เว็บศูนย์รวม "โยคะสารัตถะ" |
สำหรับผมอาสนะจึงไม่ใช่การหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ หรือไร้การเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง พูดให้ถึงที่สุด ตราบใดที่ชีวิตยังดำรงอยู่หรือสืบเนื่องต่อไป ตราบนั้นยังคงมีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะในการฝึกอาสนะหรือในกิจกรรมต่างๆ ในชีวิต
มีครูโยคะท่านหนึ่งบอกว่าสูรยนมัสการไม่ใช่อาสนะ คุณหมอคิดว่าอย่างไรครับ"
เย็นย่ำวันหนึ่งของเมื่อหกปีก่อน กัลยาณมิตรรุ่นพี่ที่สนิทกับผม ซึ่งชวนเพื่อนพ้องน้องพี่กลุ่มเล็กๆ มาแลกเปลี่ยนเรื่องการฝึกอาสนะกันมาระยะหนึ่งแล้ว ถามคำถามนี้หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอาสนะในวันนั้น
พลันที่ฟังคำถามจบ ผมคิดออกมาดังๆ ตั้งแต่ฝึกอาสนะมาผมไม่เคยนึกสงสัยว่าสูรยนมัสการเป็นอาสนะหรือไม่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมตอบคำถามด้วยการย้อนถามว่า มันขึ้นอยู่กับว่าเรา
ให้คำจำกัดความของอาสนะว่าอะไร และเพราะเหตุใดครูท่านนั้นจึงมองว่าสูรยนมัสการไม่ใช่อาสนะ
แกบอกว่าครูให้เหตุผลว่าสูรยนมัสการไม่ใช่อาสนะ เพราะอาสนะจะต้องนิ่ง ในขณะที่สูรยนมัสการจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
ผมก็เลยบอกว่า ถ้าคิดว่าอาสนะจะต้องเป็นการหยุดนิ่งอยู่ในท่วงท่า สูรยนมัสการก็ย่อมไม่ใช่อาสนะอย่างที่ครูว่า
จากนั้นผมจึงแลกเปลี่ยนมุมมองของตัวเองว่า เวลาเราค้างอยู่ในอาสนะ อาจดูเหมือนว่า เราหยุดนิ่งอยู่ในท่วงท่านั้นๆ ทว่าหากสำรวจให้ลึกลงไป ผมคิดว่ายังคงมีการเคลื่อนไหวอยู่นั่นเอง
อย่างน้อยๆ ก็ยังมีการหายใจเข้า-ออก ซึ่งหมายถึงว่าโครงสร้างร่างกายส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหายใจต้องขยับเขยื้อนไปตามจังหวะการหายใจ
ไม่นับการค่อยๆ เหยียดยืดร่างกายมากขึ้นในการหายใจรอบต่อไป เพื่อที่จะเข้าถึงท่วงท่าให้ลึกซึ้งขึ้น
อย่าว่าแต่จะก่อเกิดเป็นอาสนะหนึ่งได้ ใช่หรือไม่ว่าเราต้องเคลื่อนไหวร่างกายส่วนต่างๆ ที่จะทำให้ไปสู่อาสนะนั้นได้ เช่น จะทำอุตตานาสนะ1 เราจะต้องเริ่มจากการยืนตรง ยกแขนขึ้น จากนั้นจึงเหยียดยืดร่างกายด้านหลังโดยการก้มไปข้างหน้า
กระทั่งหลังจากค้างอยู่ในท่าก้มตัวนานเท่าที่ตั้งใจแล้ว ก็ต้องยืดตัวขึ้นกลับสู่ท่ายืนตรงอีกครั้ง
สำหรับผม อาสนะจึงไม่ใช่การหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ หรือไร้การเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง พูดให้ถึงที่สุด ตราบใดที่ชีวิตยังดำรงอยู่หรือสืบเนื่องต่อไป ตราบนั้นยังคงมีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะในการฝึกอาสนะหรือในกิจกรรมต่างๆ ในชีวิต
บางการคลื่อนไหวเป็นการเคลื่อนไหวของโครงสร้างภายนอกที่มองเห็นหรือรู้สึกได้ชัดเจน ในขณะที่บางการเคลื่อนไหวก็เป็นการเคลื่อนไหวภายในที่ละเอียด
อย่างเช่นในการฝึกอาสนะ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า มาจากการขับเคลื่อนของจิตใจที่ต้องการจะทำอาสนะ จากนั้นร่างกายจึงเคลื่อนไหวตามเจตจำนง พร้อมๆ ไปกับการหายใจที่สอดคล้องกับทิศทางการเหยียดยืดส่อาสนะนั้นๆ
