งบประมาณสมานฉันท์ สมประโยชน์ รัฐบาล-ฝ่ายค้าน


ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ที่กำกับดูแลกรมบัญชีกลางลงมาประสานงานกับ สส. ทั้งในซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน

งบประมาณสมานฉันท์ สมประโยชน์ รัฐบาล-ฝ่ายค้าน

การออกมาเปิดเผยว่า สส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลมีการทำข้อตกลงสงบศึกเพื่อให้มีการกระจายงบประมาณลงไปในพื้นที่อย่างทั่วถึง ทั้งในส่วน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 จำนวน 4 แสนล้านบาท บ่งชี้ว่าการต่อรองแบ่งเค้กงบประมาณเพื่อผสานประโยชน์ของทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่การออกมาสารภาพของ วรศุลี สุวรรณปริสุทธิ์สส.มุกดาหาร พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ว่าได้รับมอบหมายจากนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รมช.คมนาคม ให้เป็นผู้ไปประสานและพูดคุยกับ สส. โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ว่า ถ้าอยากได้ถนนปลอดฝุ่นไปลงในพื้นที่ใด รวมถึงงบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ให้เสนอโครงการมาเช่นเดียวกับท่าทีของ วิทยา บุรณศิริ สส.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ยอมรับว่า ได้เป็นตัวแทนไปเจรจากับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนเสนอรายชื่อกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อขอคำตอบกรณีปัญหาการจัดสรรงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมทางหลวงชนบท ที่กระจุกตัวและไม่กระจายลงพื้นที่ของ สส.พรรคฝ่ายค้าน

แม้ดูจากคำให้สัมภาษณ์ของประธานวิปฝ่ายค้านแล้ว จะยังไม่ยอมรับว่าไปแบมือของบประมาณจากรัฐบาลจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝ่ายค้านจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยเม็ดเงินที่รัฐบาลมอบให้ในพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย  ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่างบประมาณที่ สส. ให้ความสนใจมากที่สุดคือ "งบประมาณการก่อสร้างถนน" แยกเป็นในส่วน พ.ร.ก.กู้เงิน ได้แก่ งบบำรุงรักษาทางหลวง 1.4 หมื่นล้านบาท ภายใต้กำกับของกรมทางหลวง และโครงการถนนไร้ฝุ่น 1.4 หมื่นล้านบาท รวมเป็นเงินกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ปรากฏว่างบประมาณของกรมทางหลวงชนบทนั้นได้ถึง 1.6 หมื่นล้านบาท

ทำไมโครงการด้านการก่อสร้างถนนถึงมีอิทธิพลกับ สส.ขนาดนี้

ต้องยอมรับว่าสัดส่วนของประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการถนนไร้ฝุ่นนี้คือ เกษตรกรซึ่งถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย แน่นอนโครงการนี้หากทำให้เป็นจริงได้ย่อมทำให้เกษตรกรได้รับความสะดวกสบายในการขนส่งสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร เพราะการคมนาคมที่ดีย่อมช่วยให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว และถ้าเกษตรกรมีความเป็นอยู่ดีมากเท่าไหร่ย่อมเป็นการเปิดโอกาสสร้างคะแนนความนิยมให้กับนักการเมืองมากขึ้นเท่านั้น

มองมาที่รัฐบาลตอนนี้ก็กำลังพยายามจะขยายฐานเสียงเข้าไปกุมหัวใจของเกษตรกรอยู่พอสมควร โดยเฉพาะในภาคอีสานซึ่งเป็นฐานเสียงของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะถ้าพรรคไหนจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ย่อมต้องอาศัยฐานเสียงจากภูมิภาคนี้ มาปูเป็นพรมแดงเพื่อกรุยทางเข้าสู่อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบกับมองเกมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ขณะนี้ จะเห็นได้ว่ากำลังใช้แนวทางประชานิยมและสารพัดโครงการที่รัฐบาลทักษิณเคยประสบความสำเร็จมาย้อนเกล็ดทักษิณอีกทีหนึ่ง เพื่อแย่งชิงและซื้อใจมวลชนคนรักทักษิณมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ทั้งหมดเพื่อเป็นการรองรับสำหรับการเลือกตั้งที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลอภิสิทธิ์เองถูกสบประมาทมาตลอดว่าเป็นรัฐบาลของคนรวย ขืนปล่อยให้เกิดกระแสนี้ต่อๆ ไปผลเสียจะตกอยู่ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เอง เกมรุกของรัฐบาลรอบนี้จึงเป็นการบีบให้ฝ่ายค้านต้อง "ถอย 1 ก้าว" ด้วยการบากหน้าไปของบประมาณจากรัฐบาลเพื่อให้มาลงพื้นที่ตัวเอง ด้วยเหตุผลที่เกรงว่าจะสูญเสียฐานเสียงไป และการปล่อยให้เสียมวลชนในส่วนนี้ย่อมเป็นการปิดโอกาสในการกลับมาเป็นรัฐบาลในอนาคต แต่เชื่อว่าลึก ๆ แล้วด้วยความเขี้ยวและความเก๋าทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ การเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านเข้ามาเจรจาต่อรองให้มีการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่นั้น ย่อมเป็นไปในลักษณะที่มีเงื่อนไขอย่างแน่นอน

เงื่อนไขที่น่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อต่อรองคือ คนเสื้อแดงในซีกพรรคเพื่อไทย โดยความเป็นไปได้ของข้อตกลงนั้นน่าจะเป็นในทำนองที่ว่า ถ้ารัฐบาลจัดงบประมาณให้ก็ต้องแลกกับการยุติการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง

รัฐบาลขยับก้าวแรกซื้อใจฝ่ายค้านแล้ว ด้วยการให้นายประจักษ์เข้ามาเป็นคีย์แมนในเรื่องนี้โดยให้ วรศุลี
ซึ่งเป็นคนของ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ที่กำกับดูแลกรมบัญชีกลางลงมาประสานงานกับ สส. ทั้งในซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน การขยับครั้งนี้ย่อมเป็นการการันตีได้ว่าถ้าไม่หักหลังกันเองเสียก่อน ปัญหาเรื่องการจัดงบประมาณย่อมไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะด้านหนึ่งรัฐบาลก็ไม่อยากไปพื้นที่อีสานโดยที่คนเสื้อแดงถือตีนตบมารอรับ และก็รู้ดีว่าฝ่ายค้านเองต้องการงบประมาณก้อนนี้เพื่อเอาลงไปรักษาฐานเสียงตัวเองเช่นกัน

เงื่อนไขนี้จะบรรลุผลสำเร็จได้แค่ไหน หากมองในเชิงทฤษฎีก็อาจยุติได้ในบางส่วน เพราะการตกลงกันระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล คือสัญญาลูกผู้ชายที่ต่างฝ่ายให้กันไว้  

ทว่าในทางปฏิบัติ การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงคงไม่วูบหายไปเลยเสียทีเดียว เพราะโครงสร้างของคนเสื้อแดงนั้นไม่ได้มีเฉพาะพรรคเพื่อไทยอย่างเดียว แต่ยังมีภาคส่วนอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย แต่ในภาพรวมน่าจะสรุปได้ว่า องคาพยพของคนเสื้อแดงคงไม่เคลื่อนไหวรุนแรงมากนัก เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวที่มีพรรคเพื่อไทยหนุนหลัง

สุดท้าย ปาหี่การเมืองฉากนี้กลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ใช่เพื่อไทย แต่เป็นเครือข่ายกลุ่มเนวินในนามพรรคภูมิใจไทย เพราะโครงการทางหลวงชนบทอยู่ในความดูแลกระทรวงคมนาคมที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่ ทำให้การตัดสินว่าจะให้พื้นที่ไหนกี่บาทกี่สตางค์ต้องมาจากเครือข่ายเนวินเท่านั้น ส่งผลให้เป็นโอกาสให้เนวินมีอาวุธในการห้ำหั่นพื้นที่สีแดงทักษิณและพลังดูด สส. มากขึ้น  พลานุภาพของเงินในครั้งนี้ ทำให้ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ประโยชน์กันทั่วหน้า เพียงแต่ว่าฝ่ายไหนจะได้มากหรือได้น้อยกว่าใครเท่านั้นเอง

โพสต์ทูเดย์ (คอลัมน์วิเคราะห์)

หมายเลขบันทึก: 269226เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2009 12:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน 2012 07:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท