ภาพอาคารเรียนในวัดศรีสะอาดยังตรึงตราเสมอมา
ภาพพ่อขุนยังคงฝังจำอยู่ลาง ๆ
สวัสดีค่ะ
ผมดีใจที่ครูคิมเข้ามาชี้แนะ
บางทีอาจะยังใหม่กับการใช้เครื่องมือ
และที่สำคัญทุกอักษรที่ผมบันทึกในแต่และเรื่องราวมันมาก
จนบางครั้งดูจะน่าเบื่อในการอ่านจนทำให้หลายคนมองผ่าน ๆ
โดยไม่ได้รับรู้ในเจตนารมณ์ต้องการจะสื่ออย่างแท้จริง
หากอักษรใหญ่เกินไปความสวยงานในการจัดหน้าคงทำได้ลำบาก
แต่ผมจะพยายามหาเวลาศึกษาการตกแต่งบล็อกให้อ่านง่ายและชวนอ่าน
ขอบพระคุณมากครับที่ช่วยชี้แนะให้
ผมคิดว่าน่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่านะครับ สมัยเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเห็นไม่มีอะไรที่ดูแล้วน่าตื่นเต้นเท่ากับสิ่งที่ว่าทันสมัย เมื่อ 30 สิบกว่าปีผ่านมา ทั้งหมู่บ้านมีทีวี 2-3 เครื่องในจำนวน 200-300 หลังคาเรือน มีรถยนต์แค่ 1 คัน และค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น เกวียนในหมู่บ้านเริ่มลดน้อยถอยลง รถไถเริ่มเข้ามาแทนที่ควาย ดินที่ เคยอุดมกับจืดชืดจากธาตุอาหารของพืช ปุ๋ยเคมีเริ่มเข้ามามีบทบาท จะเห็นได้ว่าทุนนิยมมันเริ่มคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ สิ่งที่เราเห็นนั้นคือแผนพัฒนาประเทศสมัยก่อนหรือเปล่าผมไม่แน่ใจใครเป็นคนนำมันเข้ามา ลองคิดถึงหลักของความเป็นจริงถ้าเทียบจำนวนสมาชิกในครอบครัวกับพื้นที่ทำกินแล้ว ลูกแต่ละคนจะได้จำนวนพื้นที่ที่เป็นส่วนแบ่งน้อยลงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ก็คือการให้วิชาความรู้แก่ลูก ๆ เพื่อรองรับชีวิตใหม่ในอนาคต แม้แต่การศึกษาในปัจจุบันยังต้องใช้เงิน และ ส่วนใหญ่สร้างค่านิยมในการศึกษาต่างมุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จ เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้สังคมไปยกย่องลัทธิทุนนิยมคงไม่ได้ การที่บอกว่า“ทำให้การพึ่งตนเองได้ของชาวนา...กลายเป็นความยากจนความรู้ของชาวนา...กลายเป็นภูมิปัญญาที่ล้าสมัยคนที่สืบทอด...เป็นคนไม่มีอนาคต...ไม่มีความเจริญแม้ลูกหลาน...ก็เห็นสิ่งที่มีคุณค่านั้น...หมดความหมาย”ที่คิดอย่างนี้ก็คงไม่ผิดหรอกครับ