เมื่อถึงอาสนะปลายทาง เราจึงนิ่งค้างอยู่ในท่วงท่านั้น ก่อนจะเคลื่อนไหวกลับสู่ท่าเริ่มต้นอีกครั้ง
พูดอีกอย่าง ผมคิดว่าอาสนะหาใช่ท่วงท่าสุดท้ายของอาสนะนั้นๆ หากเป็นกระบวนการหรือการกระทำแห่งการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง โดยมีการประสานสัมพันธ์กันของร่างกายทั้งภายในภายนอก ลมหายใจ และจิตใจ
หัวใจของการฝึกอาสนะจึงอยู่ที่การเคลื่อนไหวไปสู่ ดำรงอยู่ และออกจากอาสนะ โดยให้ร่างกาย ลมหายใจและจิตใจประสานกลมกลืนกัน
หรือจะบอกว่าทำให้เส้นใยแห่งร่างกาย ลมหายใจ และจิตใจ ควั่นกันเป็นเส้นด้ายที่ราบเรียบไปตลอดเส้นสายของอาสนะก็คงไม่ผิดนัก
ขอกลับมาที่ประเด็นที่ผมมองว่า อาสนะคือกระบวนการของการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องอีกที เวลาที่เรานิ่งค้างอยู่ในอาสนะ อาจกล่าวได้ว่าในระหว่างการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องนั้น ร่างกายอาจรั้งอยู่ในบางตำแหน่งแห่งที่ - นานกว่าการเข้าสู่และออกจากท่วงท่า จนดูราวกับว่าหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ทว่าที่จริงแล้วยังคงมีการเคลื่อนไหวอันละเอียดดำเนินอยู่ภายใน หรือจะบอกว่าในความนิ่งมีความเคลื่อนไหวก็คงไม่ผิดนัก
ในทำนองเดียวกัน ระหว่างที่เราเคลื่อนไหวไปสู่และออกจากอาสนะ หรือฝึกอาสนะในลักษณะของการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง เช่น หายใจเข้า(หรือออก)พร้อมกับเคลื่อนไหวไปสู่อาสนะ จากนั้นหายใจออก(หรือเข้า)พร้อมกับออกจากอาสนะนั้นกลับสู่ท่วงท่าเริ่มต้น โดยไม่ค้างอยู่ในอาสนะนั้น หรือเคลื่อนไหวจากอาสนะหนึ่งไปสู่อีกอาสนะหนึ่งอย่างต่อเนื่อง หากการเคลื่อนไหว ลมหายใจและจิตใจหลอมรวมหรือประสานกันอย่างกลมกลืน ก็อาจเรียกได้ว่าในความเคลื่อนไหวมีความมั่นคง หรือความนิ่ง - ในแง่ที่ร่างกาย ลมหายใจ และจิตใจยังคงเกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างแนบสนิท
ด้วยมุมมองอย่างที่กล่าวมา ผมจึงคิดว่าการทำสูรยนมัสการก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับการทำอาสนะ นั่นคือสูรยนมัสการก็คือกระบวนการหรือการกระทำแห่งการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ที่ถูกจุดประกายจากเจตจำนง และมีการประสานสัมพันธ์กับโครงสร้างทั้งภายนอกภายในและลมหายใจ
เพียงแต่ว่าในสูรยนมัสการ เราไม่รั้งอยู่ในอาสนะใดอาสนะหนึ่งเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างว่าในสูรยนมัสการ เราอาจต้องค้นหาและเข้าถึงความสงบนิ่งภายในท่ามกลางการเคลื่อนไหวของร่างกายภายนอก
ในขณะที่เวลาค้างอยู่ในอาสนะใดอาสนะหนึ่ง เราอาจค้นพบและเข้าถึงการเคลื่อนไหวภายในอันประณีต
แต่พูดก็พูดเถอะ ผมไม่เคยนึกสงสัยว่าสูรยนมัสการเป็นอาสนะหรือไม่ แม้จะถูกถามไถ่ด้วยคำถามเดียวกันนี้อีกมากกว่าหนึ่งครั้ง ผมก็ยังคงไม่ติดใจในประเด็นนี้อยู่นั่นเอง
