๒๓. อุปสรรคใหญ่ของลูกศิษย์ใหม่ของท่านอาจารย์คืออะไรครับ
ทิฐิ ความเห็นและความนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงเกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า หลายๆท่านที่มาที่นี่ มีตำแหน่งการงานสูงในสังคม บางคนเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่ง หรือได้ปริญญาต่างๆ ครูและข้าราชการ สมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ เขาฉลาดเกินกว่าที่จะฟังผู้อื่น เปรียบเหมือนน้ำในถ้วย ถ้าถ้วยมีน้ำสกปรกอยู่เต็ม ถ้วยน้ำก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เมื่อได้เทน้ำเก่านั้นทิ้งไปแล้วเท่านั้น ถ้วยนั้นก็จะใช้ประโยชน์ได้ ท่านต้องทำจิตให้ว่างจากทิฐิ แล้วท่านจึงจะได้เรียนรู้ การปฏิบัติของเรานั้นอยู่เหนือความฉลาดหรือความโง่ ถ้าท่านคิดว่าแน่ เก่ง ฉันรวย ฉันเป็นคนใหญ่คนโตฉันเข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้งทั้งหมด เช่นนี้แล้ว ท่านจะไม่เห็นความจริงในเรื่องอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน ท่านจะมีแต่ตัวตน ตัวฉันของฉัน แต่พระพุทธศาสนาคือการละ ตัวตน เป็นความว่าง เป็นความไม่มีทุกข์ เป็นนิพพาน
๒๔.กิเลสเครื่องเศร้าหมอง เช่นความโลภหรือความโกรธ เป็นเพียงมายาหรือว่าเป็นของจริงครับ
เป็นทั้งสองอย่าง กิเลสที่เราเรียกว่าราคะหรือความโลภ ความโกรธและความหลง นั้นเป็นเพียงแต่ชื่อ เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา เช่นเดียวกับที่เราเรียกชามใหญ่ ชามเล็ก สวยหรืออะไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สภาพที่เป็นจริงแต่เป็นความคิดปรุงแต่งที่เราคิดปรุงขึ้นจากตัณหา ถ้าเราต้องการชามใหญ่ เราก็ว่าอันนี้เล็กไป ตัณหาทำให้เราแบ่งแยก ความจริงก็คือ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ลองมามองแง่นี้บ้าง ท่านเป็นผู้ชายหรือเปล่า ถ้าตอบว่าเป็น นี่เป็นเพียงรูปร่างของสิ่งต่างๆ แท้จริงแล้วท่านเป็นส่วนประกอบของธาตุและขันธ์ ถ้าจิตเป็นอิสระแล้ว จิตจะไม่แบ่งแยก ไม่มีใหญ่ไม่มีเล็ก ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีอะไร จะเป็นอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน แท้จริงแล้วในบั้นปลาย ก็ไม่มีทั้งอัตตาและอนัตตา(เป็นแต่เพียงชื่อเรียก)
๒๕. ขอความกรุณาท่านอาจารย์อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรรมด้วยครับ
กรรมคือ การกระทำ กรรม คือ การยึดมั่นถือมั่น กาย วาจาและใจ ล้วนสร้างกรรมเมื่อมีการยึดมั่นถือมั่น เราทำกรรมจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า นี้เป็นผลของการยึดมั่นถือมั่นของกิเลส เครื่องเศร้าหมองของเราที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายจะทำให้เราสร้างกรรม สมมติว่าท่านเคยเป็นขโมยก่อนที่จะบวชเป็นพระ ท่านขโมยเขาทำให้เขาไม่เป็นสุข เมื่อท่านเป็นพระเวลาท่านนึกถึง เรื่องที่ท่านทำให้ผู้อื่นหมดสุขแล้ว ท่านก็ไม่สบายใจ จงจำไว้ว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลในอนาคตได้ ถ้าท่านเคยสร้างกรรมดี ไว้ในอดีต และวันนี้ก็ยังจำได้ ท่านก็เป็นสุข
๒๖. บางครั้งดูเหมือนว่าตั้งแต่ผมบวชเป็นพระมานี้ผมประสบความยากลำบากและความทุกข์มากขึ้น
ผมรู้ว่าพวกท่านบางคนมีภูมิหลังที่สะดวกสบายทางวัตถุมาก่อนและมีเสรีภาพ เมื่อเปรียบกันแล้ว ขณะนี้ท่านต้องเป็นผู้อยู่ อย่างสำรวมตนเอง และมักน้อยยิ่งนัก ซ้ำในการฝึกปฏิบัตินี้ ผมยังให้ท่านนั่งนานและคอยหลายชั่งโมง อาหารและดินฟ้าอากาศ ก็จะต่างกันไปกับบ้านเมืองของท่าน แต่ทุกคนต้องผ่านความทุกข์ยากกันบ้าง นี่คือความทุกข์ที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์อย่างนี้แหละ ที่จะทำให้ท่านได้เรียนรู้ เมื่อท่านนึกโกรธ นึกสงสารตัวเอง นั่นแหละเป็น โอกาสเหมาะที่จะเข้าใจเรื่องของจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่ากิเลสทั้งหลายเป็นครูของเรา ลูกศิษย์ทุกคนก็เหมือนลูกของผม ผมมีความเมตตาปรารถนาดีต่อทุกคน ถ้าผมทำให้ทุกข์ยากก็เพื่อประโยชน์ของท่านเอง ผู้ที่มีการศึกษาน้อยมีความรู้ทางโลกน้อยจะฝึกปฏิบัติได้ง่าย
๒๗. ผมเจริญสมาธิภาวนาจนจิตสงบผมควรทำอย่างไรต่อไป
นี่ก็ดีแล้ว ทำจิตให้เป็นสมาธิ ใช้พิจารณาจิตและกาย ท่านจะรู้ถึงควาามสงบที่แท้จริง ถ้าท่านยึดติดอยู่กับภาวะจิตที่สงบ แล้วท่านจะเป็นทุกข์ เมื่อจิตไม่สงบ ฉะนั้นจงปล่อยวางหมดทุกสิ่งแม้แต่ความสงบ
๒๘. ผมได้ยินท่านอาจารย์พูดว่าท่านเป็นห่วงลูกศิษย์ที่พากเพียรมากใช่ไหมครับ
ถูกแล้วผมเป็นห่วง ผมเป็นห่วงว่าเขาเอาจริงเอาจังจนเกินไป เขาพยายามจนเกินไปแต่ขาดปัญญา เขาเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่ความทุกข์โดยไม่จำเป็น อย่างนี้เป็นความพยายามมากเกินไป คนทั่วไปก็เช่นกัน พวกเขาไม่รู้ถึงสภาพเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง สังขารทั้งปวง จิตและร่างกายล้วนเป็นของไม่เที่ยง บางคนคิดว่าเขารู้ เขาวิพากษ์วิจารณ์จับตามองและลงความเห็นเอาเอง อย่างงี้ก็ตามใจเขา ทิฐิของใครก็ปล่อยให้เป็นของคนนั้น ถ้าเราคิดว่าคนอื่นด้อยกว่าหรือดีกว่าหรือเสมอกันกับเรา เราก็ตกทางโค้ง ถ้าเราแบ่งเขาแบ่งเรา เราก็จะเป็นทุกข์
๒๙. ผมได้เจริญสมาธิภาวนามาหลายปีแล้ว ใจผมเปิดกว้างและสงบระงับเกือบจะในทุกสภาพการ เวลานี้ผมอยากจะย้อนหลัง และฝึกทำสมาธิชั้นสูงหรือฝึกฌานครับ
จะทำอย่างนั้นก็ได้เป็นการฝึกจิตที่มีประโยชน์ ก็เหมือนกับอยากนั่งภาวนานานๆ ท่านจะไม่ยึดติดอยู่ในสมาธิจิต แต่จริงๆแล้วการฝึกนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่วงท่าอิริยาบถต่างๆ แต่นี่เป็นการมองตรงเข้าไปในจิต นี่คือปัญญาเมื่อท่านพิจารณาในเรื่องของจิต แล้วท่านก็จะเกิดปัญญารู้ถึงขอบเขตของสมาธิ เมื่อท่านได้ฝึกปฏิบัติและเข้าใจจริงเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่นจะช่วยท่านในการสอนผู้อื่น หรือท่านจะหวนกลับไปฝึกฌานก็ได้ถ้าท่านมีปัญญารู้แล้วที่จะไม่ยึดถือในสิ่งใด
๓๐. ขอความกรุณาท่านอาจารย์ทบทวนใจความสำคัญของการสนทนานี้ด้วยครับ
ท่านต้องสำรวจตัวเอง รู้ว่าท่านเป็นใครรู้ทันกายและจิตใจของท่าน จงรู้ความพอดีพอเหมาะสำหรับตัวท่าน ใช้ปัญญาในการฝึกปฏิบัติจงมีสติรู้ว่าอะไรเป็นอยู่ ท่านจะมองเห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และความดับไปแห่งทุกข์ แต่ท่านต้องมีความอดทน และต้องทนได้ ท่านจะค่อยๆได้เรียนรู้ อย่าปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกินไป อย่ายึดติดอยู่กับรูปแบบภายนอก จงเป็นปกติตามธรรมชาติ พระวินัยของพระสงฆ์และกฎระเบียบของวัดสำคัญมาก ทำให้เกิดบรรยากาศที่เรียบง่ายและประสานกลมกลืน แต่จำไว้ว่าความสำคัญของพระวินัยของพระสงฆ์คือการเฝ้าดูเจตตนาและสำรวมจิต ท่านต้องใช้ปัญญาอย่าแบ่งเขาแบ่งเรา ดังนั้นจงอดทนและฝึกให้มีคุณธรรมมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เป็นปกติตามธรรมชาติ เฝ้าดูจิต นี่แหละคือการปฏิบัติของเรา ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว และความสงบสันติ
แวะมาน้อมนำธรรมะไปปฏิบัติอีกครั้งครับ
ผมนับถือหลวงพ่อชาครับ ด้วยหัวใจจริงๆครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ
...การทำงานของสติจิตอารมณ์...
...จิตนั้นเป็นตัวรับรู้สั่นไหวแล้วปั่นเป็นอารมณ์ อารมณ์มันก็กลับไปเกาะที่จิตให้สั่งงานมาทันทีตัวอย่างเช่นขณะเกิดอาการ
ของอารมณ์ปวดหลัง จิตมันรับรู้ว่าปวดหลังอารมณ์มันเกิดคือความปวดหลังจิตมันรับรู้ว่าปวดมันก็เกิดอารมณ์ปั่นป่วน
อารมณ์มันก็กลับไปบอกจิตว่าปวดหลังแล้วนะจิต จะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี ถ้าเราไม่มีตัวสติมากำกับอีกตัวหนึ่งก็คือความคิดเริ่มต้นแล้ว
ปล่อยตามอารมณ์ของจิต มันก็จะพากันผสมโรง ว่า เออ!ปวดจริงๆด้วยแหละ คราวนี้มันจะปวดแสนปวด
ไม่หยุด ใจจะไม่สงบ งุดงิด รำคาญ แต่ถ้าเรามีสติมาดักตัวอารมณ์ป่วนไว้ก่อนที่อารมณ์จะสั่งจิตโดยตรง สติก็จะขึ้นหัวข้อที่ดีให้ว่า
สาเหตุแห่งความปวดนั้นเพราะอะไรแล้วสติก็มาสั่งจิตกำกับลงไปที่จิตว่า ปวดหลังหนอ! ปวดหลังหนอ! พอตัวจิตมันเกิดรู้ตัวขึ้นมามันก็แยก
ความเจ็บปวดออกไปเพราะมีสติมาสั่งจิต จิตนั้นจะเชื่อสติ หาทางแก้ปัญหานี้ให้จิตอย่าให้จิตปั่นอารมณ์เอง จิตมันก็จะแยกความเจ็บปวดออกไป
กลายเป็นอารมณ์แห่งปัญญาที่ดีที่ไม่บ่นว่าปวดเพราะรู้เหตุแห่งความปวดนั้นมาจากอะไร อารมณ์แห่งปัญญานั้นกลายเป็นยารักษาทันที
อย่างน้อยความปวดนั้นก็จะทุเลาเบาบางลงไปได้ ตรงนี้พระพุทธเจ้าของเราก็เคยทรงทำไว้ตอนที่พระเทวทัต
กลิ้งหินลงจากภูเขาทำให้ทรงห้อพระโลหิตที่เท้า แต่พระองค์ทรงแยกความเจ็บปวดนั้นออกไปได้ ด้วยสตินั่นเอง
เราต้องมาดูแล สติ จิต อารมณ์ ให้เป็นกลางก็เท่านั้น อย่าให้อารมณ์เหนือจิต อย่าให้จิตเหนืออารมณ์ มีสติคอยดูแลรักษาให้เป็นนิสัย
...สรุป...
สติ เปรียบเสมือน เชือกที่ผูกมัดจิตและอารมณ์เอาไว้ด้วยกัน หากเมื่อใดจิตมันเกิดรับรู้เกิดสั่นไหว ก็จะเกิดอารมณ์ปั่นป่วนขึ้นมา
คือถ้าจิตรับรู้ก็จะเกิดอารมณ์ทันที เชือกที่ผูกจิตและอารมณ์ไว้ก็สั่นไปถึงสติ สติก็จะไปช่วยไปดักทางก่อนอารมณ์จะเตลิดไป
จิตก็จะถามสติว่าจะทำประการใดประการหนึ่งกับอารมณ์นี้ดีพอสติริเริ่มสั่งงานแล้วจิตก็จะปั่นเป็นอารมณ์แห่งปัญญาทันที
หากแต่ว่าอารมณ์ปั่นที่มีสตินั้น ก็จะเป็นอารมณ์ปั่นของปัญญา จะนำพาไปในทางที่ชอบ ที่ควร...
พวกเราจงมารักษา สติ(ความคิดริเริ่มที่ดี)จิต(ตัวรับรู้สั่นไหวได้)อารมณ์(ปัญญาพาไปหรือตัวโง่พาไป)ให้สมดุลและมีการใช้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
อย่าได้มองข้ามตัวสติเลยขอให้ใช้สติจนเคยชิน จะเกิดแต่ผลดีกับตัวท่านเองและคนรอบข้าง...
...ขอให้ทุกท่านที่อ่าน เจริญด้วยอารมณ์แห่งปัญญาเถิด...
...โอ ระยอง เขียน...