ต้องยอมรับว่า
ทุกวันนี้บ้านเมืองเรากำลังประสบกับปัญหาการแบ่งเป็นฝักฝ่าย
ต่างฝ่ายต่างไม่ฟังกัน เมื่อคิดว่าฝ่ายตนถูกแล้วก็จะไม่มีคำว่าผิด
ในขณะเดียวกัน ถ้าคิดว่าอีกฝ่ายผิดแล้วก็จะไม่มีคำว่าถูก
ไม่มีคำว่าตรงกลาง ไม่มีการชั่งความถูกผิด
ผนวกกับเศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำ ประเทศประสบปัญหามากมาย
ถ้าคนในชาติยังแบ่งกันเป็นสองอย่างนี้ ประเทศชาติเราจะเป็นอย่างไร
หรือจะเหมือนกับที่ประเทศเกาหลีเคยสิ้นชาติมาแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ในวันนี้ผู้เขียนจะขอยกกรณีการสิ้นชาติของเกาหลี
เกาหลีต้องสิ้นชาติใน ค.ศ. ๑๙๑๐ อันเนื่องมาจากสาเหตุใหญ่ ๒
ประการด้วยกันคือ
ความแตกแยกภายในประเทศและภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตกและญี่ปุ่น
ในศตวรรษที่ ๑๙
ประเทศรอบข้างเกาหลีทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างก็สบกับปัญหาภัยจักรวรรดินิยมตะวันตกคุกคาม
แต่เกาหลีก็มิใดตระหนักถึงภัยเหล่านั้นที่กำลังใกล้เข้ามาถึงตน
เนื่องจากการดำรงตนอย่างโดดเดี่ยวแบบฤๅษีของเกาหลีเอง
จึงทำให้ขาดการเรียนรู้จากโลกภายนอก จนเมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๐
เมื่อภัยตะวันเข้ามาเคาะประตูบ้าน เกาหลีก็หาได้แก้ปัญหานี้เองไม่
กลับบ่ายเบี่ยงคิดว่าเมืองแม่เช่นจีนจะแก้ไขให้
จีนเองก็มิได้แสดงความจริงใจกับการแก้ปัญหานี้เท่าใดนัก
อีกทั้งเกาหลียังประสบปัญหากับความไม่สงบ เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง
เกิดกบฏขึ้นมากมายทั่วทั้งประเทศ การที่เกาหลีต้องสิ้นชาติใน ค.ศ.
๑๙๑๐ มาจากสาเหตุใหญ่ ๒ ประการด้วยกันคือ
ความแตกแยกภายในประเทศและภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตกและญี่ปุ่น
ภัยภายใน : ความแยกภายในประเทศ
การแบ่งฝักฝ่าย
จากความไม่สงบภายในประเทศที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. ๑๘๖๒ – ๑๘๖๓
เกาหลีประสบกับปัญหาภัยกบฏอย่างรุนแรง
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความยากจน การปกครองที่ทารุณกดขี่ประชาชน
และการได้เห็นตัวอย่างจากภัยตะวันตกคุกคามจีน
แต่ทั้งหมดก็ยังไม่รุนแรง เท่ากับลัทธิอุบาทว์คือศาสนาคริสต์
ชาวเกาหลีคิดว่านี้คือภัยใหญ่หลวงที่ต้องเร่งแก้ไขก่อนปัญหาอื่นใด
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่มาพร้อมกับศิลปะวิทยาการตะวันตกที่หลังไหลเข้ามาในเกาหลีอย่างไม่ขาดสาย
ทำให้รัฐบาลเกาหลีหาทางยับยั้งทุกวิถีทาง
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการรุนแรงสักปานใดก็ไม่สามารถยับยั้งภัยจากศาสนานี้ได้
จากกรณีที่กล่าวมานี้เองทำให้ชาวกาหลีแตกแยกกันเป็นสองฝ่ายที่มองวิธีการแก้ไขปัญหานี้
ซึ่งมีสองแนวคิดด้วยกันคือ
๑.
ฝ่ายการเรียนรู้แบบตะวันตก (Western Learning – Sohok)
นำโดยสมเด็จพระราชินี และตระกูลหมิน
กลุ่มนี้มีอิทธิพลครอบงำยุวกษัตริย์ มีหัวคิดก้าวหน้า
เป็นฝ่ายนิยมการพัฒนาให้เจริญทันสมัยด้วยเทคโนโลยี
อุตสาหกรรมและการทหารแบบประเทศญี่ปุ่น
๒.
ฝ่ายการเรียนรู้แบบตะวันออก (Eastren Learning – Tonghak)
นำโดยผู้สำเร็จราชการ เป็นพวกต่อต้านศาสนาคริสต์
โดยอ้างหลักการแล้วความคิดแบบลัทธิเต๋า
กลุ่มนี้เชื่อว่าการเรียนรู้แบบตะวันออกจะสามารถช่วยเอาชนะตะวันตกด้วยมนต์วิเศษได้
ซึ่งดำเนินนโยบายต่อต้านศาสนาคริสต์และนโยบายปิดประเทศ
ตลอดจนต้องการจะฟื้นฟูสถาบันหลัก
เสริมสร้างอำนาจการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้เข็มแข็ง
ผู้สำเร็จราชการผู้นำแนวความคิดอนุรักษ์นิยมต้องการดำเนินตามรอยปฏิรูปแบบอย่าที่จีนเคยทำ
คือการปฏิรูปลักษณะอนุรักษ์นิยม จุดมุ่งหมายคือการฟื้นฟูระบบสามเส้า
คือ การพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษี
การบรรเทาทุกข์ราษฎรด้วยข้าวและการเกณฑ์ทหารเข้ารับราชการ
มีการจัดตั้งองค์กรบริหาราชการส่วนกลาง แก้ไขประมวลกฎหมาย
เสริมสร้างกองทัพให้แข็งแข็ง
ฝึกทหารให้รู้จักใช้อาวุธที่ทันสมัยแบบตะวันตก
มีการสร้างป้อมปราการมากมาย และกวาดล้างพวกเข้ารีตอย่างรุนแรง ฯลฯ
มุ่งที่จะรักษาสถานะเดิมของประเทศไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสตะวันตก
และดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวในเวทีการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ
ไม่สนใจศึกษาการทูต โดยติดต่อแต่กับจีนเท่านั้น
ซึ่งไม่ได้สนใจเลยว่าภัยจากตะวันตกกำลังเข้ามาจากรอบทิศทาง
การแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายย่อมเป็นผลร้ายต่อเกาหลีอย่างใหญ่หลวง
เพราะบ้านเมืองแตกแยกขาดความสามัคคี
ขาดความพยายามอย่างแท้จริงที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งสองฝ่ายต่างพากันชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ให้จีนเข้ามาสนับสนุนในการพัฒนาประเทศตลอดจนสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยมให้ทวีความเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่น
ส่วนฝ่ายหัวก้าวหน้าก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นเข้ามาแสดงความช่วยเหลือ
ให้เกาหลีพ้นอิทธิพลจีน
ดังนั้นการสร้างชาติบ้านเมืองให้ทันสมัยจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เกาหลีกำลังยืนอยู่ปากเหวพร้อมที่จะตกลงไปได้ทุกเวลา
ภัยภายนอก :
จักรวรรดินิยมตะวันตก
เกาหลีเป็นที่หมายตาของบรรดาชาติมหาอำนาจทั้งหลายอันเนื่องมากจากที่มีภูมิประเทศที่เหมาะสม
เป็นชัยภูมิที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกล่าวคือ
๑.
การพื้นที่มีส่วนหนึ่งติดกับจีน รัสเซีย
จึงทำให้ทั้งสองประเทศต้องการเกาหลีเป็นอาณานิคม เป็นรัฐกันชน
เป็นที่ตั้งสำหรับรบรุกและตั้งรับ
๒. ในอดีต
เกาหลีเคยเป็นของจีน
จีนต้องการให้เกาหลีเป็นดินแดนสกัดกั้นการขยายอำนาจของญี่ปุ่น
๓.
เป็นเป้าหมายแรกของญี่ปุ่นในการดำเนินแผนการขยายจักรวรรดิ
ซึ่งท่าญี่ปุ่นยึดเกาหลีได้
เกาหลีจะกลายเป็นสมรภูมิที่ดีให้กับญี่ปุ่นในการส่งกำลังเข้าไปยังจีน
แมนจูเลีย หรือแม้แต่รัสเซีย
อีกทั้งยังเป็นที่ขยับขยายประชากรที่มีอย่างล้นหลามภายในประเทศ
รวมถึงเป็นแหล่งวัตุถุดิบในการผลิตและเป็นตลาดในการระบายสิ้นค้า
๔.
อังกฤษในฐานะที่มีผลประโยชน์อยู่ในจีนมากมาย
ต้องการที่จะให้เกาหลีเป็นรัฐกันชนไว้สกัดกั้นไม่ให้รัสเซียขยายอำนาจลงมาถึงจีนได้
๕.
รัสเซียต้องการยึดเกาหลีเพื่อต้องการให้เกาหลีเป็นทางออกสู่ทะเลน้ำอุ่น
คือทะเลจีนตะวันออก สู่มหาสมุทรแปรซิฟิก
๖.
สหรัฐอเมริกาต้องการใช้เกาหลีเป็นแนวสกัดกั้นยับยั้งการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์
จะเห็นได้ว่ามหาอำนาจทั้งหลายต่างต้องการเกาหลีด้วยเหตุผลคือ
ขยายอำนาจทางการเมือง
เหตุผลของความปลอดภัยและความมั่นคงของของประเทศตน
ลักษณะที่ตั้งของเกาหลีมีความสำคัญต่อประเทสมหาอำนาจทั้งทางด้านสังคม
เศรษฐกิจ และการเมือง
อีกประการหนึ่งคือชาติตะวันตกต้องการเรียกร้องติดต่อค้าขายและมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลี
แต่การเจรจาขอให้เกาหลีเปิดประเทศนั้นไร้ผล
เกาหลีกำหนดนโยบายต่อชาวตะวันตกไว้อย่างชัดเจนว่า
จะให้ความช่วยเหลือเรือที่อัปปางในน่านน้ำเกาหลีเท่านั้น
แต่จะปกป้องเกาหลีโดยมิให้ชาวตะวันตกกล้ำกรายเข้ามาในประเทศ
ซึ่งจีนเองก็พอใจมากที่กำหลีมีนโยบายเช่นนี้
เมื่ออังกฤษมาขอเจรจากับจีนขอให้เปิดประเทศเกาหลีในฐานะที่อังกฤษมองว่าจีนเป็นประเทศแม่
แต่จีนก็ปฏิเสธว่า
จีนไม่สามารถเปิดประเทศเกาหลีให้ติดต่อค้าขายกับใครได้
เพราะเกาหลีมิได้เป็นส่วนหนึ่งของจีน
ในขณะเดียวกันจีนก็ย้ำว่าเกาหลีไม่สามารถเกิดประเทศเองมิได้เช่นกันเพราะเกาหลีมิได้เป็นประเทศที่มีเอกราชอำนาจอธิปไตย
กล่าวคือเกาหลีมีอิสระในการปกครองตนเองแต่จีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือเกาหลี
จีนอยากให้เกาหลีอยู่ในสถานะเดิมทุกประการจีนไม่อยากให้เกาหลีมีข้อพิพาทกับใคร
การที่ญี่ปุ่นต้องการขยายจักรวรรดิ
จึงต้องความชอบธรรมให้แก่ตนเองโดยการทำให้โลกเห็นว่าเกาหลีเป็นประเทศที่มีเอกราช
ญี่ปุ่นต้องไม่แย่งเกาหลีมาจากการครอบครองของใคร ดังนั้น
สงครามระหว่างญี่ปุ่นและจีนจึงได้เกิดขึ้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ชนะ
ญี่ปุ่นทำสนธิสัญญากับจีนใจความสำคัญคือ
จีนต้องรับรองว่าเกาหลีเป็นประเทศอธิปไตย
และจากที่รัสเซียมีผลประโยชน์ในเกาหลีใต้ด้วยอีกหนึ่งประเทศ
สงครามระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซียจึงได้เกิดขึ้น ผลคือ
ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะสงคราม
จากนี้ไป
ญี่ปุ่นคือหนึ่งเดียวที่มีอิทธิพลเหนือเกาหลีโดยไม่มีคู่แข็ง
