เศรษฐศาสตร์แห่งความ “พอใจ” (Satisfactory Economic)


เมื่อเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Core Economic) มักให้คำนิยามความต้องการของมนุษย์ว่า “ไม่มีวันสิ้นสุด” พุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economic) จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่สอนให้มนุษย์รู้จักความสิ้นสุดที่ “ความพอใจ”

นักเศรษฐศาสตร์ที่แสดงตนอยู่ในคราบของนักธุรกิจ มักจะใช้โอกาสจากความต้องการ หรือที่เรียกง่าย ๆ “กิเลส” ของมนุษย์นั้นทำมาหากิน

เมื่อมนุษย์ต้องการเข้าก็มีอาชีพ มีรายได้ ถ้าหากว่ามนุษย์ไม่ต้องการ เข้าก็ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้

ดังนั้นเศรษฐศาสตร์แห่งความพอใจ จะสร้างมนุษย์ให้รู้จักความ “พอดี”

ความพอดีนั้นอยู่บนพื้นฐานของความจริง ต้องการจริง มีจริง ได้จริง
มนุษย์ในสังคมทุกวันนี้ถูกนักธุรกิจสอนให้ “เพ้อฝัน” จึงให้ความต้องการนั้นอยู่บนพื้นฐานของความฝัน ต้องการตามฝัน มีตามฝัน และให้ได้ตามฝัน

มนุษย์ที่ตกอยู่ในวงเวียนหรือวังวนของนักธุรกิจเช่นนี้ ย่อมวิ่งหาสิ่งต่าง ๆ ตามฝัน เมื่อได้หนึ่งไม่พอต้องขอสอง สองไม่พอนั้นต้องสาม สี่ ห้า

“เศรษฐศาสตร์แห่งความพอใจ” จะสอนและสร้างเราให้ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานที่พอดี

หนึ่ง ปกป้องจิตใจจากความต้องการจากกิเลสซึ่งนั่นมาจากความเพ้อฝัน
 
ความเพ้อฝันนั้นไหนเหรอ...?
ความเพ้อฝันในทุกวันนี้นั้นมาจาก “สื่อ”
“สื่อ” คือ เครื่องมือและแขนขาของนักธุรกิจในการสร้างความฝันของผู้ที่คาดหวังว่าจะเป็น “ลูกค้า (Customers)

เมื่อฝันแล้ว เพ้อแล้ว เขาก็จะเดินตามฝันด้วยอาการที่ “ขาดสติ”

การอัด  การกระตุ้น การกระทุ้ง การสร้างค่านิยม บรรทัดฐาน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เพิ่มความต้องการของบุคคล

แต่ทว่า... ถ้าหากเรารู้จักการป้องกันพิษภัยจากสื่อบ้าง อาทิ รักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘) บ้าง ในวันพระ เราก็จะตัดแรงกระตุ้นจากสื่อได้อย่างน้อยก็วันหนึ่งและคืนหนึ่ง การประพฤติ ปฏิบัติเช่นนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันความเพ้อฝันให้กับตนเอง

สอง การพัฒนาปัญญาให้กับตนเอง

การมีศีลนั้นย่อมเป็นรากเป็นฐานแห่งสมาธิ
เมื่อถูกแรงกระตุ้นจากกิเลสที่มีผู้จงใจสื่อหรือนำสารมาให้เรา หากแม้นเรามีศีลเป็นพื้นฐานอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว เราจะสติอันเกิดจากสมาธิที่คุ้มครองและป้องกันภัยได้
เมื่อมีสติที่เข้มแข็ง และสามารถผ่านช่วงเวลาที่ถูกกระตุ้นไปได้ สิ่งนี้ ประสบการณ์นี้นั่นคือ “ปัญญา”
ปัญญาที่จะสอนเราให้รู้ว่า “ความพอใจ” เป็นเช่นไร...?

