พิจารณาอยู่นานเหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของอะไร theme นั้นน่าจะไปจัดอยู่ในเรื่องการเยียวยาทางด้านจิตใจหรือไม่?
แต่แล้วข้าพเจ้า...ก็มองเห็นว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการงานเป็นหลัก จึงเลือกที่จะมาเขียนไว้ที่สมุดบันทึก R2R เพราะจากการเดินทางเป็นวิทยากรกระบวนการนั้นสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าพบว่าเป็นอุปสรรคเกิดขึ้นสำหรับคนหน้างาน นั่นก็คือ การเขียน...
โดยหน้าที่แล้วคนหน้างานส่วนใหญ่ถนัดต่อการปฏิบัติ...
แต่เมื่อโลกเปลี่ยนทุกอย่างก็เปลี่ยน การพัฒนางานเพื่อไปสู่ความก้าวหน้า หรือการงานบางอย่างจำเป็นจะต้องมีเรื่องของการเขียน บันทึก วิเคราะห์ เก็บข้อมูลและเรื่องราวการทำงานเอาไว้ คนหน้างานก็จะมีอาการเขียนไม่ออก...
ข้าพเจ้าได้ทบทวนและใช้เวลาต่อข้อเขียนของคุณวรัญญา วชิโรดม เขียนไว้ที่ สาวิกา
โดยเขียนเรื่อง writer's block ข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นด้วยทุกถ้อยความ นั่นอาจเป็นเพราะว่าเรามองเรื่องนี้ภายใต้ฐานคิดเดียวกัน คือ เรื่องของจิตใจ เพราะเชื่อในความเป็นมนุษย์ที่ดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้นั้นเพราะมี "จิตใจ" เป็นบาทฐานสำคัญต่อการคิด พูด และกระทำต่างๆ ==> ไม่ใช่ปัญญาเพียงอย่างเดียว ปัญญานั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ต่างคอยเกื้อหนุนกันและกันกับจิตใจใช้นำทางการดำรงชีวิต
อาการเขียนไม่ออก เขียนไม่ได้ หรือ writer's block นี้ที่สุดแห่งสาเหตุแล้วมาจากสภาพจิตใจเป็นสำคัญ ซึ่งคุณวรัญญาเธอเรียกว่า มีเชื้อโรคอยู่ในจิตใจ ซึ่งข้าพเจ้าชอบคำนี้ของเธอมาก เรานั้นต่างๆ เป็นผู้มีเชื้อโรคเกาะกินใจกันอยู่มาก ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว... แต่ก็น้อยคนมากที่จะนำพาตนเองไปสู่การเยียวยา...
ทางจิตวิทยานั้น...
มีการแนะแนวทาง...การแก้ไขอาการนี้ไว้มากมาย...
แต่ข้าพเจ้ามองว่า มันไม่ถึงรากถึงแก่นแห่งจิต-จิตวิญญาณของมนุษย์ มันเป็นเพียงยาทาบรรเทาอาการเท่านั้นเอง...การถอนรากถอกโคนอาการดังกล่าว ต้องแก้ที่ต้นตอของต้นเหตุ
ต้นตอเกิดที่ไหน...?
ต้นตอเกิดที่ "จิต" ก็ไปแก้ที่จิต
มีสุดยอดปรมาณจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านจิตใจมากที่สุดอย่างหาใครเทียบไม่ได้อีกแล้ว บอกกล่าวไว้มาสองพันห้าร้อยกว่าปีว่า "ต้องนำยาที่ชื่อว่า อิทธิบาทสี่มาแก้" แก้ที่ต้นตอเลย
เริ่ม...ด้วย "ฉันทะ"...
"ฉันทะ" ต้องมี มีใจรักต่อสิ่งที่เราทำ
ข้าพเจ้าเกิดคำถามต่อไปอีกว่า ... แล้วเกิดว่าอยู่ๆ เราไม่ได้มาทำในสิ่งที่เรารักล่ะ เราจะสร้างใจรักต่อสิ่งที่เราทำได้อย่างไรกัน? ...
ปุจฉา ; ฉันทะจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
วิสัชชนา ;
ก็ต้องมาจากการมี "สัมมาทิฐิ" หรือความคิดเห็นที่ถูกต้องต่อสิ่งที่เราทำ ต่อการงานที่เราทำ เราต้องมองและพิจารณาอย่างซึ้งลงไปในใจว่า "งาน" ที่เราทำนั้นเป็นงานที่มีคุณค่า มีประโยชน์
เมื่อเรามองเห็นถึงคุณค่าและประโยชน์ของงานที่เราทำ ... ความงดงามในงานก็จะปรากฏขึ้น
และเมื่อเราได้มองซึ้งลงไปในใจแล้ว
ฉันทะก็จะปรากฏขึ้น..
และเมื่อฉันทะปรากฏขึ้น... ==> เพื่อนของฉันทะจะตามมาเอง อันประกอบด้วย "วิริยะ = ความพากเพียร บากบั่นไม่ย่อท้อ" "จิตตะ = อันมีใจจดจ่อ ตั้งมั่น ต่อการงานนั้น ไม่วอกแวกไปตามอารมณ์และความคิด" "วิมังสา =อันเป็นสภาวะแห่งการตรวจสอบ ไตร่ตรอง พินิจพิจารณาใคร่ครวญในการงานที่ทำนั้นเสมอ"...
ต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏ...
ที่สำคัญ...พลังแห่งภายใน ที่เป็น "ความอดทน" เป็นแรงหนุนสำคัญ...ที่ทำให้เราผ่านอุปสรรคทางอารมณ์และความคิดไปได้
นอกจากนี้...สิ่งที่ข้าพเจ้าพบจากการเรียนรู้ และใคร่ครวญผ่านการถอดประสบการณ์อันเป็นทัศนะในส่วนตนที่ได้พบต่อตนเองนั่นก็คือ...
การที่เราจะพิจารณาอย่างซึ้งลงไปในใจได้นั้น ว่า "การงานของเรามีคุณค่า มีความหมายนั้น" ต้องอาศัยปัญญาช่วยในการใคร่ครวญ และเป็นการใคร่ครวญอย่างที่เราต้องเปิดประตูใจออกและมองเข้าไปให้เห็นในตัวงานของเราที่เราทำ ตระหนักว่านี่คือ หน้าที่ เราชอบหรือไม่ชอบ แต่นั่นน่ะ คืองานที่เราต้องทำและเผชิญ... จะเหนื่อยหนักหนาสาหัส แต่นั่นน่ะคือ หน้าที่ที่เราต้องทำ อันเป็นหน้าที่ที่ไม่มีใครบังคับ แต่เป็นหน้าที่ที่มนุษย์พึงทำ...
และการที่เราจะใช้ปัญญาใคร่ครวญได้นั้น ต้องอาศัยบาทฐานมาจาก "สมาธิ"
สภาวะที่ใจเบาเบา ร่มเย็น เป็นสมาธินั้น จะทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดขึ้นไม่มัวด้วยอารมณ์และอคติ
ไม่มีปัญญาไม่มีสมาธิ ==> ยากที่จะใคร่ครวญได้อย่างลึกซึ้ง...
นั่นก็คือ ...ก่อนใคร่ครวญในการงานนี้ พึงได้น้อมใจลงทำสมาธิต่อจิตของตนเอง ใช้สมาธิเป็นบาทฐานของปัญญา ทำให้เราใช้ปัญญาได้อย่างถูกที่ ถูกเรื่อง และถูกเวลา
ทุกครั้งของการทำกระบวนการเรียนรู้ R2R ข้าพเจ้าจะให้ผู้เข้าร่วมเรียนรู้ได้ทำสมาธิ...เพื่อจัดสภาวะแวดล้อมภายในจิตใจให้พร้อมต่อการเปิดประตูใจออกมาสู่การเรียนรู้อย่างใคร่ครวญ...จากโลกภายนอก
ถอดบทเรียนที่ผ่านการทบทวนตนเอง
แห่งการงาน
๑๓ เมษายน ๒๕๕๒
----------------------------------------------
สวัสดีค่ะคุณกะปุ๋ม
ฉันทะเป็นสิ่งที่นำไปสู่การกระทำที่ดีค่ะ
หากไม่มีอยากให้เกิดเเค่ไหนก็ไม่เกิดค่ะโดยเฉพาะเรื่องงาน
สวัสดีค่ะคุณ 1. สุธีรา
การทำงานด้วยอารมณ์ เราจะทำไปได้เพียงครึ่งทาง...
แต่หากว่าเราได้ทำด้วย "ฉันทะ"....ไม่ว่าการงานจะยากแค่ไหน เหนื่อยเพียงไร และใช้เวลามากขนาดไหน เราก็จะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น...ที่สุดแล้วการงานที่เราทำจะสามารถพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ดั่งเป็นการงานอันอุดม...ได้นี่เองค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาร่วมแบ่งปันแนวคิดดีดีนะคะ
(^___^)