ญี่ปุ่นได้ใช้กำลังบีบบังคับให้เกาหลีเปิดประเทศด้วยความต้องการที่จะข้าครอบครองเกาหลีโดยตรง
หลังจากนั้น ญี่ปุ่นได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในเกาหลีมากมาย
เหตุความวุ่นวานได้เกิดขึ้นทั่วประเทศเกาหลี
เกิดเหตุผู้รักชาติเกาหลีได้ลอบสังหารข้าหลวงญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นถือเหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างที่จะแก้ปัญหาเกาหลีและยึดเกาหลีออย่างเด็จขาดโดยใช้กำลังทหารบีบบังคับให้พระเจ้าซุนจองและรัฐบาลของพระองศ์ลงนามในสัญญาผนวกเกาหลีเข้าเป็นราชอาณาจักรญี่ปุ่น
ในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๐ ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนชื่อเกาหลีเป็นโซเซน
และได้ปกครองเกาหลีโดยไม่คำนึงถึงความคับแคนและความปรารถนาของฝ่ายเกาหลีจะกู้ชาติ
ด้วยความขาดความสามัคคีภายในประเทศ ด้วยการแบ่งเป็นฝักฝ่าย
และชักนำข้าศึกเข้าบ้านหลายครั้งหลายครา
ผนวกกับการที่มหาอำนาจต้องการเกาหลีมากจนไม่ยอมให้เกาหลีอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปได้
และด้วยความไม่มีความสามารถของคณะบริหารประเทศ
ทั้งหมดจึงเป็นเหตุให้เกาหลีต้องสิ้นชาติในที่สุด
ชะตากรรมที่เกาหลีมิอาจกำหนดเอง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามต่อมหาอำนาจพันธมิตรอย่างราบคาบ
และถึงแม้ญี่ปุ่นได้หมดอำนาจไปแล้ว
แต่เกาหลีก็ยังถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายด้วยเหตุผลทางการเมืองเพื่อสะดวกแก่การปลดอาวุธญี่ปุ่น
โดยให้อเมริกาปลดอาวุธในภายใต้และรัสเซียปลดอาวุธในภาคเหนือ
บรรดามหาอำนาจพันธมิตรได้ประชุมกันหลายครั้งเพื่อกำหนดชะตากรรมของเกาหลี
จากการประชุมที่ไคโร ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. ๑๔๙๓
ได้ระบุบว่าเกาหลีจะเป็นอิสระและเป็นเอกราชในเวลาอันสมควร
ซึ่งก็หมายความว่า มหาอำนาจพันธมิตรยังไม่สามารถตัดสนใจได้ว่า
เกาหลีควรที่จะปกครองตนเองด้วยระบบใด เหล่าพันธมิตรอันประกอบด้วย
อเมริกา อังกฤษ รัสเซีย
จีนมีความเห็นชอบที่จะให้เกาหลีอยู่ภายใต้การดูแลของนานาชาติ
คือภาวะทรัสตี (International Trusteeship)
ตามมติในการประชุมที่พอทสดัม ปี ค.ศ. ๑๙๔๕
ได้กำหนดดินแดนเกาหลีเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ชาติมหาอำนาจเข้าทำการปลดอาวุธของญี่ปุ่น
เกาหลีจึงต้องถูกกำหนดให้แก้ไขด้วยวิธีชั่วคราวคือ
การปลดอาวุธญี่ปุ่นด้วยการกำหนดเส้นขนานที่ ๓๘ เป็นเส้นแบ่งเขต
โดยเหนือเส้นขนานที่ ๓๘ จะเป็นหน้าที่ของรัสเซีย และใต้เส้น ขนานที่๓๘
จะเป็นหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา
รัสเซียได้ส่งกำลังทหารเข้ามาปลดอาวุธในเกาหลีวันที่ ๙ สิงหาคม ค.ศ.
๑๙๔๕ และสหรัฐอเมริกาเข้ามาในวันที่ ๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๕
ภาคเหนือ
ภายใต้การดูแลของรัสเซีย
รัสเซียมีความต้องการที่จะให้เกาหลีเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
เป็นรัฐบริวารของตน นอกจากการปลดอาวุธญี่ปุ่นแล้ว
รัสเซียยังเป็นผู้ชีแนะแนวทางให้เกาหลีเหนือจัดตั้งรัฐแบบโซเวียตในทุกระดับการปกครองโดยบรรดาคณะกรรมการแห่งชาติ
องค์ประกอบของคอมมิวนิสต์ได้ควบคุมไว้ทั้งหมดในการเมืองทุกระดับ
มีการยกระดับกรรกร ชาวนา ยุวชน สตรี เข้ามามีบทบาทในแนวหน้าระดับชาติ
การกระทำดังนี้เป็นการกระทำที่ดับความหวังของเกาหลีในการรวมชาติ
ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๖
เกาหลีมีการจัดตั้งสภาแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่คระกรรมการแห่งชาติให้ปกครองประเทศชั่วคราว
ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์ได้มีการปลุกระดมมวลชลและปลูกฝังลัทธิคอมมิวนิสต์ให้กับประชาชน
พรรคคอมมิวนิสต์ได้จัดตั้งมวลชนอย่างกระตือรือร้น เช่นการปฏิรูปที่ดิน
มีการยึดที่ดินจากเจ้าของที่ดินรายใหญ่แล้วแจกจ่ายให้กับชาวนา
มีการโอนกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐและวางแผนเศรษฐกิจแห่งชาติ
จะเห็นได้ว่ารัสเซียครอบงำเกาหลี
โดยที่เกาหลีไม่มีทางเลือกและมองไม่เห็นหนทางการรวมชาติ
ภาคใต้
ภายใต้การดูแลของอเมริกา
อเมริกาพัฒนาเกาหลีใต้
แต่ความยุ่งยากภายในและปัญหาความวุ่นวายที่มีความซับซ้อน
ทำให้อเมริกาไม่พร้อมที่จะพัฒนาเกาหลีอย่างเต็มที่เท่าใดนัก
ภายหลังวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๕
อเมริกาได้จัดตั้งรับบาลเฉพาะกาลขึ้น
และรัฐบาลก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการแห่งประชาชาติระดับท้องถิ่นขึ้นทั่วภาคใต้
ขึ้นเพื่อธำรงไว้ด้วยความสงบสุขและแบบแผน
แต่การปกครองรวมถึงด้านเศรษฐกิจก็ยังประสบกับปัญหามากพอสมควร
เศรษฐกิจของเกาหลีระหว่างที่เป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นนั้นมีความผูกมัดกับญี่ปุ่นมาก
เมื่อเป็นเอกราช เกาหลีจึงประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก
อเมริกาต้องจัดระบบระเบียบแบบแผนให้กับเกาหลีใหม่
เช่นสนับสนุนให้มีระบบนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งส่วนหนึ่ง
เป็นการสถาปนาการปกครองโดยใช้กฎหมายเป็นหลักและเป็นพื้นฐานของเสรีภาพทางการเมืองและพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
อเมริกามีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เกาหลีมีความมั่นคงทางการเมืองก่อนแล้วจึงปฏิรูปเศรษฐกิจ
ดั้งนั้น
การปฏิรูปที่ดินในเกาหลีได้จึงมีความล้าช้าอันเนื่องมาจากกระบวนการทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความคิดอนุรักษ์นิยม
เกาหลีถูกมหาอำนาจแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ
คือคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ขบวนการปราบปรามคอมมิวนิสต์มีความรุนแรงมาก
เกาหลีใต้เป็นปัญหามากสำหรับสหรัฐอเมริกา จนในท้ายที่สุดเดือนกันยายน
อเมริกาได้มอบเกาหลี ให้อยู่ในการดูแลขององค์การสหประชาชาติ
องค์การสหประชาชาติจึงได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการรวมประเทศเกาหลีและจัดการเลือกตั้งใน
ค.ศ. ๑๙๔๘ พรรคของซังมันรีได้รับการเลือกตั้ง
ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณะรัฐเกาหลี
เมืองหลวงอยู่ที่กรุงโซล
เมื่อเกาหลีมีรัฐบาลเองแล้วสหรัฐอเมริกาจึงหยุดการยึดครองเกาหลีใต้
ส่วนในเกาหลีเหนือได้มีการเลือกตั้งเช่นกันและได้ประกาศจัดตั้ง
สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งประชาชาติเกาหลี
เมืองหลวงอยู่ที่เปียงยาง รัสเซียจึงได้ถอนทหารออกจากเกาหลี
เกาหลีถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศโดยปริยายและการเป็นตัวแทนของสองลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองคือ
ลัทธิคอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย
การถอนทหารของทั้งสองมหาอำนาจนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แต่อิทธิพลทั้งในด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
ของทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเซียยังมีอยู่ในเกาหลีใต้และเกาหลีเหนืออย่างเต็มเปรี่ยม
ในช่วงแรกของการแยกประเทศอย่างเป็นทางการนี้
ทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ไม่อาจยืนได้ด้วยขาของตนเองหากไม่มีมหาอำนาจทั้งสองคอยพยุง
ความหวังอันสูญสิ้นในการรวมชาติ
ทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ต่างก็คิดเหมือนกันว่า
ตนมีมหาอำนาจหนุนหลัง
ดังนั้นการท้าทายทางกำลังทหารบริเวณพรมแดนเส้นขนาดที่ ๓๘
องศาได้เกิดขึ้นหลายครั้ง
จนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเชื่อชาติเดียวกัน
สงครามของคนพูดภาษาเดียวกัน และมีบรรพบุรุษร่วมกัน
ความหายนะของประเทศชาติเริ่ม ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๕๐
กองกำลังเกาหลีเหนือบุกข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ องศาเข้ามาในเกาหลีใต้
ในเช้าวันรุ่งขึ้นคือวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๕๐ นายทวิเว ลี
เลขาธิการองค์การสหประชาชาติเรียกคณะมนตรีความมั่นคงเข้าประชุมด่วนเป็นกรณีพิเศษ
เพื่อขอมติในการขอกำลังผสมสหประชาชาติเข้าช่วยเกาหลีใต้
แต่รัสเซียซึ่งเป็นประเทศสมาชิกถาวร ๑ ใน ๕
ประเทศได้ใช้สิทธิขอคัดค้าน Vito (ถ้า ๑
เสียงของสมาชิกถาวร Vito มติทุกอย่างต้องเป็นอันตกไป)
ทหารผสมจึงไม่อาจเคลื่อนกำลังได้
แต่สหรัฐอเมริกาก็ไม่สนใจต่อมติของสหประชาชาติและการ Vito ของรัสเซีย
ได้สั่งเคลื่อนกำลังผลข้าช่วยเหลือเกาหลีใต้เพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้
ด้วยกำลังของเกาหลีใต้ที่มีน้อยกว่าเกาหลีเหนือ
เกาหลีใต้อาจแพ้เกาหลีเหนืออย่างง่ายดาย
และเกาหลีใต้ก็จะกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ทันที
ด้วยความกลัวคอมมิวนิสต์จนขึ้นสมอง อมริกาจึงไม่มีรอ
ดังนั้นแล้ว
ประเทศที่เป็นพันธมิตรของอเมริกาก็ได้เข้ามาช่วยเหลืออเมริกาและเกาหลีรบ
ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเรีย เบลเยี่ยม แคนาดา
โคลัมเบีย เอธิโอเปีย ฝรั่งเศส กรีก ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์
นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ ตูรกี รวมถึงมหามิตรอย่างไทย
ภายใต้ชื่อกอง กำลังสหประชาชาติ (UN Forces or UN Troops)
และอีก ๔๑
ชาติพันธมิตรได้ส่งยุทธปัจจัยเข้ามาช่วยเหลือจึงเข้าช่วยเกาหลีใต้รบเต็มอัตราศึก
ส่วนทางด้านเกาหลีเหนือมีจีนคอมมิวนิสต์ รัสเซีย
ประเทศผู้รวมอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นผู้ช่วยเหลือก็สู้กับกองกำลังผสมอย่างเต็มความสามารถ
กองกำลังสหประชาติสามารถผลักดันเกาหลีเหนือขึ้นไปเหนือเส้นขนานที่ ๓๘
ได้ และเข้ายึดเมืองเปียงยางได้ในที่สุด
แต่ก็มิได้จัดการอย่างเด็ดขาดกับเกาหลีเหนือแต่อย่างใด
เพราะการคานอำนาจระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยยังมีอำนาจอยู่
การสู้รบในครั้งนั้นไม่แสดงผลแพ้ชนะเพราะมีการเจรจาพักรบและยุติสงครามในวันที่
๒๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๕๓
แต่ประเทศเกาหลีที่ถูกแบ่งเป็นสองก็ไม่มีทางรวมกันได้แม้จะมีการเจรจากันหลายครั้งก็ตาม
เพราะผู้นำแต่ละฝ่ายก็ต่างไม่อยากเสียอำนาจของตน
คนเกาหลีใต้ก็ไม่อยากไปอยู่ในเกาหลีเหนือกลัวคอมมิวนิสต์เข้าใส้
และคนเกาหลีเหนือถึงอยากจะมาอยู่ในเกาหลีแต่ก็ออกนอกประเทศไม่ได้
ในปัจจุบัน
ค.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งสองก็ยังแบ่งแยกเป็นสองประเทศชัดเจน
ภาพข่าวการทดลองอาวุธร้ายแรงในเกาหลีเหนือยังมีต่อไปโดยไม่สนใจปฏิกิริยาต่อต้านจากนานา
ๆ ชาติ และไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชนของตน
การเริ่มต้นจากการแตกแยกเป็นฝักฝ่ายของคนเกาเหลีเองนับตั้งแต่ปี ค.ศ.
๑๘๖๒ และการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด จึงเป็นสาเหตุให้เกาหลีต้องสิ้นชาติ
และอาจไม่มีทางกลับมารวมกันได้เลย
เมื่อท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านอ่านบทความนี้มาถึงจุดนี้
ผู้เขียนใคร่ขอความกรุณาให้ท่านมองรอบตัวให้รอบคอบดูสักนิดเถิดว่า
ประเทศไทยในขณะนี้กำลังเดินเข้ามาถึงจุดเริ่มต้นของการสิ้นชาติอย่างเกาหลีแล้วหรือยัง
ถ้าใครคิดว่าใกล้มาถึงหรือมาถึงแล้ว การกลับสามัคคีกัน
ร่วมมือกันแก้ปัญหากัน และรักกัน ผู้เขียนคิดว่ายังไม่สายจนเกินไป
อย่าให้ชาติไทยต้องมาสิ้นชาติอย่างเกาหลีในรุ่นของเราเลย...สาธุ.....
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
บทความนี้ยาวมาก และต้องอนุญาติขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ จันทรฉาย ภัคอธิคม ที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เขียนมาไว้ ณ ที่นี้ ถ้าไม่มีอาจารย์ท่านนี้ ผู้เขียนก็จะไม่สามารถวิเคราะห์ อะไรได้เช่นนนี้
และ อนุญาติให้ "ปริ้นท์" ไปอ่านได้ครับ
ขอขอบคุณฉากหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันลืมไปจากความทรงจำของมนุษยชาติ
ชอบบทความให้ความเข้าใจรวบรัดตัดตอนได้ดี ที่ค้นหาอยากรู้ว่าไทยแตกแยกกับเกาหลีที่แตกแยกเพราะอะไร
และกำลังฉุกคิดขึ้นถึง "เกาหลี...ว่าทำไมถึงต้องแบ่ง....แล้วชาติไทยของเราหละ....." จะเป็นเหมือนประโยคนี้ไหมหนอ
.....ก็ภาวนาว่า อย่าให้เป็นเช่นนั้น.....
..."จนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเชื่อชาติเดียวกัน สงครามของคนพูดภาษาเดียวกัน และมีบรรพบุรุษร่วมกัน...."
เศร้าจริงๆ