การคืนชีวิตให้แผ่นดินสู่เกษตรธรรมชาติที่ยั่งยืน
ณัฐพงษ์ พรดอนก่อ
คำนำ
ธรรมชาติบ่งบอกถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูง โดยมีนัยถึงความเป็นจริงที่เที่ยงแท้ ความเป็นเหตุผลของโลก ซึ่งมนุษย์มีปัญญาสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และมนุษย์เองควรตระนักอยู่เสมอในการที่จำตัองตอบแทนสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเพื่อนำไปสู่การคืนชีวิตให้แผ่นดินโดยธรรมชาติสู่ธรรมชาติที่ยั่งยืน ดังเรื่อง การคืนชีวิตให้แผ่นดินสู่เกษตรธรรมชาติที่ยั่งยืน ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ระบบเกษตรแบบธรรมชาติการนำสิ่งมีชีวิตเล็กๆจากธรรมชาติที่มีอยู่แล้วคืนลงไปให้กับดินดังเดิมหรือไม่ทำลายของเดิมที่มีอยู่ โดยสามารถนำไปปฏิบัติได้ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานทั่วไป บทความเรื่องการคืนชีวิตให้แผ่นดินสู่ธรรมชาติที่ยั่งยืน เป็นการอาศัยหลักการการนำจุลินทรีย์ต่างๆที่มีในท้องถิ่นหรือการนำเอาทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยผสมผสานกับภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติซึ่งทุกคนสามารถนำเอาวัตถุดิบรอบๆตัวมาใช้ประโยชน์เพื่อสามารถลดต้นทุนหรือเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ก่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของหลักการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หลักการและเหตุผล
กฎของธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์และเป็นความสำคัญของการเกษตร คือ การทุ่มเทแรงงานไปเพื่อการผลิตอาหารสำหรับมนุษย์และการมีสุขภาพที่ดีจากการทำงานร่วมกับธรรมชาติ เพื่อให้เข้าใจกฎการทำการเกษตรให้มากขึ้นดร.อานัฐ ตันโจ, (2548 ) จึงพอสรุปได้ว่า การเกษตร คือ “ กระบวนการรวบรวมองค์ความรู้ของมนุษย์รวมกับการใช้แรงงานในการผสมผสานกับสิ่งมีอยู่ในธรรมชาติ ได้แก่ แร่ธาตุอาหารของพืช แสงอาทิตย์ อากาศ ดินและน้ำ”
สิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการเกษตรกรรมก็คือ การสังเกตุและการยอมรับในบทบาทของธรรมชาติ เราต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับวัฏจักรของชีวิต เราต้องยอมรับในความสามารถและสิทธิของพืช สัตว์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ และสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ทุกสิ่งทุกอย่างตามศักยภาพที่มีอยู่อย่างแหมาะสมและก่อเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์รุ่นต่อๆไป จะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งมีอยู่ในธรรมชาติที่ยั่งยืนสืบไป
มนุษย์คือตัวแปรหลักในการสร้างหรือเป็นตัวทำลายสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ควรปล่อยให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ช่วยเหลือกันเอง และช่วยเหลือตัวมันเองก่อน มนุษย์ควรให้ความสัมพันธ์สิ่งมีชีวิตอย่างใกล้ชิดไม่รีดเค้นประโยชน์จากพืชหรือสัตว์มากเกินไป วิวัฒน์ ศัลยกำธร,(2550) ได้กล่าวไว้ว่า “ การที่พืชจะเจริญเติบโตได้ดีจำต้อง เลี้ยงดินเพื่อ ให้ดินเลี้ยงพืช” (Feed the soil and let the soil feed the plant) โดยธรรมชาติและทำนองเดียวกันสัตว์เลี้ยงต่างๆก็ต้องการความอิสระจากธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งหลักการนี้คงไม่ถูกใจกับเกษตรกรยุกค์ใหม่ตราบใดเมื่องมนุษย์ยังไม่ประสบภัยอันตรายด้านความปลอดภัยแก่ร่างกายของตัวเอง
จุดเริ่มต้นของชีวิต
แนวทางต่างๆที่จะบ่งบอกถึงความเป็นการเกษตรที่ปลอดภัยไม่ทำลายชีวิตที่อยู่ในดินและชีวิตของผู้บริโภคเองก็คือ การทำเกษตรระบบอินทรีย์นั่นเอง เกษตรอินทรีย์ที่จะให้เกิดระบบธรรมชาติโดยทั่วไปต้องมีการนำจุลินทรีย์มาใช้จากในท้องถิ่นหรือจุลินทรีย์ไกล้ตัว อานัฐ ตันโจ, (2548) กล่าวไว้ว่าจุลินทรีย์ท้องถิ่น IMO (indigenous microoganisms) เป็นจุลินทรีย์ที่แข็งแรงจะทำให้เกิดความสมดุลย์ของระบบนิเวศในพื้นที่นั้นๆโดยจะมีการพัฒนาให้แข็งแรงขึ้นทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมรอบๆ
เกษตรอินทรีย์สู่การคืนชีวิตให้แผ่นดินเป็นระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมรักษาสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายของทางชีวภาพโดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติ วิวัฒน์ ศัลยกำธร,(2550) กล่าวไว้ว่าพืชพันธุ์หรือต้นไม้ไม่ว่าพืชชั้นสูงพืชชั้นต่ำ ไม้ใหญ่ไม้เล็กก็ต้องการคาวมสมดุลย์ทางธรรมชาติเช่นเดียวกันทั้งสิ้นบางครั้งสิ่งที่เขาขาดไปเราก็สามารถแต่งเติมธรรมชาติให้เขาได้เช่นกันโดยไม่ทิ้งความจริงของธรรมชาติเช่น การห่มดิน การหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่างๆตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทาพันธุกรรมที่อาจเกิดมลพิษในสภาพแวดล้อมก็ป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตและสู่การคืนชีวิตให้แผ่นดินได้อีกระดับหนึ่ง หากทุกส่วนทุกคนหันมาเน้นการใช้อินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด และ ปุ๋ยชีวภาพในการปรับปรุงบำรุงให้มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อให้ต้นพืชมีความแข็งแรงสามารถต้านทานโรคและแมลงด้วยตนเอง รวมถึงการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ประโยชน์ด้วยผลผลิตที่ได้จะปลอดภัยจากสารพิษตกค้างทำให้ปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคและไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอีกด้วย(กรมวิชาการเกษตร)
ฅนรักษ์แม่ธรณีสู่เกษตรธรรมชาติที่ยั่งยืน
ก่อนอื่นควรเข้าใจและรู้จักคำว่าจุลินทรีย์ จุลินทรีย์ก็คือ สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจนกว่าจะเกาะกลุ่มกัน จุลินทรีย์มีอยู่ในธรรมชาติทั้งในน้ำ อากาศและในดิน
ประโยชน์ของจุลินทรีย์โดยทั่วไป
องค์ความรู้และภูมิปัญญาของศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน(2551) ด้านการเกษตร ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด เป็นด่างในดิน และน้ำ แก้ปัญหา ลดการรบกวนแมลงศัตรูพืชและโรคระบาดต่างๆ ช่วยปรับดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี ดินมีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเหมาะสม สามารถช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นอาหารแก่พืช เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสามารถสร้างฮอร์โมนพืชช่วยให้ผลผลิตสูงผลผลิตคงทนสามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน
ด้านปศุสัตว์ ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มปศุสัตว์ กำจัดน้ำเสีย ป้องกันโรคอหิวาต์และโรคระบาดต่างๆ
ด้านการประมง ช่วยควบคุมน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์ แก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ ลดปริมาณขี้เลนในบ่อ
ด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยบำบัดน้ำเสียจากการทำการเกษตร การปศุสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชนและสถานประกอบการ ช่วยกำจัดกลิ่นจากกองขยะ และปรับสภาพของเสีย
ความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อเกษตรกรจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
การทำปุ๋ยหมักแห้ง
วัสดุอุปกรณ์ (ใบไม้แห้งเศษพืช 3 ส่วนต่อมูลสัตว์ 1 ส่วน)
1.ใบไม้แห้งเศษพืช 15 กระสอบอาหารสัตว์หรือประมาณ 15 เข่ง
2.มูลสัตว์ 3 เข่ง
3.หัวเชื้อจุลินทรีย์ท้องถิ่นหรืออีเอ็ม 1 ลิตร
4.รำระเอียด 1 กิโลกรัม
ขั้นตอนการทำ
1. นำใบไม้แห้งหรือเศษพืช รำ และมูลสัตว์ มากองรวมกัน แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. นำหัวเชื้อจุลินทรีย์หรืออีเอ็มราดลงไป แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่งรดน้ำให้ชุ่ม
3. หมักทิ้งไว้ 3 เดือน เมื่อย่อยสลายดี แล้วจึงนำไปใช้ เช่น ผสมดินปลูกพืชได้ทุกชนิดฯ
การทำน้ำหมักชีวภาพ
วัสดุอุปกรณ์
1. ผลไม้หวาน ผลไม้สุกอื่นๆ 3 กิโลกรัม
2. หัวเชื้อจุลินทรีย์ท้องถิ่นหรืออีเอ็ม 1 ลิตร
3. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
4. น้ำเปล่า 10 ลิตร
5. ถังหมักที่มีฝาปิดสนิท 1 ใบ
ขั้นตอนการทำ
1. นำผลไม้มาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับกากน้ำตาลและหัวเชื้อจุลินทรีย์ให้เข้ากัน ใส่ลงไปในถังหมัก
2. เติมนำเปล่า 10 ลิตร ลงไป หรือให้เหลือพื้นที่ว่าง 1 ฝ่ามือจากขอบถังหมัก ปิดฝา ให้สนิท เก็บไว้ในที่มีร่มเงา หมักทิ้งไว้ 7-10 วัน จึงนำไปใช้ได้ เช่น ใช้กับพืชทั่วไป 1-2 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปิ๊ป(20ลิตร)
การทำสมุนไพรขับไล่แมลง
วัสดุอุปกรณ์ (สมุนไพร 3 ส่วน ต่อกากน้ำตาล 1 ส่วน)
1. บอระเพ็ด ข่า ตะไคร้หอม สะเดา ยาสูบ มะกรูด หนอนตายยาก โล่ติ้นหางไหล อื่นๆ
อย่างละเท่าๆกัน 3 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3. กะแช่ หรือเหล่าสาโท 1 กิโลกรัม
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์หรืออีเอ็ม 1 กิโลกรัม
5. ถังมีฝาปิดสนิท 1 ใบ
6. น้ำเปล่า 10 ลิตร
ขั้นตอนการทำ
1. ผสมน้ำกับกากน้ำตาลให้เข้ากันในถังหมัก เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์หรืออีเอ็ม และกะแช่หรือสาโทลงไป คนให้เข้ากัน
2. ทุบหรือหั่นสมุนไพรต่างๆ ใส่ลงไปในถังหมัก คนให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปแล้ว ปริมาณน้ำจะอยู่ต่ำกว่าขอบถังหมักประมาณ 1 ฝ่ามือ
3.ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่ที่มีร่มเงา หมักทิ้งไว้ประมาณ 7 – 10 วัน
วิธีการนำไปใช้
1 – 2 ช้อนแกง ต่อน้ำ 20 ลิตรหรือเข้มข้นตามชนิดของศัตรูที่รบกวน
การทำฮอร์โมนไข่
วัสดุอุปกรณ์
1. ไข่ไก่สด 5กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 5กิโลกรัม
3. บีทาเก้น 1 ขวด
4. ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ลูก
5. ถังหมักที่มีฝาปิดสนิท 1 ใบ
ขั้นตอนการทำ
1. นำไข่ทั้งฟองมาทุบหรือปั่นให้ละเอียด
2. ผสมกากน้ำตาลกับไข่คนให้เข้ากัน หลังจากนั้นเติม
บีทาเก้นลงไป 1 ขวด คนให้เข้ากันอีกครั้ง
3. นำลูกแป้งข้าวหมาก ใส่ถุงพลาสติกขยี้ให้เป็นผงแล้วใส่ลงไปในถัง คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. ปิดฝาให้สนิทนำไปเก็บไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก ทิ้งไว้ 7 วันโดยไม่ต้องคน จึงนำมาใช้ได้
วิธีใช้
1. ฮอร์โมนไข่ 5-10 ซีซี.หรือหนึ่งช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร(ฉีดพ่น)
2. ฮอร์โมนไข่ 20-40 ซีซี.หรือสองถึงสี่ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร(ราดลงดิน)
**ให้ทุก 5-7 วัน ต้นไม้จะเจริญสมบูรณ์แข็งแรงดี ให้ดอกออกผลรวดเร็ว ดินร่วนซุยอุ้มน้ำ และอากาศถ่ายเทสะดวก
บทสรุป
การที่จะสามารถนำหลักการคืนชีวิตให้แผ่นดินสู่เกษตรธรรมชาติที่ยั่งยืนได้ดีนั้นต้องอาศัยหลักการองค์ประกอบหลักจากตัวของมนุษย์ที่เป็นตัวแปรปัจจัยสำคัญ การรับผิดชอบที่มีต่อสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ความรับผิดต่อสิ่งมีชีวิตทางสังคมและตัวของมนุษย์เอง คงหนีไม่พ้นในการอาศัยหลักธรรมที่มีพลังจากใจ ปลุกจิตรใต้สำนึกของตัวมนุษย์โดยหลักพละทั้ง 5 หรือกำลังทั้ง 5 คือประการที่หนึ่งต้องสร้างศัรทธาในการนำสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติที่มีอยู่แล้วมาใช้กับสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์และมนุษย์ที่เป็นธรรมและให้เห็นจริงในแนวทางปฏิบัติ ประการที่สองต้องมีความวิริยะความอุตสาหะทำการทดลองวิจัยอาศัยทั้งวิทยาศาสตร์เบื้งต้นรวมถึงวิทยาศาสตร์ชั้นสูงเป็นองค์ประกอบเพราะธรรมชาติต้องมีความระเอียดอ่อนค่อยเป็นค่อยไป ประการที่สามต้องมีสติในการสร้างกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในธรรมชาติใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้คุ้มค่า ประการที่สี่ต้องมีสมาธิมีหลักยืนที่มั่นคงไม่สุดโต่งต่อภัยรอบข้างของความจริง และประการสุดท้ายพลังที่ห้าจะต้องมีปัญญานำสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมาสร้างเป็นเทคโนโลยีหรือสร้างเป็นนวัฒกรรมใหม่ๆให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าในการลดต้นทุนทางการเกษตร นำไปขยายผลสู่ผู้อื่นให้หรือแรกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน คืนชีวิตให้แผ่นดินสู่เกษตรธรรมชาติที่ยั่งยืนอย่าเป็นรูปธรรมสืบไป
เอกสารอ้างอิง เกษตรธรรมชาติ,สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.).2548 พัฒนากสิกรรมธรรมชาติสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง.มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง 2550 องค์ความรู้และภูมิปัญญาของศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน.กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและ เกษตรกรรมยั่งยืน.2551
ไม่มีความเห็น