ตอนที่ถูกถามเรื่องนี้ในคราวหลังๆ ผมกลับอดกังขาไม่ได้ว่า คำตอบสำหรับคำถามว่าสูรยนมัสการเป็นอาสนะหรือไม่ มันนำเราไปสู่อะไรกระนั้นหรือ
ใช่หรือไม่ว่า ต่อให้เราอยากรู้ว่าสูรยนมัสการเป็นอาสนะหรือไม่ และรู้ว่ามันเป็นอาสนะหรือไม่ ไม่ว่าจะจากมุมมองใดหรือจากคำจำกัดความของอาสนะแบบไหน ถึงที่สุดแล้ว เราควรฝึกสูรยนมัสการโดยให้มีการประสานกันอย่างกลมกลืนระหว่างร่างกาย ลมหายใจ และจิตใจ ซึ่งคือความหมายของโยคะอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นทิศทางอย่างเดียวกับการฝึกอาสนะที่ผู้ฝึกพึงมุ่งไปนั่นเอง
หมายเหตุ : ผมเขียนโยคะวิวาทะฉบับนี้เสร็จ ระหว่างอยู่บนเครื่องบินที่มุ่งสู่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต หากไม่นับช่วงที่เครื่องบินแล่นอย่างเอื่อยเฉื่อยบนรันเวย์ จนกระทั่งเร่งความเร็วถึงขีดสุดเพื่อทะยานขึ้นเหินฟ้า เกือบตลอดเส้นทางที่เครื่องบินลำที่ผมโดยสาร บินไปในน่านฟ้าอย่างราบเรียบประหนึ่งเส้นไหม (smooth as silk) สมดังคำขวัญของสายการบินสายนี้
พูดตามจริง หากไม่มองผ่านช่องหน้าต่างออกไปข้างนอกและเห็นม่านเมฆบางเบาที่ลอยผ่าน ผมแทบรู้สึกว่าเครื่องบินลอยนิ่งอยู่ในอากาศด้วยซ้ำ ทั้งที่เครื่องบินบินด้วยความเร็ว(ภาคพื้นดิน)มากกว่า ๙๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ณ ระดับความสูงราวสามหมื่นฟุต
ภายในเครื่องบินมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นตลอดเวลา ภาพยนตร์ที่ฉายอยู่บนจอ ผู้โดยสารพูดคุยกัน บางคนก็ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ แอร์โฮสเตสเดินบริการอาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ ทว่าเครื่องบินทั้งลำกลับเสมือนหนึ่งลอยนิ่งอยู่กลางเวิ้งฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป สีส้มสว่างเรืองรองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วง น้ำเงิน จนกระทั่งความมืดมิดเข้าคลี่คลุมบรรยากาศ
ได้มองเห็นและซึมซับอยู่กับฉากของธรรมชาติและปรากฏการณ์รอบตัว ทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับเรื่องของอาสนะและสูรยนมัสการที่ตัวเองครุ่นคิดและเขียนออกมา
เครื่องบินบินอย่างราบเรียบจนรู้สึกราวกับว่ามันลอยนิ่ง ทั้งที่มันยังคงเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูง ไม่นับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในตัวเครื่องตลอดเวลา ดูแล้วไม่ต่างกับการทำอาสนะที่เราพึงเข้าถึงความสงบนิ่งในท่ามกลางการเคลื่อนไหว
นึกไม่ถึงว่าเดินทางไปดูไบเป็นครั้งแรก ผมได้เห็นเครื่องบินทำวิมานาสนะกับตาและหัวใจ
1 อุตตานาสนะ มาจาก อุต แปลว่าเต็มที่ ตานะ แปลว่า เหยียดยืด และอาสนะ แปลว่า ท่วงท่า อุตตานาสนะจึงหมายถึงท่วงท่าที่ร่างกายเหยียดยืดอย่างเต็มที่ แต่ในการฝึกอาสนะ อุตตานาสนะจะใช้เรียกท่ายืนก้มตัว นอกจากนี้คำว่าอุตตานาสนะยังสามารถนำไปต่อท้ายคำอื่นๆ เพื่อแสดงนัยถึงการเหยียดยืดร่างกายอย่างเต็มที่ เช่น ปารศวอุตตานาสนะ ใช้เรียกท่ายืนก้มตัวที่เหยียดยืดร่างกายทีละข้าง เป็นต้น
ไม่มีความเห็น