คำพิพากษาชีวิต


"ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก ยังไงก็ตาย"

                                               

                                      

                                 "ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก ยังไงก็ตาย"

                เสียงที่เปล่งออกมาเบาๆ ราวกระซิบของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีสีหน้าแววตาสลดหดหู่นั้น  ทำให้หลายคนในห้องหยุดชะงัก นิ่งอยู่กับที่ ความรู้สึกยะเยือกเย็นเข้ามาเกาะกุมหัวใจ น่าแปลก....อากาศในยามพลบค่ำนี้ช่างร้อนอบอ้าวมากกว่าทุกวัน ราวกับดวงอาทิตย์ยังสาดแสงแรงกล้าทั้งๆที่ลับขอบฟ้าไปชั่วครู่แล้ว   ณ เวลานี้ ไม่มีไครอนาทรต่อเหงื่อร้อนที่ผุดพรายเต็มใบหน้า มากกว่าหัวใจที่วูบไหว เล็กลง...เล็กลง  เมื่อรับรู้และซึมซับเรื่องราวของเธอ

                ไม่กี่นาทีที่แล้ว..มะติน.. หญิงสาวอายุราว 25 ปี ร่างบาง ผิวขาว เจ้าของเสื้อยืดสีหม่นที่มีร่องรอยของคราบเปื้อนกระดำกระด่างปรากฏอยู่เป็นหย่อมๆ  ตะเข็บชายเสื้อหลุดร่อนไม่เป็นแนว  คีบรองเท้าแตะสีน้ำตาลที่มีคราบโคลนติดอยู่ กระจัดกระจายลามมาถึงน่องและชายผ้าถุง   เดินเข้ามาในห้อง ER อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  สองแขนโอบตวัดรอบสิ่งหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูสีชมพูซีด

                                                "พาลูกมาหาหมอค่ะ"

เธอพูดขึ้น เมื่อสังเกตได้ว่าทุกสายตากำลังมองไปที่เธออย่างสนใจ  น้องพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้าไปยืนใกล้ ๆ พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั้น เธอก้มหน้าลงไปใกล้อีกนิด ก่อนจะทะลึ่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและละล่ำละลักพูดราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาขณะนั้น

                                                "เอ๊ะ ! ทำไมตัวเล็กมาก?"

                                                "............"

                                                "อายุเท่าไหร่?   น้ำหนักเท่าไหร่?   แล้วเป็นอะไรมา?"

     มะติน ตอบคำถามที่ระรัวมานั้น กระท่อนกระแท่นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก นอกจากสิ่งที่พยายามจะบอกว่าวันนี้ลูกของเธอสำลักนมมาประมาณ  4 ครั้ง  เธอตอบปฏิเสธเมื่อคุณหมอบอกว่าจะส่งตัวลูกเธอไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางหลังจากที่ได้ตรวจร่างกายและปะติดปะต่อเรื่องราวของผู้ป่วยแล้ว

                "น้ำใส" คือชื่อของหนูน้อยคนนี้ เธอนอนหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ สะดุ้งตัวเล็กน้อย เมื่อหมอหนุ่มยื่นมือเข้าไปคลายห่อผ้าออกเบาๆ เมื่อเธอลืมตาขึ้น ภาพของเด็กน้อยยิ่งปรากฏชัดแก่สายตา ร่างเล็กๆ ร่างหนึ่ง แววตาเหม่อลอย มีศีรษะที่ขนาดโตไม่รับกับแขนและขาที่ลีบเล็กซึ่งเกร็งเหยียดออกไปอย่างไม่ตั้งใจทั้งสองข้าง ผิวหนังแห้ง มีรอยย่นทั้งร่าง ช่างแตกต่างกับวัยของเธอเหลือเกิน        มะตินบอกว่า น้องน้ำใสอายุประมาณ 2 เดือน มีน้ำหนัก 1 กิโลครึ่ง  

 เราคลายความสงสัยว่า   ทำไม?  มะติน ถึงไม่ยอมพาลูกไปรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่ทางโรงพยาบาลจะส่งต่อ เมื่อรู้ว่า เธอและครอบครัวเป็นชาวพม่า มีสัญชาติมอญ น้องน้ำใสไม่ได้ขึ้นทะเบียนต่างด้าวจึงไม่มีสิทธิการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น  ครอบครัวมะตินเดินทางลักลอบเข้าประเทศไทยมาตั้งแต่รุ่นแม่ มาปักหลักและทำงานรับจ้างที่อำเภอพะโต๊ะ เมื่อมะตินแต่งงานกับสามีชาวพม่าก็โยกย้ายไปทำงานรับจ้างเป็นคนงานก่อสร้างในอำเภอใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคใต้ตอนล่าง   และเป็นที่ที่ชีวิตน้อยๆของน้องน้ำใสได้ลืมตามองโลกใบนี้ 

         ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้..... มะตินเป็นชาวต่างชาติที่ทำงานโดยไร้กฎหมายรองรับ ไม่กล้าไปฝากท้องกับโรงพยาบาลของรัฐ

                                          "กลัวถูกตำรวจจับ"

น้ำเสียงสลดกอปรกับ หยดน้ำตาที่เอ่อท้นฉาบทับแววตาเศร้าหมอง

                ทำให้เธอเลือกที่จะฝากความหวัง จิตวิญญาณของคนเป็นแม่และชีวิตลูกของเธอ กับสถานพยาบาลใกล้บ้านแห่งหนึ่ง   และ..เธอได้คลอดน้องน้ำใสที่สถานพยาบาลแห่งนั้น ขณะที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือนกว่าๆ ด้วยน้ำหนัก เพียง 500 กรัม  พร้อมกับสภาพแรกคลอดที่ไม่ต้องบอกก็สามารถทราบได้ถึงความผิดปกติของร่างกาย หลังคลอดมะตินได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลแห่งนั้นสั้นๆ เพียงว่า

                               "ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก ยังไงก็ตาย"

       มโนภาพวูบไปถึงเจ้าตัวเล็กที่บ้าน นึกเทียบเคียงขึ้นในใจถึงความรู้สึกของมะติน       อา..........คำพิพากษาชีวิตน้อยๆชีวิตหนึ่งกับดวงใจที่แหลกสลายของคนเป็นแม่   ความคิดของฉันในวูบแรกที่เห็นน้องน้ำใส  ฉันรู้สึกว่าเธอตัวเล็กเหลือเกิน แต่ ณ ตอนนี้ กลับรู้สึกตรงกันข้าม และฉงนว่า มะตินดูแลลูกได้อย่างไร ? จากเด็กน้ำหนัก 500 กรัม สามารถเพิ่มเป็นหนึ่งกิโลครึ่งได้ภายในเวลาสองเดือน และลูกของเธอยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย ที่หมอและพยาบาลอย่างเราๆจะเลี้ยงเด็ก preterm 500 กรัม ให้รอด โดยปราศจากตู้อบ ยา และหมอเด็ก ...ช่างมหัศจรรย์

                                    "แล้วทำไม ถึงกลับมาอยู่ที่พะโต๊ะ ?"

                                    "อยู่ที่โน่น ไม่มีใครช่วยเลี้ยงลูก เลี้ยงคนเดียว ไม่ได้ทำงาน ไม่มีเงิน"

                                    "แล้วอยู่ที่นี่ ใครช่วยเลี้ยงลูกให้ ? "

                                    "ให้ป้าเขาช่วยดูตอนไปตัดยาง "

                                    "จะไม่ได้ตัดยาง ถ้าคืนนี้ ต้องนอนที่นี่ "

      มะตินพูดพลางยกมือข้างหนึ่งคลายตัวหนีบผมสีเขียวทึมๆออก ก่อนจะรวบเส้นผมสีดำและหนีบมันกลับไปใหม่ให้แน่นขึ้น   นี่คือ อีกหนึ่งเหตุผลที่มะตินยกขึ้นมาอ้างเมื่อหมอจะให้น้องน้ำใสนอนดูอาการที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะหมายว่า เธอแร้นแค้นและไม่พร้อมที่จะให้น้องน้ำใสนอน Admit ที่โรงพยาบาลในวันนี้ ภาระที่บ้านอีกมากมาย และคืนนี้เธอต้องไปช่วยสามีรับจ้างกรีดยางหาเลี้ยงชีพอีกด้วย

                คุณหมอเกลี้ยกล่อมมะตินพักครู่ เพราะยังไม่วางใจที่จะให้ น้องน้ำใสกลับบ้าน จนมะตินยอมรับในเหตุและผล ตัดสินใจให้ลูกนอนสังเกตอาการสักหนึ่งคืน

                ก่อนที่ชายเสื้อกาวน์สีขาวจะสะบัดพ้นขอบประตูห้อง ER และผู้เป็นเจ้าของได้ก้าวเท้ายาวๆจากไป   ก่อนที่ภายในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำจะว่างเปล่า เขาหยุดชะงักและหันกลับมามองหน้ามะติน   อดที่จะถามไม่ได้ว่า

                                " วันนี้....กินอะไรมาหรือยัง"

       แบงค์สีแดงสองใบถูกยื่นมาตรงหน้าเมื่อมะตินสั่นศีรษะแทนคำตอบ ไม่มีคำพูดใดนอกจากแววตาที่แสดงถึงความซาบซึ้งและตื้นตัน ในความเห็นอกเห็นใจและการช่วยเหลือที่หมอผู้ใจดีได้หยิบยื่นให้

                                "เอาไว้ใช้นะครับ"

                                "น้อง.. บอกโรงครัวให้ทำข้าวเผื่อแม่ทุกมื้อด้วยนะครับ"

     เป็นที่รู้กันดีว่า..... นอกจากโรงครัวของโรงพยาบาลแล้ว ที่พึ่งอื่นสำหรับที่ผู้ป่วยหรือญาติจะหาซื้ออาหารมาทานหากันไม่ได้ง่ายเลย หรือเกือบจะไม่มีให้ซื้อเลยทีเดียวในยามค่ำของที่นี่

        เรื่องของน้องน้ำใสกลายเป็นประเด็นส่งต่อในเช้าวันต่อมา เมื่อเธออาการดีขึ้น   ไม่มีการสำลักนมซ้ำ มะตินขอกลับบ้านและคุณหมอก็อนุญาต มีการประสานงานต่อไปถึงทีมเยี่ยมบ้านเพื่อการวางแผนดูแลต่อเนื่อง รวมทั้งการให้น้องน้ำใสได้รับวัคซีนแรกคลอดด้วย

                                     "ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก ยังไงก็ตาย"

                ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ฉันคาดว่าคนพูดอาจจะไม่ตั้งใจหรือพูดไปตามการคาดเดา  แต่มันรุนแรงและบาดลึกเข้าไปในหัวใจของคนฟังทุกครั้งที่ได้ยิน มันทำให้ฉันปรับมุมมองของตัวเองและถอยออกมายืนนอกจุดนอก บทบาทที่เป็นพยาบาลมารับฟัง อนึ่งเป็นคนไข้หรือญาติ มาซึมซับประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผู้ให้บริการอย่างเรา ๆ ได้ส่งมอบออกไป มันอาจเป็นสายลมแผ่วเบาที่อบอุ่น คลายความทุกข์ร้อน หรืออาจเป็นพายุที่โหมกระหน่ำ ซ้ำเติมความโหดร้าย เคราะห์กรรมของชีวิต  ส่วนหนึ่งฉันคิดว่าอยู่ที่เราจะกำหนดให้มันเป็นไป และสุดท้าย คือ อนุภาพแห่งความรัก เหมือนกับที่มะตินได้ทุ่มเทการดูแลเอาใจใส่เลี้ยงดูน้องน้ำใสเป็นอย่างดี จนสามารถผ่านพ้นคืนวันเหล่านั้นมาได้  ฉันจึงไม่อาจปฏิเสธและพร้อมจะยึดมั่นในแนวทางการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจและความรัก......ต่อไป

 

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                     เล่าเรื่อง(ชิ้นแรก)โดย......Sha-อัจ

                                                                                                   อัจฉรา  บุญช่วย 

                                                                                 พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลพะโต๊ะ

 

 ขอขอบพระคุณ

ขอบพระคุณ อาจารย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์  ผู้สร้างมือใหม่หัดเขียนและประสิทธิประสาทวิชาให้

ขอขอบคุณ พรพ.และ โครงการ Narrative Medicine อาจารย์อนุวัฒน์, อาจารย์แม่ต้อย, พี่ๆน้องๆวิทยากรประจำกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่น Narra...ทุกๆท่านนะคะ

และ...สุดท้าย...

ขอขอบคุณ  ต้นเรื่อง..ดี.ดี.....คุณหมอพันธุ์เชษฐ์  บุญช่วย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพะโต๊ะ...

หมายเลขบันทึก: 270026เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2009 14:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (26)

ทุกคนไม่สามารถเลือกเกิดได้ ไม่ว่าเค้าจะเกิดมาเป็นยังไง

ล้วนมีความเป็นมนุษย์เหมือนกันทุกคน

เพราะฉะนั้นจะต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของเค้า

อย่าเพิ่งตัดสิ้นพิพากษาความเป็นมนุษย์ของเค้า

โดยไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือ

ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงช่วยได้ก็ช่วยเค้าไป

อย่างน้อยก็เป็นเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเป็นแม่ได้ต่อสู้ต่อไป

โรงพยาบาลพะโต๊ะถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลเล็กๆ

แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

มีหัวใจความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม

ดิฉันในฐานะพยาบาลคนหนึ่งในโรงพยาบาลพะโต๊ะ

ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่ทำดีเพื่อสังคมทุกคน

และขอให้โรงพยาบาลพะโต๊ะเป็นโรงพยาบาลคุณภาพ

ที่เป็นที่พึ่งพาให้แก่ชาวพะโต๊ะต่อไป

สู้ๆค่ะ....หมอก๊อบและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคน

ขอให้ผ่าน HA ขั้น 3 นะค่ะ

เป็นกำลังใจให้เสมอขอให้อัจมีความสุขกับการทำงานที่รัก ทุกอย่างทุกสิ่งไม่มีอะไรเกินความตั้งใจความพยายามของเราจำได้ว่ามีเพื่อนเราเคยบอกไว้ว่าไม่มีอะไรที่นักศึกษาพยาบาลทำไม่ได้ ยกเว้นข้อสอบ(ฮ่าๆๆๆๆ)ขอเพียงแต่ว่าเรามีจิตใจที่ดีเห็นอกเห็นใจคนที่ด้อยกว่าช่วยเขาตามความสามารถที่ช่วยได้ก็ถือว่าดีที่สุดที่ได้เกิดมาร่วมโลกเดียวกันชีวิตเราไม่ยืนยาวนักถ้ามีใครสักคนที่เขาจะจดจำเราในสิ่งที่ดีๆ มีความสุขความหวังขึ้นมาบ้างก็คุ้มค่าแล้วล่ะ เราอาจไม่สามารถช่วยได้ทุกคนแต่ถ้าเราหลายๆคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็บรรเทาความทุกข์ใครๆได้มากมายหลายคนเช่นกัน

สวัสดีคะ

น้อง SHA อัจ คนสวย

เขียนเก่งมากๆคะ

เรื่องนี้เอง ที่แม่ต้อยนึกตั้งนานว่าใครน้า ช่างเขียนได้ งดงามเช่นนี้

เขียนอีกนะคะ

จะมาอ่านคะ

อ๋อ....ลงพิมพ์แล้ว เรื่องนี้

สุดยอดเลยค่ะ

ดีใจจังค่ะ...

อาจารย์แม่ต้อย กะ อาจารย์พอลล่า มาอ่านเป็นกำลังใจให้

ขอบคุณมากกกกกกกกกกกกก นะคะ

ขอบคุณน้อง NUR 21 กะ รัตน์เพื่อน LOVEสุดสุดเช่นกัน มุ่งมั่นทำดีกันต่อไปน้อง!

ยังไง ๆ ก็ช่วยกันเม้นท์และติดตามกันนะคะ

จะ "ปล้ำ"(ภาษาที่บ้านหมายถึง พยายามค่ะ)เขียนและเล่าเรื่องราวดี...ดี...ค่ะ

ชื่นชมนะ เขียนดีมาก และที่เขียนออกมาดีย่อมมาจากจิตใจที่คิดดี ทำดี เลยเขียนออกมาดี เหมือนนิยายแต่ทำให้เดินตาม อ่านตามจนจบ ขอขอบคุณที่ทำดี และจงแสวงหาสิ่งที่ดี ทำต่อไป ขอบคุณแบงก์ร้อย 2 ใบที่หยิบยื่นด้วยใจจากมือหมอ

ใช่แล้วค่ะ คุณสนิท..

แต่ คนที่คิดดี...ทำดี..อาจจะเขียนได้ดีน้อยกว่าความเป็นคนดีก็ได้นะคะ

เพราะ เรายังสามารถทำดีได้ทุกๆวัน..ไม่สิ้นสุดค่ะ

ขอเป็นกำลังใจเช่นกัน ....และ.........มาช่วยกันเขียนเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลของเราด้วยกันนะคะ

  • แวะมาเยี่ยมและชื่นชมเรื่องเล่าดีดี... ครับพี่อัจ
  • ผมก็ศิษย์หมอโกมาตรเหมือนกันครับ แต่ยังเขียนเรื่องดีดีน่าอ่านแบบนี้ อย่างที่พี่อัจเขียนไม่ได้เลย อิอิ...
  • -----------------------------------------------
  • น้องจะมานั่งรอ อ่านเรื่องเล่าดีดี ที่พี่อัจ จะ "ปล้ำ" เขียน ให้พวกเราได้อ่านและซึมซับอย่างซาบซึ้งกันต่อไปครับ
  • ขอบคุณครับ

ดีจ้า....น้องฮอส

อ้าวลูกศิษย์อาจารย์โกมาตรหรือนี่...ดีจัง

พี่อัจได้คนช่วยเม้นท์งานเขียนแล้ว ..อยู่ใกล้แถวนี้เอง

มาเล่าเรื่องชุมชน..หรือเรื่องดี..ดี..ให้ฟัง..ให้อ่านกันบ้างนะคะ

ออกจะเยอะแยะไป...อิอิ

อ่านแล้วรู้สึกภูมิใจจังเลยที่รพ.พะโต๊ะมีทีมคุณภาพที่ดีอย่างนี้

โดนเฉพาะท่านผอ. ท่านสนใจในรายละเอียดของผู้ป่วยทุกเรื่อง ผู้ป่วย/ญาติจะมีเงินทานข้าวหรือเปล่า เขาจะมีรถกลับบ้านไหม! เขารอนานไหม! เขาร้อนไหม! จะมีใครสักกี่คนที่บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ได้ขนาดนี้ อยากให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดูตัวอย่างท่านนะคะ ปลื้มใจจังเลย

ดีค่ะ...ป้าอ้อน

หนึ่งในนั้นที่มี Humanized health care

ก็ป้าอ้อนงัยคะ!!!!!!!!

บ่อยครั้ง...ที่แอบเห็นป้าอ้อนบริการด้วยใจ..ซาบซึ้ง..ซาบซึ้ง

และ...อยากให้น้องๆทุกคน.เลียนแบบป้าอ้อน..

ไม่หวงใช่มั้ยค่ะ....อิอิ

ว้าวๆๆๆๆๆ

อ่านแล้วซาบซึ้งใจมากๆเลยนะค่ะ

สมกับเป็นโรงพยาบาลคุณภาพจริงๆนะค่ะเนี่ย

ดูแลได้ครอบคลุม ไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา

คุณหมอก็น่ารักจริงๆๆนะค่ะ

สมกับที่เป็นที่รักของทุกๆคนค่ะ

ขอให้ รพ.พะโต๊ะผ่านสิ่งต่างๆๆไปได้ด้วยดีน่ะค่ะ

สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วจะแอบมาติดตามผลงานของพี่อัจอีกนะคร้า

D จ้า..nur25

ดีใจจัง..แต่ติดตามให้เห็นกันจะจะก็ด้าย..ไม่ต้องแอบ...คิคิ

แต่ไม่ใช่พี่อัจคนเดียวแล้วนะที่ต้องเล่าเรื่องอ่ะ

....everynur....ไม่ใช่เหรอจ๊ะ

ถ้า คิดไม่ออก บอกไม่ถูก รับเป็นที่ปรึกษาค่ะ

.....เรื่องเล่า เปลี่ยนโลกได้จ้า.........

สวัสดีครับพี่อัจ พึ่งเจอบล๊อกของพี่เลยแวะเข้ามาอ่าน เขียนเก่งมากเลยครับ อ่านแล้วรู้สึกดี...แล้วจะแวะมาอ่านอีกบ่อยๆครับ...อยากให้จนท.รพ.ท่านอื่นอ่านเลยขออนุญาตินำไว้หน้าเวปห้องคลอดด้วยนะครับ...

ด้วยความยินดีค่ะ น้องเร

ขอบคุณค่ะที่เข้ามาให้กำลังใจ กำลังลงเรื่องที่สองค่ะ

coming soon!!!!!!!!!

