ประโยคนี้กินใจผมมาก เพราะผมก็เชื่อว่า มีความดี ความจริง และความงาม ในสากลโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าผมอยู่ ที่ผมยินดีที่จะก้มหัวให้อย่างไม่ลังเลสังสัย!
ผมเดินผ่านร้านขายวีซีดี พบแผ่นชีวประวัติของโยโย่ หม่า (เกิดปี
ค.ศ.๑๙๕๕)
เลยซื้อมา ๒ แผ่น ฝาก อ.เสรี แผ่นหนึ่งด้วย
เนื้อหาในวีซีดีมีหลายตอนที่
ประทับใจผมมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาบอกว่า เชาไม่ชอบให้ตนเองเด่น
เพราะ
ดนตรีที่เขาเล่นนั้นเด่นและยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา
- โยโย่ หม่าซ้อมอย่างหนักเพื่อเวลาแสดงจริงจะได้เล่นอย่างสบายๆ
แต่เขาก็มักมาซ้อมเอาก่อนหน้าการแสดง บ่อยครั้งที่ต้องเล่น ๒
ทุ่ม เขาซ้อมเสร็จเอา ๖ โมงเย็น แล้วงีบหลับเอาแรงหน่อยหนึ่ง
ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาเล่น (ซึ่งผมได้ดูการเล่นของเขาในหลายคอนเสิร์ตแล้วพบว่าเขาเล่นอย่างผ่อนคลายมาก
บางครั้งก็แสดงความดื่มด่ำระหว่างเขากับเสียงดนตรี
บางครั้งก็เหมือนตื่นขึ้นมาเล่นกับเพื่อนนักดนตรีและคนดูด้วยสีหน้า
ท่าทาง รอยยิ้ม)
- อาจารย์คนหนึ่งของโยโย่ หม่า บอกว่า โยโย่ หม่าใช้เวลาซ้อมเพียง
๑๕ นาที ในขณะที่ถ้าเป็นอาจารย์เองต้องซ้อม ๑ ชั่วโมง
(แสดงว่าเขาอัจฉริยะทางดนตรีจริงๆ!)
- โยโย่ หม่า
เล่นดนตรีเพลงคลาสสิกที่แต่งโดยนักประพันธ์เอกของโลกมาหมดแล้วทุกเพลง
ไม่มีเพลงไหนที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเล่น
จึงทำให้เขาต้องแสวงหาอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
- พ่อของโยโย่ หม่าเป็นครูสอนดนตรี แม่เป็นนักร้อง
ทั้งพ่อและแม่เป็นคนจีน เขาเกิดที่ปารีส แต่อยู่ปารีสได้ ๔ ปี
ครอบครัวก็ย้ายมานิวยอร์ค หม่าเริ่มฝึกเล่นไวโอลินตั้งแต่ ๔ ขวบ
แต่เขาไม่ชอบเลยไม่ฝึกไวโอลินต่อ เขาชอบเชลโล
เพียงเพราะตัวมันใหญ่กว่าเขา (เมื่อครั้งยังเด็ก)
ทันทีเขาเห็นเชลโลเขาชี้มือไปแล้วบอกว่า
"เครื่องนี้แหละที่ผมอยากเล่น" หม่าชอบอะไรที่ตื่นเต้น
ชอบอะไรที่เห็นแล้วปิ๊งและหลงไหลมันได้ทันที
แล้วเขาก็ฝึกเชลโลตั้งแต่นั้นมา
- โยโย่ หม่า บอกว่าสิ่งที่เขาประทับใจในตัวพ่อ คือ
"พ่อสอนให้ผมเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายๆ"
- เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันบอกว่า ระหว่างเรียนโยโย่ หม่า
ไม่ค่อยอ่านหนังสือ จะอ่านก็ต่อเมื่อจะต้องสอบ
แต่เขาก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง
- บางครั้งโยโย่ หม่า ก็หลงๆ ลืมๆ เหมือนกัน
มีครั้งหนึ่งเขาลืมเชลโลไว้ในรถแท็กซี่ที่นิวยอร์ค
แต่ตำรวจก็ตามเอาคืนมาให้เขาได้ (ผมสังเกตในวิดีโอ ว่าโยโย่ หม่า
เหมือนคนอารมณ์ดี ชอบยิ้มอยู่ตลอดเวลา และออกจะ "ขี้เล่น" ด้วย
เล่นกับผู้ชมอยู่เสมอๆ
วิดีโอขาวดำที่ถ่ายมาจากอัฟริกาก็เป็นภาพที่เขาเล่นกับเด็กๆ
อย่างมีความสุข
ทำให้ผมอดคิดเชื่อมโยงกับทฤษฎีการจำแนกประเภทคนแบบนพลักษณ์ไม่ได้ว่า
โยโย่ หม่า น่าจะเป็นพวกลักษณ์เจ็ด นักผจญภัย อารมณ์ดีอยู่เสมอ
คิดสร้างสรรค์เก่ง แต่ไม่ค่อยลงมือทำ หรือทำก็ไม่ตลอดรอดฝั่ง
แต่หากลงมือและทนอึดหน่อยก็จะทำได้ดี)
- วันแรกที่เข้าชั้นเรียนมานุษยวิทยาที่ฮาร์เวิร์ด ตอนนั้นโยโย่
หม่า อายุ ๑๖ ปี อาจารย์ที่สอนวิชานั้นเคยฟังโยโย่ หม่า เล่นคอนเสิร์ท
พูดขึ้นในห้องเรียนว่า
มีคนหนึ่งที่เล่นดนตรีได้ไพเราะที่สุดเท่าที่อาจารย์เคยฟังมา
แล้วจบด้วยการชี้ไปที่โยโย่ หม่า (ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
และไม่คิดว่าอาจารย์กำลังพูดถึงตัวเขา) เขามุดลงไปใต้โต๊ะ
(อยากแทรกแผ่นดินหนีหรืออย่างไรไม่ทราบ?)
- มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่นั่งในห้องแสดงคอนเสิร์ทที่โยโย่ หม่า
ไปแสดงเต็ม คนที่มาแสดงก็ออกันอยู่หน้าห้องประชุม
ก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น โยโย่ หม่า
ทราบเรื่องก็ถือเชลโล่ของเขาออกมาเล่นให้ฟังหน้าห้องเลย
คนที่ตีตั๋วไม่ทัน เข้าไปข้างในไม่ได้ แต่ได้ฟังฟรีๆ
แม้ไม่ทุกเพลงก็กลับบ้านด้วยความพอใจ
- โยโย่ หม่า มีความสนใจรอบด้าน หลากหลาย
เขาเข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ฮาร์เวิร์ด แต่ไม่เลือกสาขาดนตรี
แต่เลือกศิลปศาสตร์(ทั่วไป) ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายอย่าง
และเขาก็ชอบมานุษยวิทยาด้วย
- โปรเฟสเซอร์ที่เป็นนักประพันธ์ดนตรีคนหนึ่งที่ฮาร์เวิร์ดบอกว่า
โยโย่ หม่า เล่นเพลงที่เขาแต่งได้ตรงใจผู้แต่งที่สุด
- อาจารย์อีกคนหนึ่งที่เคยสอนโยโย่ หม่า เมื่อ ๑๔ ปีที่แล้ว
ฟังโยโย่ หม่าเล่นแล้วบอกว่า "โยโย่ หม่า เล่นดนตรีไม่ดีขึ้นกว่าเมื่อ
๑๔ ปีที่แล้ว (ผมตีความว่า เขาต้องการบอกว่า โยโย่ หม่า
ถึงจุดสุดยอดไปตั้งแต่เมื่อ ๑๔ ปีที่แล้ว)
-
เพื่อนที่เป็นนักเปียโนที่พักอยู่ห้องเดียวกับเขาสมัยเรียนฮาร์เวิร์ดเฝ้าเพียรพยายามบอกเขามานานมากว่า
โยโย่ หม่า เล่นดนตรีที่นักประพันธ์เอกของโลกแต่งดีมาก แต่
"แล้วตัวคุณอยู่ไหน?" ซึ่งเขาบอก (ในวิดีโอ) ว่า
เป็นเวลาหลายปีที่โยโย่ หม่า ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาพยายามบอก
จนกระทั่ง ...
- โยโย่ หม่า ล้มป่วยด้วยโรคติดเชื้อในกระดูกสันหลัง
ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แพทย์ไม่รับประกันว่าแม้ผ่าตัดสำเร็จ
(ซึ่งทำให้ตัวเขาสูงขึ้นอีก ๒ นิ้วด้วย)
เมื่อหายแล้วเขาจะสามารถเล่นเชลโล่ได้อีกหรือไม่
ระหว่างการพักฟื้นที่เขาต้องหยุดเล่นเชลโล่นั่นเอง
โยโย่หม่าได้ใคร่ครวญหลายเรื่องในชีวิตเขา
หลังจากนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงตนเองไปเยอะมาก
- โยโย่ หม่า พบว่าเขาเป็นคนที่มีหลายวัฒนธรรมในตัวเอง
เขาจึงออกเดินทางไปทั่วโลก ไปอัฟริกา
เพื่อร่วมเล่นดนตรีกับคนพื้นเมืองที่นั่น เขาพูดภาษาพื้นเมืองไม่ได้
แต่เล่นกับเด็กๆ ที่นั่นได้โดยใช้การสีสายเชลโลแทนคำพูด
ซึ่งก็สื่อกันได้รู้เรื่อง ต่อมาเขาทำโครงการเส้นทางสายไหม
โดยการย้อนรอยเส้นทางการค้าโบราณระหว่างจีนกับยุโรป
เขาร่วมเล่นดนตรีกับนักดนตรีพื้นบ้านในหลายประเทศระหว่างการเดินทาง(เพื่อค้นหาตนเอง?)นั้น
กระทั่ง ในที่สุดได้ปรากฏงาน master piece
ที่แสดงให้เห็นดนตรีที่เป็นอัตลักษณ์ของโยโย่ หม่า
(ที่ผสมผสานตะวันตกตะวันออกอย่างลงตัว) เมื่อ อั้งลี่
ผู้กำกับภาพยนต์จีนกำลังภายในเรื่อง Hidden Dragon, Crunching
Tiger ได้ให้โยโย่ หม่า เป็นคนแต่งเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ให้
หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร้จมากในอเมริกา
(ทั้งหนังทั้งดนตรีประกอบ)
- หลังจากนั้นโลกของโยโย่ หม่า ไม่ได้มีแต่เชลโล่กับดนตรี
แต่มี "ตัวเขา"
อยู่ในนั้นด้วย
- อั้งลี่ ให้สัมภาษณ์ว่า "โยโย่ หม่า ถ่อมตัวมาก
เขาขอให้ผมทำหน้าที่ผู้กำกับเขาด้วย
ขอให้กำกับเขาเหมือนที่ผมกำกับหนัง"
- โยโย่ หม่า บอกว่า
ดนตรีเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้คนเราได้แสดงออกสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา
(ผมตีความเอาว่า เขาหมายถึง
ดนตรีทำให้เขาได้แสดงอัตลักษณ์แห่งความเป็นคนมีหลายวัฒนธรรมในตนเองออกมา)
สำหรับผมแล้ว โยโย หม่า คนนี้ คือนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ผู้ถ่อมตนแห่งศตวรรษจริงๆ
ดังที่เขาบอกว่า
เขาไม่ต้องการเด่นเพราะสิ่งที่เด่นและยิ่งใหญ่กว่าเขานั้นมีอยู่แล้ว
ประโยคนี้กินใจผมมาก
เพราะผมก็เชื่อว่า มีความดี ความจริง และความงาม
ในสากลโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าผมอยู่
ที่ผมยินดีก้มหัวให้อย่างไม่ลังเลสังสัย!
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๒๙ เมษายน ๒๕๕๒