Corporate Social Responsibility (CSR)


Corporate Social Responsibility (CSR)

Ssm1001120 CEOs 20 IDEAs : CEO ในแบบ NGO
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ [email protected]

เรื่อง Corporate Social Responsibility (CSR) หรือที่ทางสถาบันไทยพัฒน์เรียกว่า "บรรษัทบริบาล" นั้น มีความสำคัญกับองค์กรไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่อง Corporate Governance (CG) หรือบรรษัทภิบาล โดยปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านทางกิจกรรมต่างๆ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบการหรือผู้นำองค์กรยึดถือเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญในการดำเนินกิจการ อีกทั้งไม่จำกัดอยู่เพียงบรรษัทขนาดใหญ่ รูปธรรมของบรรษัทบริบาลนั้น ปรากฏได้ทั้งในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เจ้าของกิจการหรือผู้บริหาร ใช้แนวทางการประกอบธุรกิจอย่างมีคุณธรรมยิ่งไปกว่านั้น การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ก็มิได้จำกัดว่ากิจการที่กล่าวถึงจะต้องเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่อยู่ในภาคธุรกิจเท่านั้น ในอดีตที่ผ่านมาภาครัฐเองก็ได้เคยตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งทำให้ส่วนราชการต่าง ๆ ต้องพัฒนาการปฏิบัติราชการโดยใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน

ดังนั้น ต้องถือว่าส่วนราชการต่างๆ ก็ดี มีพันธกิจหลักในการบริหารกิจการบ้านเมืองด้วยความรับผิดชอบเป็นที่ตั้งอยู่ แล้ว ทั้งยังเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้บริการสาธารณะแก่ ประชาชนโดยไม่แสวงหาผลกำไร ซีเอสอาร์ในภาครัฐจึงมิใช่เรื่องใหม่ หรือหลักการบริหารบ้านเมืองแนวใหม่แต่ประการใด แต่เป็นเรื่องที่ข้าราชการทุกคนต้องตระหนักและสำนึกได้เองว่า ตนเองมีบทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคมในการปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น หากหน่วยราชการใดออกมาประกาศว่าจะนำหลักการซีเอสอาร์มาใช้ในการปฏิบัติงาน นั่นก็แสดงว่า หน่วยงานนั้นไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจเรื่องของซีเอสอาร์ แต่ยังไม่ตระหนักถึงบทบาทขั้นพื้นฐานของตนเองในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ที่พึงมี นับตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้งหน่วยงานอีกด้วยเมื่อพิจารณาซีเอสอาร์ตามบทบาทและความเกี่ยวข้องของหน่วยงาน จะสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 จำพวก (division)

โดยจำพวกแรกเป็น CSR-after-process ที่มักใช้คำในภาษาไทยว่า "กิจกรรมเพื่อสังคม" คือ การดำเนินกิจกรรม (activities) ของหน่วยงาน ซึ่งโดยมากเป็นองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไร เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์แก่สังคมในด้านต่าง ๆ โดยกิจกรรมที่ดำเนินการนั้นมักแยกต่างหากจากการดำเนินธุรกิจที่เป็นกระบวนการ (process) หลักของกิจการและเกิดขึ้นภายหลัง เช่น การแก้ไขเยียวยาชุมชนที่ได้รับผลกระทบทางมลพิษจากการประกอบการ การแจกจ่ายสิ่งของช่วยบรรเทาสาธารณภัย การเป็นอาสาสมัครช่วยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ซึ่งกิจกรรมเพื่อสังคมเหล่านี้มักเป็นกิจกรรมที่อยู่นอกเหนือเวลาทำงานตามปกติ

จำพวกที่สองเป็น CSR-in-process ซึ่งปัจจุบันมักเรียกกันว่า "ธุรกิจเพื่อสังคม" คือ การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมที่อยู่ในกระบวนการทำงานหลักของกิจการ หรือเป็นการทำธุรกิจที่หากำไรอย่าง

มีความรับผิดชอบ เช่น การป้องกันหรือกำจัดมลพิษในกระบวนการผลิตเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน

 การผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามข้อกำหนดในฉลากผลิตภัณฑ์ การเปิดเผย

ข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องครบถ้วนต่อผู้บริโภค การชดเชยความเสียหายให้แก่ลูกค้าที่เกิดจากความผิดพลาดและความบกพร่องของ พนักงาน ซึ่งการดำเนินความรับผิดชอบเหล่านี้ถือเป็นกิจกรรมที่อยู่ในเวลาทำงานปกติของกิจการ

จำพวกที่สามเป็น CSR-as-process ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น "กิจการเพื่อสังคม" เพื่อให้แตกต่างจากสองจำพวกข้างต้น ที่เป็นบทบาทขององค์กรธุรกิจโดยตรง กิจการในจำพวกที่สามนี้ มักเป็นองค์กรที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไรให้แก่ตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อยังประโยชน์ให้แก่สังคมในทุกกระบวนการของกิจการ ตัวอย่างของกิจการที่อาจจัดอยู่ในข่ายนี้ ได้แก่ มูลนิธิ องค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรประชาชน และส่วนราชการต่างๆอย่างไรก็ดี กิจการเพื่อสังคมในความหมายเต็มของ CSR-as-process นั้น มีข้อแตกต่างจากหน่วยงานที่เรียกตัวเองว่า องค์กรที่ไม่มีวัตถุประสงค์หากำไร (non-profit organization) ตรงที่หน่วยงานที่ไม่หากำไร อาจอยู่ในสภาพที่ไม่มีกำไรให้ทั้งแก่ตนเองและแก่สังคม อันเนื่องมาจากการขาดกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แต่สถานะของกิจการเพื่อสังคมนั้น เกิดจากการผสมผสานอุดมการณ์ในแบบนักพัฒนาสังคมเข้ากับการบริหารจัดการในแบบ ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการผนวกจุดแข็งระหว่างแผนงานของภาคประชาสังคมกับกระบวนการที่มี ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ในอันที่จะสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคมโดยรวม ขณะเดียวกันกิจการก็สามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาการดำเนินงานของตนเอง แทนการสนับสนุนจากแหล่งทุนภายนอกหรือได้รับการอุดหนุนจากภาษีของประชาชน เรียกว่า เป็นองค์กรที่หากำไรให้แก่สังคม (social profit organization) โดยที่เจ้าของกิจการเหล่านี้ มักเรียกตัวเองว่า เป็นผู้ประกอบการทางสังคม (social entrepreneur)

การที่องค์กรที่ไม่มีวัตถุประสงค์หากำไรในรูป แบบเดิม อาศัยทุนสนับสนุนจากการบริจาคก็ดี หรืออาศัยทุนอุดหนุนจากเม็ดเงินภาษีก็ดี ถือว่าเป็นการใช้ทรัพยากรจากสังคมทางหนึ่ง ซึ่งหากดำเนินงานโดยขาดประสิทธิภาพหรือขาดความรับผิดชอบแล้ว ยิ่งต้องได้รับการตำหนิมากกว่าองค์กรที่หากำไรให้แก่ตนเองเป็นเท่าตัว เพราะนอกจากจะเป็นการถือครองทรัพยากรทางสังคม โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมแล้ว ยังเท่ากับเป็นการปิดโอกาสองค์กรที่ไม่หากำไรแห่งอื่นๆ ในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเหล่านี้ เพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมด้วย  ถือเป็นค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ที่คนในสังคมต้องร่วมกันจ่าย โดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดกลับคืนมาเลย ท่ามกลางกระแสของการรณรงค์เพื่อให้เกิดความ ตระหนักต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งเป็นประเด็นระดับนานาชาติที่ทุกสังคมต้องร่วมมือกันแก้ไขในขณะนี้ กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ จึงถือเป็นวาระที่สำคัญยิ่งสำหรับองค์การพัฒนาเอกชนตลอดจนองค์การในภาครัฐ นับจากนี้ เพราะหากหน่วยงานใดยังพึ่งพาและพัฒนาการดำเนินงานของตนเองไม่ได้แล้วไซร้ สังคมก็มิอาจพัฒนาและหวังที่จะพึ่งพาหน่วยงานนั้นๆ ได้เช่นกัน อย่าลืมว่าการมีภารกิจที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคมนั้น ยังดีกว่าการปล่อยให้สังคมล่มสลายจนไม่เหลืออะไรไว้ให้ต้องรับผิดชอบอีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะไม่มีใครหรือหน่วยงานใดดำรงอยู่ได้ทั้งนั้น

 ประวัติ-ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ วิศวกรและนักเทคโนโลยี ผู้พลิกผันบทบาทตนเองจากเส้นทางทุนนิยมมาสู่แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ทำงานวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่ มีผลงานที่เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว เช่น CSR Balanced Scorecard และ Z-MODEL : ตัวแบบการจัดการบรรษัทบริบาล (CSR) เชิงกลยุทธ์

ประโยชน์ที่ได้รับจากบทความเรื่องนี้คือ  ความเข้าใจเรื่อง Corporate Social Responsibility (CSR)  นักบริหารต้องทำความเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง  หากหน่วยงานใดนำซีเอสอาร์มาใช้  นั้นก็สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานนั้นไม่มีคุณธรรมจริยธรรมในการบริหาร  ตอนแรกดิฉันเข้าใจว่าเป็นการบริหารแบบไม่แสวงหากำไร  ดังนั้นเราก็อาจจะบอกว่าเราต้องนำเรื่องซีเอสอาร์มาใช้แต่เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปแล้ว  ในฐานะที่เราเป็นข้าราชการเราต้องสำนึกว่าเราทำประโยชน์เพื่อสังคมมิใช่สังคมทำเพื่อเรา  ดังนั้นคำว่าซีเอสอาร์จึงควรเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวเรา  มากกว่าที่จะให้ใครมายัดเยียดซีเอสอาร์ให้กับเรา

คำสำคัญ (Tags): #corporate social responsibility (csr)
หมายเลขบันทึก: 270733เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2009 21:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

พี่ปูก็สนใจเรื่องซีเอสอาร์เหมือนกันจ๊ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท