จดหมายจากน้าถึงหลานฉบับที่ 1: 13 มิถุนายน 52 วันเปิดงานเทศกาลบินข้ามลวดหนาม


ผู้ ลี้ภัยเหล่านี้ไม่สามารถกลับบ้านได้ แม้ว่าสงครามจะสงบแล้วก็ตาม รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยต่างๆ เป็นคนของประเทศตนเอง เนื่องจากการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศนั้น จะต้องมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในค่าย จำนวนมาก ทำให้ไม่มีหลักฐานแสดงได้ว่าเป็นประชาชนของประเทศพม่า และรัฐบาลพม่าเองก็ไม่ยอมรับผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นมาใหม่ว่าเป็นพลเมืองของตน

จัดทำขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล บินข้ามลวดหนามตอน 2 เชียงใหม่


จดหมายจากน้าถึงหลาน  

ฉบับที่ 1: 13 มิถุนายน 52 วันเปิดงานเทศกาลบินข้ามลวดหนาม

เรา - ผู้ลี้ภัย ต่างคือเพื่อนมนุษย์บนผืนดินเดียวกัน  


 

ยัยหนู เด็กหญิงธิ๋ง ธิ๋ง และเด็กชายป่าไม้ จ๋า


ลองเงี่ยหูฟังดูซิ ! ได้ยินไหมเสียงปี่เขาควายที่โหยหวน เสียงฆ้องกบ เสียงพรึบพรับ พรึบพรับ ของจังหวะเท้าขบวนคนไม่ยอมจำนน วันนี้แล้วซินะ บทเพลงของแอ้โด๊ะฉิได้ถูกบรรเลงขึ้นกลางเมืองหลวงล้านนา พร้อม ๆ กับเรื่องเล่าของเขาและผองเพื่อนจะถูกถ่ายทอดจากแผ่นฟิล์มสู่สายตาทุกคู่ในงานนี้


พวกหนูยังจำเพื่อน ๆ ของแอ้โด๊ะฉิ ได้ไหม ?  ปีที่แล้วทีมงานต้องข้ามน้ำ ข้ามฟ้า ไปถึงฝั่งโน้น ไปนั่งฟังเด็ก ๆ เหล่านี้เล่าเรื่องราวชีวิต จนกลายมาเป็นมหากาพย์ชีวิตคนสองแผ่นดิน การต่อสู้ของคนตัวเล็ก ๆ จากดินแดนที่โลกหลงลืม แต่วันนี้เด็ก ๆเหล่านี้เพิ่งข้ามน้ำเมยมาลี้ภัยในประเทศไทย พวกเขากำลังหลบหนีภัยสงครามการสู้รบระหว่างกองทัพพม่าร่วมด้วยกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ(ดีเคบีเอ) กับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู)


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกจ๊ะ และก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ชะตากรรมชีวิตในเงื้อมือสงคราม เกิดขึ้นมานานแล้ว


                ที่ฝั่งโน้น ตะวันออก ประเทศพม่า: ทหารพม่ากำลังดำเนินการกวาดล้างไม่ให้ชาวบ้านที่ถูกเรียกว่า ชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลอยู่บ้านตนเอง ทหารพม่าจะบังคับให้ชาวบ้านเข้าไปอยู่ในพื้นที่จัดให้ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งเสบียงให้กับกองกำลังกู้ชาติกลุ่มต่างๆ รวมถึงลุกขึ้นมาต่อต้านโครงการพัฒนาที่กำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่ พวกเขาต้องละทิ้งไร่นา ไม่สามารถกลับไปที่อยู่ชุมชนเดิมหรือกลับไปทำการเกษตรได้อีกต่อไป ถ้าใครไม่ยอมไป หรือหนีไม่ทัน พวกเขาจะถูกทหารบังคับให้เป็นแรงงานในกองทัพ ทั้งหาบกระสุน เสบียง รวมทั้งทำหน้าที่เป็น "โล่มนุษย์" ยามมีการสู้รบกับกองกำลังกลุ่มต่างๆ ความกดดันและชีวิตที่ยากลำบากต่างๆ โถมทับมาสู่ชาวบ้านยาวนาน ความบีบคั้นที่เผชิญทุกวี่วัน ในที่สุดกลายเป็นระลอกคลื่นของชาวบ้านที่อพยพหนีออกนอกประเทศ เพื่อไปให้พ้นจากการถูกทำร้ายและเผชิญกับความลำบากที่ตนเองไม่ได้ก่อ

 


                ที่ฝั่งนี้ ตะวันตก ประเทศไทย : ชาวบ้านที่หลบหนีภัยสงครามเข้ามา จะถูกเรียกว่า ผู้ลี้ภัยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง คือ ผู้ลี้ภัยในค่าย และ อีกกลุ่ม คือ ผู้ลี้ภัยนอกค่าย ความต่างของชาวบ้าน 2 กลุ่มนี้คือ ถ้าเป็นชาวบ้านกะเหรี่ยงหรือกะเรนนี พวกเขาจะสามารถอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่รัฐบาลไทยจัดไว้ให้ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านไทใหญ่ ปะโอ จะเป็นกลุ่มที่รัฐบาลไทยไม่ยอมรับว่าเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยที่หลบหนีภัยสงครามเหมือนกับกลุ่มแรก จะสะกัดกั้น ผลักดันกลับ กดดันให้สภาพความเป็นอยู่มีความยากลำบาก ซึ่งผลักดันให้พวกเขาต้องกลายไปเป็นแรงงานข้ามชาติ ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้เช่นเดียวกัน

 


ค่ายผู้ลี้ภัยแห่งแรกในประเทศไทยถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2527 เมื่อมีผู้ลี้ภัยประมาณ 9,000 คนเข้ามาในประเทศไทย ในปัจจุบัน พฤษภาคม 2552 มีผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่าอย่างน้อย 116,478 คน (หญิง 57,524 ชาย 58,954) อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งตามชายแดนไทย-พม่า ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน (ค่ายกะเรนนี) ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี (ค่ายกะเหรี่ยง) นอกจากนี้ยังมีผู้ลี้ภัยอื่นๆ มากกว่า 200,000 คน เช่น ชาวไทใหญ่ ปะโอ โรฮิงญา กำลังอาศัยอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย

 


เนื่องจากพื้นที่ของค่ายผู้ลี้ภัยได้ถูกกำหนดอาณาเขตอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ความรุนแรงในประเทศพม่ายังเลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงมีผู้เดินทางขอลี้ภัยรายใหม่เดินทางมายังค่ายอยู่เสมอ ทำให้เกิดปัญหาสภาพบ้านเรือนที่แออัด เกิดการขาดแคลนน้ำ อาหาร ผู้ลี้ภัยบางคนที่เติบโตหรืออาศัยอยู่ในค่ายมายาวนาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของที่กดดัน ผลักดันให้เกิดปัญหาด้านสังคมติดตามมาบ่อยครั้ง เช่น การดื่มสุรา ยาเสพติด ความรุนแรงและอาชญากรรม แต่ปัญหาใหญ่สุด คือ ปัญหาด้านความคุ้มครองและความปลอดภัย ผู้หญิงและเด็กตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ซึ่งกลไกระบบความยุติธรรมในค่ายยังทำงานไม่เป็นผลพอที่จะคุ้มครองเหยื่อและดำเนินคดีเอาผิดต่อผู้กระทำผิดได้

 


นอกจากนั้นเมื่อผู้ลี้ภัยถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่เพียงเฉพาะในค่าย ทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านเครื่องอุปโภคจากภายนอก เช่น เชื้อเพลิงหุงต้ม เตาไฟ เสื้อผ้า ผ้าห่ม มุ้ง เสื่อ เป็นต้น ในปัจจุบันองค์กรพัฒนาเอกชน 20 องค์กร ซึ่งรวมตัวกันเป็น คณะกรรมการประสานงานองค์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทย (CCSDPT) ได้ให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม ภายใต้ข้อตกลงกับกระทรวงมหาดไทย

 


คนไทยโดยทั่วไปมักเข้าใจว่า รัฐบาลไทยจะต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการดูแลผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ผู้ลี้ภัยคือภาระ คือรายจ่ายที่คนไทยต้องร่วมแบกรับต้นทุนที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว CCSDPT และ UNHCR เป็นคนสนับสนุนงบประมาณในการดูแลผู้ลี้ภัย ประเทศไทยเป็นเพียงการให้พื้นที่ที่จำกัดในการพักพิงเพียงเท่านั้น ปีหนึ่งๆ องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยใช้เงินในการดูแลผู้ลี้ภัยในค่าย 9 แห่ง อย่างน้อย 2,000 ล้านบาท เงินที่องค์กรเหล่านี้นำมาใช้จ่ายมาจากการสนับสนุนของรัฐบาลในประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป

 


ที่แย่ไปกว่านั้น ! ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไม่สามารถกลับบ้านได้ แม้ว่าสงครามจะสงบแล้วก็ตาม รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยต่างๆ เป็นคนของประเทศตนเอง เนื่องจากการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศนั้น จะต้องมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในค่ายจำนวนมาก ทำให้ไม่มีหลักฐานแสดงได้ว่าเป็นประชาชนของประเทศพม่า และรัฐบาลพม่าเองก็ไม่ยอมรับผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นมาใหม่ว่าเป็นพลเมืองของตน

 


ที่น้าเล่ามา นี่เป็นแค่น้ำจิ้มนะคะ เรื่องเล่าชีวิตแบบนี้เล่ากี่วันก็ไม่จบสิ้น ตราบใดที่รัฐบาลพม่ายังใช้ความรุนแรงกระทำต่อชาวบ้าน ต่อประชาชนในประเทศตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 


ความลำบาก ความทุกข์ทรมาน ความไม่มั่งคงปลอดภัย ที่เกิดขึ้น และความตาย

 


ใครล่ะ ! จะกล้าใช้ชีวิตอยู่บ้านตนเอง


น้าป่าน

13 มิ.ย. 52

 

 

กำหนดการงานแต่ละวัน : http://www.friends-without-borders.org/news.htm

 

หมายเลขบันทึก: 267817เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2009 10:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน 2012 20:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท