อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ
ลูกศิษย์ของเรามักจะขยันแนะนำความรู้แก่ผู้ป่วย
ซึ่งเป็นจุดที่ดี แต่น่าเสียดายที่
เวลาอธิบายก็อธิบายโดยเอาความรู้ที่เรียนมาแจกจ่ายจากทุนความรู้ส่วนตัวและทักษะส่วนตัว
เต็มไปด้วยภาษาทางการแพทย์ แบบที่ชาวบ้านได้แต่พยักหน้า เช่น
แนะนำผู้ป่วยความดันโลหิตสูงก็จะแนะนำว่าอย่างกินเค็ม
บางคนลงลึกถึงบอกว่าเกลือไม่เกิน 2,400
มิลลิกรัมต่อวัน แต่พอถามว่ามันคือกี่ช้อนโต๊ะ
ลูกศิษย์เราก็อ้อมแอ้มบอกไม่ได้ว่ามันคือ 1 หรือ 2
ช้อนโต๊ะ
หรือผู้ป่วยเบาหวานมาก็พร่ำบอกว่า อย่ากินข้าว ข้าวเหนียวมาก
อย่ากินขนมหวาน น้ำตาล ผู้ป่วยก็จนปัญญาเมื่ออดมากก็หิวมาก
เลยกินกล้วยน้ำว้าวันละหวี ก็จบกัน
บางเรื่องซะอีก
ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจจริง รณรงค์ให้อ่านฉลากผลิตภัณฑ์
แต่ก็ไม่เคยเข้าใจจริงๆเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ที่ลูกศิษย์เราถือเป็นอาหารหลักอมตะนิรันกาล
พอถามไปว่าไม่ควรกินมากนั้นกลัวอะไรกัน
ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่ามีผงชูรสเยอะแต่แท้จริงแล้ว
ผงชูรสไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอย่างเดียวในบะหมี่สำเร็จรูป
แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ มีเกลือสูงประมาณ 1800-2,400 มิลลิกรัม หมายความว่าในปริมาณ 1 ซอง
เท่ากับเกลือที่เราควรได้รับในเกือบ 1 วัน นอกจากนั้นยังมีแป้ง
กับน้ำมันปาล์ม แถมที่คนไทยพึ่งจะมีสิทธิรู้ ก็คือ
เครื่องปรุงในซองฉายรังสีด้วยซ้ำ
อย.จะออกมาอธิบายว่าไม่เกินมาตรฐานcodec
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังน่าเจ็บใจที่
เวลาขายยุโรปกลับพิมพ์บอกไว้เรียบร้อย เรียกว่า
คนไทยเป็นชนชั้นทนทานกว่าต่างชาติ ไม่มีสิทธิรับรู้หรือเลือกได้
เหมือนคนชาติอื่นๆ
ต่อไป ผมนำคำ 8
คำ มาให้พิจารณา ซึ่งเราสรุปแล้วว่าลูกศิษย์เราเข้าใจไม่ตรง
คิดกันคนละแบบ ผมมีตัวอย่างเรื่องสมปอง
วันหนึ่งคุณครูให้สมปองชี้ประเทศอเมริกาบนแผนที่โลก
สมปองก็มาชี้ได้ถูกต้อง
จากนั้นคุณครูก็สอนวิชาโลกของเราแล้วเรียกสุมาลีมาถามว่า
“ใครเป็นคนค้นพบอเมริกา” สุมาลีตอบว่า “สมปอง” สรุปคือไม่รู้ว่าคำถามไม่ตรงคำตอบหรือคำตอบไม่ตรงคำถาม
เช่นเดียวกับลูกศิษย์ของเราที่ตอนนี้เป็น “สมปอง” กันทั้งประเทศ
คำว่าองค์รวมเป็นคนละความหมาย empowerment
เป็นคนละแบบ มีแต่คำและกระบวนการขาดเข้าใจ
และความลึกซึ้งไปอย่างน่าเสียดาย
ยกตัวอย่างพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ถอดความมาของในหลวงซึ่งน่าสนใจมาก
คือ “เศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้นไม่ได้อยู่ที่พื้นที่ครบ
ไม่ได้แปลว่าต้องมัธยัสถ์กันแบบอดอยาก”
แต่ลูกศิษย์ของเราเป็นโรคคลั่งความครอบคลุมพื้นที่ 100%
ในความเป็นจริงมีความครบถ้วนอยู่ 3 ส่วน แต่เด็กเราทำถอยหลัง คือ
ครบถ้วนในหลักคิด ครบถ้วนในกิจกรรมและครบถ้วนในพื้นที่
จะโทษแกก็คงไม่ถูก เพราะนโยบาย
การรณรงค์และตัวชี้วัดมันเป็นอย่างนี้ไปหมด
กระทรวงเรามักสั่งการให้ครบถ้วนในพื้นที่ก่อน แล้วตามมาด้วยกิจกรรม
สร้างตุ๊กตา แล้วหาพื้นที่ตัวอย่าง สร้างต้นแบบ ครูก. ครูข. จนถึง ฮ
นกฮูก แต่ละเลยหลักคิด นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหา
ตัวชี้วัดจึงไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น อัตราการออกกำลังกาย ชมรมครบ
100% ที่ออกกำลังกาย แต่ถามว่ารู้หรือไม่ว่าใครควรออกกำลังกายแบบไหน
คำตอบคือไม่รู้ คนทุกคนไปแอโรบิคกันหมด ผลออกมาก็คือ บางคนปวดข้อ
ปวดหลัง ปวดเอว โรคเก๊าท์กำเริบ ต้องมารพ.
เพราะคนเป็นโรคบางอย่างไม่ควรเต้นแอโรบิค
เราในฐานะผู้ผลิตบุคลากรสาธารณสุขจะทำอย่างไร
นี่คือเรื่องจริงที่โรงเรียนแพทย์กำลังประสบปัญหา
สิทธิ
คำแรกที่ผมยกมาคือ “สิทธิ”
ถ้าถามว่าสิทธิมีกี่ข้อ ส่วนใหญ่จะตอบว่า 10 ข้อ ซึ่งจริง ๆ
แล้ว 10 ข้อนั้นคือเฉพาะสิทธิผู้ป่วย แต่ยังมีสิทธิอื่น ๆ อีกมากมาย
ส่วนใหญ่เราจะคิดถึงสิทธิข้าราชการและหน้าที่ของประชาชนเป็นหลัก
ส่วนทางด้านประชาชนคิดถึงสิทธิประชาชน กับหน้าที่ของข้าราชการ
คนสองฝ่ายจึงมีโอกาสปะทะกันที่ จุดต่างๆในสถานบริการอยู่ตลอดเวลา เช่น
ผู้ป่วยมาหาหมอ เจ้าหน้าที่ถามว่ามีสิทธิอะไรบ้าง มีบัตรอะไรบ้าง
ผู้ป่วยตอบว่ามี แต่ลืมเอาบัตรมา
เจ้าหน้าที่ก็เลยให้กลับไปเอาบัตรมาก่อนเพราะมองว่าเป็นหน้าที่ผู้ป่วยที่ต้องเอาบัตรมา
ทำให้ประชาชนคิดว่าไม่มีบัตร คือไม่มีสิทธิ ซึ่งมันไม่ใช่
บัตรต่างๆไม่ใช่ข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญของการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ที่เล่าให้ฟังเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่า อยากให้สอนให้ลูกศิษย์
อนุโลมเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ต้องการนำเสนอว่า
ช่องว่างระหว่างข้าราชการกับประชาชนยังมีอยู่อีกมาก
ในเมื่อเรามีความต้องการให้ประชาชนทำสิ่งที่เราคิดว่าต้องทำ
ต้องสำรวจความคิดนั้นอย่างรอบคอบ พยายามลดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นลง
เพราะคนมาหาเราที่รพ.เป็นคนป่วย
ถ้ามีอะไรจำเป็นและเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่เข้าใจ
เรามีหน้าที่ที่จะให้ข้อมูลที่ชัดเจนทุกครั้งไป
เช่นในกรณีการนำบัตรนั้นบัตรนี้มาเวลามารับบริการ
ผู้ป่วยควรได้รับข้อมูลว่า การมีบัตรจะเอื้อประโยชน์อะไร
รพ.จะใช้ประโยชน์ของการได้ข้อมูลเลขที่บัตรหรือชื่อผู้ป่วยอย่างไร
นั่นจึงจะเป็นส่วนหนึ่งของการตระหนักถึงหน้าที่ของเราต่อประชาชนได้อย่างไร
ประเด็นนี้น่าจะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของสถานศึกษา
ในการให้การศึกษาแก่ว่าที่บุคลากรสาธารณสุขเช่นกัน
แม้อาจเป็นเรื่องที่ยากอยู่บ้าง
ในหลาย ๆ
รพ.ที่มีห้องน้ำสำหรับผู้พิการแต่คนทั่วไปเข้าไปใช้
เจ้าหน้าที่คิดว่าทำอย่างไรให้คนที่ไม่ใช่กลุ่มผู้พิการเข้าไปใช้
บางคนหงุดหงิดจนอยากจะเอาป้ายไปติดไว้ว่า “เข้าได้ถ้าท่านคิดว่าพิการพอ”
ทำไมเขาจึงคิดเช่นนั้น ทำไมจึงมีความต้องการที่จะแก้ปัญหา ณ
จุดที่เกิดเหตุ แทนที่จะคิดว่า ทำไม
ห้องน้ำจึงมีไม่พอจนคนต้องหนีไปเข้าห้องน้ำผู้พิการ
หรือเป็นเพราะห้องน้ำที่มีอยู่สกปรกจนไม่กล้าเข้าเลยต้องแอบไปเข้าห้องน้ำผู้พิการที่สะอาดกว่าเพราะมีคนเข้าน้อย
หรืออื่นๆ นอกจากยังมีอีกหลายกรณี เช่น ภรรยาจะคลอดลูก
สามีจะขอเข้าห้องคลอดด้วยได้หรือไม่ ถ้าเป็นรพ.ชุมชนจะอาจบอกว่า
“ได้”
แต่ถ้าเป็นรพ.มหาวิทยาลัยมักจะตอบว่า “ไม่ได้”
ในส่วนที่ตอบว่าได้จะมีข้อกำหนด ข้อพึงปฏิบัติ
มีข้อห้ามทุกอย่างเยอะมาก
จนสามีอาจจะบอกว่าไม่เข้าก็ได้ถ้ายุ่งยากมากขนาดนั้น
แต่ถ้าเปลี่ยนโจทย์ว่า สามีมีสิทธิที่จะเข้าได้
รพ.จะทำอย่างไรที่จะทำให้สามีสามารถเข้ามาได้โดยไม่เป็นปัญหาด้านการปลอดเชื้อ
ความไม่ปลอดภัยต่อตัวผู้ป่วย หรือความไม่สะดวกในการบริการ
นี่ก็จะกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งทันที
อีกกรณีหนึ่งคือ
เด็กกำลังจะเสียชีวิต เรากำลังช่วยชีวิตอยู่ในห้องฉุกเฉิน แม่ของเด็ก
ขอเข้าไปดู จะอนุญาตหรือไม่ ส่วนใหญ่เราจะไม่ยอมโดยมีคำอธิบายว่า
ไม่น่าดู อุจาดตา ทำร้ายจิตใจ แต่จริง ๆ แล้วเรากลัวอะไรกันแน่
หรือ หลายอย่างที่จะปรากฏอยู่ในห้องฉุกเฉินนั้นเราทำอย่างเคยชิน
จึงอาจมีกิริยาการกระทำหลายอย่างที่อาจจะทำในสิ่งที่ญาติผู้ป่วยไม่เข้าใจ
ไม่พอใจ เราจะต้องเข้าใจว่า เราเจอเหตุฉุกเฉินทุกวัน แต่นี่คือ
ลูกของเขา ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นขณะยังหายใจ
ประเด็นนี้คงมีหลากหลายมุมมอง
คงไม่ได้คาดคั้นว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดควร
แต่เสนอเป็นประเด็นให้พิจารณาเท่านั้น
ชุมชน
คำที่สองคือ คำว่า “ชุมชน” คำนี้มีความสับสนกันมาก
โดยเฉพาะรร.แพทย์ของมหาวิทยาลัยจะได้ยินเสมอว่า
นอกจากชุมชนที่เป็นพื้นที่ที่เป็น 30บาทรักษาทุกโรคแล้วรพ.ไม่มีชุมชนอื่นๆ แต่จริง ๆ
แล้วอาจารย์เองต้องเข้าและสามารถบอกลูกศิษย์ได้ว่า คำว่า “ชุมชน” จริง ๆ ไม่ใช่แค่เขต
UC เขตภูมิศาสตร์
มันให้ความหมายที่เล็กมากกว่าที่ควรมาก “ชุมชน”
ที่แท้จริงไม่ใช่เพียงเขตภูมิศาสตร์ แต่มันใหญ่กว่ามาก
ฝรั่งบางค่ายบอกว่า “คนสองคนขึ้นไปที่มีปฏิสัมพันธ์เรื่องหนึ่งที่สนใจร่วมกันอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
ถือว่าความเป็นชุมชนเกิดขึ้นแล้ว”
ถามว่าทำไมต้องพูดเรื่องนี้
เพราะถ้าหลักคิดไม่ชัดเจนจะเจอกับปัญหาใหญ่อีกหลายประเด็น เช่น
ถ้าถามว่าในรพ.งานสร้างเสริมสุขภาพเป็นงานของใคร
เกือบทุกฝ่ายมักจะบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน
เจ้าหน้าที่บริหารบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ
เจ้าหน้าที่การเงินบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ
จะโยนกันว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ
ฝ่ายเวชกรรมชุมชนและครอบครัว เวชกรรมสังคม หรือ
ภาควิชาเวชศาตร์ชุมชน หรือ งาน30บาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค อันที่จริงแล้ว
เมื่อเราพอจะเข้าใจหลักคิดการสร้างเสริมสุขภาพ ดังข้างต้นอยู่บ้างแล้ว
เราจะพอนึกออกว่าเราต้องมีชัดเจนว่า งานสร้างเสริมสุขภาพนั้น
แท้จริงแล้วเป็นงานของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนรวมทั้งผู้ที่อยู่ในงานบริหาร/สนับสนุน
ขอยกตัวอย่างให้ดู บทสนทนาของสมศรี (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) และ
สมชาย (พนักงานขับรถ) ข้างล่างนี้
สถานการณ์ที่หนึ่ง
สมศรี (หัวหน้าฝ่ายบริหาร): นี่สมชาย
พี่ดูรายละเอียดการบำรุงรักษารถแล้วนะ
พี่ว่าถึงเวลาเปลี่ยน
ยางรถrefer แล้ว
เธอต้องรีบดำเนินการนะเดี๋ยวจะมีอันตราย
สมชาย (คนขับรถ): ครับ ผมจะรีบไปทำครับ
ต้องขอโทษจริงๆครับ ต้องให้พี่ต้องเตือน
มันหน้าที่ผม แท้ๆ
สถานการณ์ที่สอง
สมชาย (คนขับรถ): พี่สมศรีครับ
เมื่อไรจะอนุญาตให้เปลี่ยนยางรถrefer ครับ
ผมเสนอเรื่องขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ก็วิ่งเกือบ8หมื่นกิโลแล้ว เดี๋ยวมันจะระเบิด เกิดอันตรายครับ
สมศรี (หัวหน้าฝ่ายบริหาร):
ปีนี้งบประมาณหมดแล้ว จะใช้เงินบำรุงก็เสียดาย
สมชายก็รู้นะเงินหา มายาก
เดี๋ยวไม่มีจ่ายโอที เธอจะลำบากนะ (รอให้รั่วสักครั้งสองครั้งก่อน
จำเป็นจริงๆแล้ว ค่อยเปลี่ยน?)
สมชาย (คนขับรถ): เอางั้นเหรอครับ
แล้วแต่พี่ครับ พี่เป็นเจ้านาย
(ผมจะใช้รถคันนี้บริการพี่ตลอด
เลยก็แล้วกันครับ?)
ก็คงเป็นเรื่องที่อ่านแล้วไม่ต้องหาข้อสรุป
ปกติแล้วเราจะไม่ค่อยได้ยินแบบประโยคแรกแต่เราจะชินกับประโยคแบบที่ 2
มากกว่า
เพราะฉะนั้นต้องพยายามบอกเจ้าหน้าที่ว่างานส่งเสริมสุขภาพไม่ใช่แค่งานการบริการผู้ป่วย
แต่ทุกคนที่มีปฏิสัมพันธ์หรือได้รับอะไรจากหน้าที่ซึ่งเป็นการบริการของเรา
คือ ชุมชนของเราทั้งนั้น
คนกินข้าวทั้งรพ.ไม่ว่าผู้ป่วยหรือเจ้าหน้าที่
ก็เป็นชุมชนของคนโรงครัว หรือคนสวนกำลังตัดต้นไม้ เพื่อให้สวยงาม
ดูแลไม่ให้มีสัตว์ร้าย ทำให้ผู้มาใช้บริการ รวมถึงเจ้าหน้าที่
มีความสุข ความปลอดภัย ความรู้สึกดีๆ นั่นคือเขาก็ได้ทำ
HP แล้ว ไม่จำเป็นต้องบังคับเอาไปท่องจำ
กฎบัตรออตตาวา อย่างที่ทำๆกันอยู่ สรุปสั้นๆว่า
คนทุกคนในรพ.เป็นส่วนหนึ่งของการบริการด้านส่งเสริมสุขภาพ
มีชุมชนต้องรับผิดชอบดูแล ทุกผู้ทุกคน ไม่เช่นนั้น
รพ.นั้นจะถือว่าเป็นรพ.ส่งเสริมสุขภาพไม่ได้
(ยังมีต่อ)
ไม่มีความเห็น