ได้อ่านแล้วเป็นความจริงที่ว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกที่จะทำอะไรต่าง ๆ ได้เอง เรื่องดี ๆ ในวันข้างหน้าก็เริ่มจากการทำเรื่องดี ดี ในวันนี้ การให้บริการคนเจ็บป่วยบางทีความเจ็บป่วยทางกายสำหรับบางคน เป็นเรื่องเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับสิ่งรบกวนภายในจิตใจที่ยาขนานไหนก็ไม่อาจเยียวยาได้เท่าความเข้าใจและมองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเขา ในฐานะคนวงการสุขภาพขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้เพื่อนเลิฟนะจ๊ะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ.......

สุดยอดเลยน้องอัจ พี่อ้อมขอโทษที่เข้ามาอ่านช้าไปนิด ( bloger มือใหม่หัดขับ )เข้ามาช้าไปนิด อัจทำได้จริงๆ พี่เชื่อว่าถ้าเราคิดดีทำดีชีวิตเราก็จะพบแต่สิ่งดีๆอย่างที่น้องอัจเอ็นดูเด็กน้อนคนนั้น

อาจารย์โกมาตรสร้างพวกเราให้โตขึ้นและเข้มแข็งขึ้นมากๆๆเลย ตอนแรกกลัวมากกับการอบรม Narative แต่ตอนนี้ถ้ามีอีกครั้งเราต้องรีบไปแน่ๆ จริงไม๊จ๊ะ แล้วคงจะได้เจอกันอีกนะคะน้องอัจ

คิดถึงมากเลยติ้ว..ที่รัก

ระยะทางที่ห่างไกล กะ ระยะเวลาที่ยาวนาน

ไม่ได้บั่นทอนความรักและผูกพันให้น้อยลงเลย..อิอิ

กลายเป็น the love letter ไปซะแย้ววว.

ขอบคุณมากที่มาให้กำลังใจ

ขอบอกว่า นี่เป็นเรื่องที่เราชอบทำมากกกกกกกก

พอๆกับทำให้คนไข้หลับเลยทีเดียว

ค่อยเจอกันนะ...สักวันหนึ่ง

ดีค่ะ..พี่อ้อม

ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาให้กำลังใจ

คิดเหมือนพี่อ้อมทุกอย่าง narrative เป็นเรื่องที่อยากรู้

และอยากไปอบรมมาก...จริงๆแล้ว ขอไปเองด้วยซ้ำนะ

แต่บวกกับความกลัวอย่างมากเหมือนกัน..ว่า..

จะทำได้ดีรึเปล่า

ตอนนี้ไม่กลัวว่าจะดีหรือไม่ดีแล้วค่ะ

เป็นความรัก+ชอบที่จะถ่ายทอดทำแล้วมีความสุขมากกกกกกกกกกกกก

จัดอบรมเมื่อไหร่ ก้อ อยากไปทุกรอบค่ะ

คิดถึงนะคะ

ความดีเปลี่ยนโลกได้จิงจิง

สวัสดีค่ะ คุณซี่อุ้ยเซียง

ขอคอนเฟิร์มด้วยคนคะ...อิอิ

ขอบคุณนะคะ

ขอโทษนะคะที่เข้ามาช้า เพราะมือใหม่หัดเม้นท์ อ่านแล้วซึ้งมาก อยากร้องให้ค่ะ สงสัยพี่อัจต้องเพิ่มตังค์ให้คุณหมอ แล้วล่ะ

มีแต่ขอตังค์เพิ่มค่ะ...น้องเก๋ อิอิ..

อ่านนานแล้วแต่ไม่ได้เม้นต์

ตอนได้ยินเรื่องก็เศร้านะ แต่พออ่านจากเรื่องเล่าแล้วร้องไห้เลย (แบบว่าบ่อน้ำตาตื่นอยู่แล้วด้วย วงเวียนชีวิตยังไม่เคยดูเลยแบบว่าสงสาร )

แต่หลังจากซาบซึ้งและสงสาร อยากให้กลับมาทบทวนคุณภาพการทำงานของเราด้วยแบบว่าเทียบกับมาตรฐานนะ ไม่งั้นเมื่ออาจารย์มาน้ำตาจะนองที่รพ.พะโต๊ะนะจ๊ะ

อ่านแล้วเศร้าหรือกลัวน้ำตานองค่ะ...น้องมด

หรือทั้งสองอย่าง อิอิ

ขอบคุณนะคะ

สวัสดีคะ

สุดยอดจริงๆคะ

แม่ต้อยมาให้กำลังใจ

เขียนอีกๆๆๆๆคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท