ะหนาคือบ้าน สุขสำราญบางทียืนอยู่จังก้าตาดูดาวเท้าควานหาแผ่นดิน ซื้อเกาะซักถิ่นเอาเป็นแผ่นดินของหมู่เฮา อิอิ..........ได้ข่าวว่าเธอชื่ออะไรน่ะฉันจำไม่ค่อยจะได้(ฮา)
ปล. ฉันมันก็บ้ารักเธอ..........รักเธอประเทศไทย
คุณาพร./10.47 วันที่ 13 พฤษภาคม 2552
ห้องคุยกับคุณาพร.......... http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0
ไม่มีความเห็น