ทุก ๆ ครั้งที่เราปฏิเสธแรงกระตุ้นจากความเพ้อฝันนั้น คำตอบจากการปฏิเสธนั้นคือ “เราพอใจ”
พอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ พอใจในสิ่งที่เราพูด เราคิด เราทำ
สิ่งภายนอกที่มากระทบนั้นไม่สามารถทำให้เรากระเทือนได้

ชีวิตทุก ๆ วันนี้ เรามี เรา “พอ”
เมื่อมีสิ่งมากระทบและบอกเราว่า “เราไม่มี เราไม่พอ” เมื่อนั้นเราต้อง “ทำใจ”

ทำใจให้เข้มแข็ง ต่อสู้กับสภาวะวิกฤต ที่จะกระชากเงินจากกระเป๋าเรา กระชากความสุขจากครอบครัวของเรา กระชากความอิสระจากชีวิตของเรา สิ่งเหล่านี้เราจะชนะได้ก็เพราะเรามี “ความพอใจ”

พุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economic) นี้ สอนให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง เป็นคนที่รู้จักความอิสระ (Freedom) “อันเป็นความอิสระต่อความอยาก มิใช่เป็นความอิสระที่จะอยาก...”

เมื่อเกิดความอยากอะไรมากระทบทั้งจากภายนอกและภายในเราก็เฉย เราพอใจ
แต่ถ้าหากเราเรียกร้องแต่อิสระที่จะได้โน่นได้นี่ตามใจ สิ่งนี้เป็นความอิสระที่ไม่เที่ยงแท้และยั่งยืน

ความพอใจนั้นเป็นอิสระอันดีแท้
ความพอใจนี้จะนำชีวิตเราให้พบกับความสุขขึ้นอีกมาก
เพราะความพอใจนี้จะทำให้ชีวิตเรา “สงบ”
ความสงบนี้เองเกิดขึ้นจากความพอใจเป็นปัจจัยที่สำคัญ

เศรษฐศาสตร์แห่งความพอใจ (Satisfactory Economic) จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่เน้นสอนใจเป็นสำคัญ
ความพอใจนั้นเป็นอุปทานที่เที่ยงแท้
ความพอใจนั้นเป็นอุปสงค์ที่เที่ยงแท้
เพราะความพอใจนั้นทำให้อุปสงค์และอุปทานนั้นพอดีกัน...

หมายเลขบันทึก: 246960เขียนเมื่อ 7 มีนาคม 2009 18:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2014 07:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอบคุณค่ะ คุณพิม คิดถึงนะคะ

สวัสดีครับ

  • "อิสระต่อความอยาก "
  • รักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘) บ้าง ในวันพระ
  • เศรษฐศาสตร์แห่งความพอใจ (Satisfactory Economic) จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่เน้นสอนใจเป็นสำคัญ
  • ... ดีมาก ๆ เลยครับ...

ผมได้อ่าน "เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง" ของคุณพิชัย แล้ว (พิมพ์ครั้งที่ 3) มีบางบทในหนังสือที่คุณพิชัยทำนายอนาคตผิด เรื่องว่า คนอเมริกันรู้ล่วงหน้าแล้วว่า ตลาดหุ้นจะร่วงมากและจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อเรียนรู้จากประเทศในเอเชียแล้วจึงหาทางป้องกัน โดยทำนายว่าจะไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในสหรัฐอเมริกา (แต่คุณพิชัยคาดผิด เพราะได้มองคนอเมริกันในแง่ดีเกินไป โดยไม่คาดคิดว่า คนอเมริกัน สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ก็จัดอยู่ในประเภท mass ด้วย และจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม การกระทำและการแก้ปัญหาของสถาบันการเงิน ของรัฐบาลสหรัฐ และประชาชนทั่วไปซึ่งสุดท้ายนำไปสู่วิกฤต ได้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้ก่อนหน้านั้น โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง) แต่เนื้อหาส่วนอื่น ๆ นอกนั้นให้แง่คิดที่ดีมาก และผมเห็นด้วยที่ว่า mass คือผู้ที่ขาดทุนตลอด เป็นหนังสือที่มีประโยชน์มากครับ ในปัจจุบันผมเองได้เริ่มประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ในการลงทุนจริงของผมแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถติดตามได้ที่

http://thailandstockinvestment.blogspot.com

และศึกษาการหาจังหวะลงทุนจากวีดีโอสอนฟรี ที่

http://sites.google.com/site/freetechnicalanalysistutorial

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท