จะสังเกตได้ว่าสภาพสังคมปัจจุบันมีแต่ความสับสน วุ่นวาย เร่งรีบและแก่งแย่งเเข่งขันกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความเครียดและความหม่นหมองทางจิตใจ จนสิ่งหนึ่งที่ควรปรากฏอยู่บนใบหน้าจางหายไปนั้นคือ "รอยยิ้ม"
ต้นเหตุที่รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของคนนั้นเนื่องจาก "ตัวอารมณ์" ซึ่งอยู่ภายใน "จิต" ของคนนั่นเอง เช่น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ตัวอารมณ์เหล่านี้ทำให้คนเราแสดงออกทางด้านร่างกายแตกต่างกันไป สิ่งที่ปรากฏชัดเจนที่สุดคือ "ใบหน้า" กล่าวคือ บางคนแสดงอารมณ์ของตนออกทางสีหน้าและแววตาว่าตนรู้สึกเช่นไรซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจและจิตใจที่หม่นหมองแก่ผู้กระทำและคู่สนทนาด้วย ส่วนบางคนอาจเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ภายในจิตใจโดยไม่เปิดเผยออกทางใบหน้าซึ่งหากสะสมไปนานก็อาจก่อให้เกิดความเครียดเช่นเดียวกัน สิ่งที่ได้กล่าวมาเหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้ "รอยยิ้ม" บนใบหน้าคนค่อยๆ จางหายไปจากสังคม
ปัญหามีว่า จะทำอย่างไรให้รอยยิ้มกลับมาสู่สังคม???
ใช่แล้ว...ก็คือ "การยิ้ม" นั่นเอง
มีปัญหาต่อมาว่าทำไมการยิ้มจึงเกี่ยวข้องกับธรรมะ และทำไมการยิ้มจึงสำคัญต่อตัวเราและสังคมในปัจจุบัน
เนื่องจากดิฉันได้มีโอกาสรับฟังหลักธรรมจากคุณแม่ของดิฉันซึ่งท่านได้รับฟังจากพระวัดป่าองค์หนึ่ง คุณแม่ของดิฉันนำเอาหลักธรรมดังกล่าวมาสั่งสอนดิฉันว่า
"สิ่งใดชั่ว ให้ 'ยิ้มเพื่อละ'
สิ่งใดดี ให้ 'ยิ้มเพื่อรับ' "
ถ้อยคำดังกล่าวหมายความว่าอย่างไร???
สิ่งใดชั่วให้ยิ้มเพื่อละ หมายความว่า สิ่งไม่ดีต่างๆ ที่เข้ามากระทบตัวอารมณ์ของเราให้ เราควรยิ้มเพื่อละหรือวางธรรมชาติของสิ่งที่เป็นเหล่านนั้น และละหรือวางมันไปเสีย ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ที่ใบหน้าของเรา นอกจากเป็นการมีเมตตาต่อตนเองแล้ว ยังมีเมตตาต่อผู้อื่นด้วย เนื่องจากการยิ้มนั้นแสดงให้เห็นว่าเรายอมรับกับสิ่งที่เป็นและไม่เอาคิดให้เสียอารมณ์ซึ่งถือว่าเป็นการเมตตาต่อตัวเอง ส่วนการมีเมตตาด้วยการยิ้มให้ผู้อื่นซึ่งแม้จะเป็นบุคคลที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ไม่ดี เช่น โกรธ เสียใจ ก็ตาม แต่การยิ้มบนใบหน้านั้นเเสดงให้เห็นถึงความเข้มเเข็งในการควบคุมอารมณ์ และวางทันทีไม่เก็บมาคิดฟุ้งซ่าน ทำให้บุคคลดังกล่าวไม่ทราบจุดอ่อนของตัวเรา และอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นของการอยู่ร่วมกันในสังคมอีกด้วย
ส่วนสิ่งใดดีให้ยิ้มเพื่อรับ หมายความว่า สิ่งดีๆ ต่างๆ ที่เข้ามากระทบตัวอารมณ์ของเรา เราควรยิ้มเพื่อรับในสิ่งที่ดีเหล่านั้น เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวของเราต่อไป และเพียงการยิ้มเท่านั้นก็เพียงพอที่จะแสดงถึงอารมณ์ที่ควบคุมได้มิให้เกิดอารมณ์ดีใจจนเกินสมควรอีกด้วย
ดิฉันเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากหลักธรรมะนี้ไม่มากก็น้อยค่ะ และท่านผู้อ่านล่ะคะ "ยิ้ม" ให้ตัวท่านเอง และคนรอบข้างบ้างหรือยังคะ ถ้ายังแล้วล่ะก็ เรามา "ยิ้ม" กันดีกว่าค่ะ เพื่อสร้างความสุขให้แก่สังคมและตนเอง...
ที่ควรจะยิ้มอีกอย่าง คือ ยิ้มได้เมื่อภัยมาครับ
ขอบคุณคุณ small man~natadee ค่ะมากค่ะ ที่นแนะนำผลดีของการยิ้มมาด้วย
ขอบคุณค่ะ..^^
ขอบคุณศรีกมลค่ะ สังคมคงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ
โย่ คุณดวงเด่น ไปสอนอยู่มหาสารคามแล้วเหรอครับ เป็นไงบ้าง ชอบไม้?
มีอนุโมธนาธรรมะดี ๆ ด้วยครับ :)
ขอบคุณค่ะ...ยิ้มค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณ Aj Kae ใช่แล้วค่ะดิฉันมาเป็นอาจารย์ที่ มมส. แล้ว สนุกดีคะ และก็ชอบด้วย และก็ขอบคุณที่ยังเข้าเเวะมาทักทายค่ะ
ขอบคุณค่ะ คุณ add ที่เข้ามายิ้มด้วยกัน ^^,
ขอบคุณและสวัสดีค่ะ คุณ Sila Phu-Chaya ที่ร่วมยิ้มด้วยกันค่ะ
ยินดึที่ได้รู้จักอีกครั้งค่ะ