การเสียสิทธิของคนสัญชาติไทย ที่ยังไม่ได้ลงรายการสัญชาติในทะเบียนราษฎร


ระยะเวลาที่ยาวนานกว่าที่นาย อาแบ หม่อโปกู่จะได้รับการเพิ่มชื่อลงในทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งมีสัญชาติไทย(ทร.๑๔) ชีวิตของเขาก็ยังคงแขวนไว้กับเส้นด้ายที่เปราะบาง รอวันที่จะขาดได้เสมอ

๕.นายอาแบ หม่อโปกู่

เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ อายุ ๒๒ ปี

สถานที่เกิด : บ้านป่าคาสุขใจ หมู่ ๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย (ปรากฏตามสำเนาทะเบียนประวัติบุคคลบนพื้นที่สูง)

ปัจจุบันถือบัตรประจำตัวตนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ประเภทบุคคลบนพื้นที่สูง(ปรากฏตามสำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย) 

ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ : บ้านเลขที่ ๓๕/พ หมู่ ๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

ข้อเท็จจริงของบิดา

บิดาชื่อ นายอาก่อง หม่อโปกู่ อายุ ๓๖ ปี

เกิดเมื่อ ปีพ.ศ.๒๕๑๖

สถานที่เกิด : เกิดที่บ้านป่าคาสุขใจ หมู่ ๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย 

 ปัจจุบันถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ประเภทบุคคลบนพื้นที่สูง(ปรากฏตามสำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย)

บิดานายอาก่อง ชื่อ นายอาหยิ หม่อโปกู่ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

มารดานายอาก่อง ชื่อ นางบู้ยุ้ม หม่อโปกู่ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

นายอาก่องให้ปากคำว่าจำไม่ได้ว่า บิดาและมารดาของตนเสียชีวิตไปเมื่อไหร่   

 

สถานะบุคคลของนายอาก่อง หม่อโปกู่

            จากข้อเท็จจริงของนายอาก่อง หม่อโปกู่ มีสถานที่เกิดอยู่ที่บ้านป่าคาสุขใจ หมู่ ๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย  ทั้งนี้จะเห็นได้ว่านายอาก่อง หม่อโปกู่ มีจุดเกาะเกี่ยวโดยการเกิดกับประเทศไทยตามหลักสืบสายโลหิตหรือหลักดินแดน (พยายามสอบให้นายอาก่องยืนยังตัวตนของบิดาและมารดาของตนว่าเกิดที่ไหน แต่จากปากคำพยานรับรองการเกิดของนายอาก่องระบุว่า บิดาและมารดาของนายอาก่องเกิดที่ บ้านหัวแม่คำ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย)

          การนี้จึงถือได้ว่านายอาก่อง หม่อโปกู่เกิดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาสถานะบุคคลของนายอาก่อง หม่อโปกู่ ว่ามีสถานะบุคคลเป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่นั้นจำเป็น ต้องพิจารณา พระราชบัญญัติสัญชาติ ฉบับที่มีผลใช้บังคับขณะที่ตัวนายอาก่อง หม่อโปกู่เกิด ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ประกอบกับประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ที่เป็นกฎหมายสัญชาติที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ซึ่งโดยหลักกฎหมายสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ เรื่องการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดนั้นได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๗ โดยในข้อเท็จจริงนั้นนายอาก่องไม่อาจถือสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดาได้ เพราะไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทยตามมาตรา ๗(๑) และนายอาก่อง หม่อโปกู่ ก็ไม่อาจถือสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากมารดาได้ เพราะว่านายอาก่อง หม่อโปกู่ ไม่ได้เกิดนอกราชอาณาจักรแม้มารดาของนายอาก่อง หม่อโปกู่ จะเกิดในราชอาณาจักรไทยก็ตาม ตามมาตรา ๗(๒) ทั้งนี้นายอาก่อง หม่อโปกู่ ได้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดจากหลักดินแดนได้ เพราะนายอาก่อง หม่อโปกู่ เกิดในราชอาณาจักรไทยตามมาตรา ๗(๓) วางหลักกฎหมายไว้ว่า “บุคคลดังต่อไปนี้ ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด...(๓) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย...” แต่ในขณะที่นายอาก่องเกิดนั้นมีการประกาศใช้ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่๓๓๗ ซึ่งเป็นประกาศที่ออกมาเพื่อให้ถอนสัญชาติไทย และไม่ให้สัญชาติไทยแก่บุคคลผู้ที่มีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะเกิด บิดาหรือมารดาผู้นั้นเป็น (๑) ผู้ที่ได้รับผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย (๒) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวหรือ (๓) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมายคนเข้าเมือง           

เมื่อได้พิจารณาจากองค์ประกอบที่จะทำให้บุคคลที่เกิดในประเทศไทยนั้นถูกถอนสัญชาติไทยหรือไม่ได้สัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ แล้วนั้นจะพบว่าข้อเท็จจริงของนายอาก่อง หม่อโปกู่ นั้นไม่ตกตามองค์ประกอบของการไม่ได้สัญชาติไทย ตามข้อ ๒ แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ เพราะว่าไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว และในข้อเท็จจริงนั้น นายอาก่อง หม่อโปกู่ ก็ไม่มีมารดาเป็นคนต่างด้าวและไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ในวันที่ พ.ศ. ๒๕๑๖ ที่นายอาก่อง หม่อโปกู่ เกิดจึงมีสัญชาติไทยโดยการเกิดจากหลักดินแดน ตามมาตรา ๗(๓) และไม่ตกตามข้อ ๒ แห่งประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗

ข้อเท็จจริงของมารดา

          มารดาชื่อ : นางหมี่แก หม่อโปกู่ (ปรากฏตามสำเนาแบบพิมพ์ประวัติบุคคลบนพื้นที่สูง)

เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ (ปรากฏตามสำเนาแบบพิมพ์ประวัติบุคคลบนพื้นที่สูง)

อายุ ๓๔ ปี

บิดาของนางหมี่แกชื่อ นายอาบือ หวุ่ยซือกู่ สัญชาติอีก้อ มารดาชื่อ นางบูแลหวุ่ยซือกู่ สัญชาติอีก้อ (ปรากฏตามสำเนาแบบพิมพ์ประวัติบุคคลบนพื้นที่สูง)

สถานที่เกิด : เกิดที่บ้านเลขที่ ๒๑/พ หมู่ ๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย (ปรากฏตาม สำเนาแบบพิมพ์ประวัติบุคคลบนพื้นที่สูง)

ปัจจุบัน : นางหมี่แก หม่อโปกู่ ได้ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ประเภทบุคคลบนพื้นที่สูง

 สถานะบุคคลของนาง หมี่แก หม่อโปกู่

            จากข้อเท็จจริงของนางหมี่แก หม่อโปกู่ มีสถานที่เกิดอยู่ที่บ้านป่าคาสุขใจ หมู่ ๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย  ทั้งนี้จะเห็นได้ว่านางหมี่แก หม่อโปกู่ มีจุดเกาะเกี่ยวโดยการเกิดกับประเทศไทยตามหลักสืบสายโลหิตหรือหลักดินแดน

การนี้จึงถือได้ว่านางหมี่แก หม่อโปกู่เกิดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาสถานะบุคคลของนางหมี่แก หม่อโปกู่ ว่ามีสถานะบุคคลเป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่นั้นจำเป็น ต้องพิจารณา พระราชบัญญัติสัญชาติ ฉบับที่มีผลใช้บังคับขณะที่ตัวนางหมี่แก หม่อโปกู่เกิด ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ประกอบกับประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ที่เป็นกฎหมายสัญชาติที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ซึ่งโดยหลักกฎหมายสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ เรื่องการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดนั้นได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๗ โดยในข้อเท็จจริงนั้นนางหมี่แกไม่อาจถือสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดาได้ เพราะไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทยตามมาตรา ๗(๑) และนางหมี่แก หม่อโปกู่ ก็ไม่อาจถือสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากมารดาได้ เพราะว่านางหมี่แก หม่อโปกู่ ไม่ได้เกิดนอกราชอาณาจักรแม้มารดาของนางหมี่แก หม่อโปกู่ จะเกิดในราชอาณาจักรไทยก็ตาม ตามมาตรา ๗(๒) ทั้งนี้นางหมี่แก หม่อโปกู่ ได้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดจากหลักดินแดนได้ เพราะนางหมี่แก หม่อโปกู่ เกิดในราชอาณาจักรไทยตามมาตรา ๗(๓) วางหลักกฎหมายไว้ว่า “บุคคลดังต่อไปนี้ ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด...(๓) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย...” แต่ในขณะที่นางหมี่แกเกิดนั้นมีการประกาศใช้ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่๓๓๗ ซึ่งเป็นประกาศที่ออกมาเพื่อให้ถอนสัญชาติไทย และไม่ให้สัญชาติไทยแก่บุคคลผู้ที่มีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะเกิด บิดาหรือมารดาผู้นั้นเป็น (๑) ผู้ที่ได้รับผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย (๒) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวหรือ (๓) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมายคนเข้าเมือง           

เมื่อได้พิจารณาจากองค์ประกอบที่จะทำให้บุคคลที่เกิดในประเทศไทยนั้นถูกถอนสัญชาติไทยหรือไม่ได้สัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ แล้วนั้นจะพบว่าข้อเท็จจริงของนางหมี่แก หม่อโปกู่ นั้นไม่ตกตามองค์ประกอบของการไม่ได้สัญชาติไทย ตามข้อ ๒ แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ เพราะว่าไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว และในข้อเท็จจริงนั้น นางหมี่แก หม่อโปกู่ ก็ไม่มีมารดาเป็นคนต่างด้าวและไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ในวันที่ พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่นางหมี่แก หม่อโปกู่ เกิดจึงมีสัญชาติไทยโดยการเกิดจากหลักดินแดน ตามมาตรา ๗(๓) และไม่ตกตามข้อ ๒ แห่งประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗

 

สถานะบุคคลทางกฎหมายของกรณีศึกษา : นายอาแบ หม่อโปกู่ เกิดเมื่อวันที่ พ.ศ.๒๕๓๐ สถานที่เกิดที่ เกิดที่บ้านป่าคาสุขใจ หมู่๕ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (ปรากฏตามสำเนาทะเบียนประวัติบุคคลบนพื้นที่สูง)

          ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้นายอาแบ หม่อโปกู่ ได้ตกหล่นจากการทะเบียนราษฎรของประเทศไทยนับแต่ที่ตนเองเกิด จึงทำให้นายอาแบ หม่อโปกู่ เป็นบุคคลตกหล่นทางทะเบียนราษฎร โดยที่ไม่มีชื่อของนายอาแบ หม่อโปกู่ อยู่ในระบบการทะเบียนราษฎรของประเทศไทยเลยนับแต่เกิด และเพิ่งได้รับการสำรวจจากสำนักทะเบียนอำเภอแม่จัน เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๔ จึงเป็นครั้งแรกที่นายอาแบ หม่อโปกู่ไม่ตกเป็นคนตกหล่นจากทะเบียนราษฎร และเป็นครั้งแรกที่ทางกรมการปกครองได้ทราบว่ามีนายอาแบ หม่อโปกู่เกิดและอาศัยอยู่ในประเทศไทย

การที่จะพิจารณาว่านายอาแบ หม่อโปกู่ มีสถานะบุคคลเป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่นั้นจำเป็น ต้องพิจารณา พระราชบัญญัติสัญชาติ ฉบับที่มีผลใช้บังคับขณะที่ตัวนายอาแบหม่อโปกู่เกิด ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ประกอบกับประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗  ที่เป็นกฎหมายสัญชาติที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ซึ่งโดยหลักกฎหมายสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ เรื่องการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดนั้นได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๗ โดยในข้อเท็จจริงนั้นนายอาแบ หม่อโปกู่ไม่อาจถือสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดาได้ เพราะไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทยตามมาตรา ๗(๑) และนายอาแบ หม่อโปกู่ ก็ไม่อาจถือสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากมารดาได้ เพราะว่านายอาแบ หม่อโปกู่ ไม่ได้เกิดนอกราชอาณาจักรแม้มารดาของนายอาแบบ หม่อโปกู่ จะเกิดในราชอาณาจักรไทยตามมาตรา ๗(๒) ทั้งนี้นายอาแบบ หม่อโปกู่ ได้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดจากหลักดินแดนได้ เพราะนายอาแบบ หม่อโปกู่ เกิดในราชอาณาจักรไทยตามมาตรา ๗(๓) วางหลักกฎหมายไว้ว่า “บุคคลดังต่อไปนี้ ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด...(๓) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย...”

เมื่อพิจารณาจะพบได้ว่า นายอาแบ หม่อโปกู่ เกิดในราชอาณาจักรไทยและไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าตามองค์ประกอบของมาตรา ๘ ที่เป็นข้อยกเว้นการได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนของกลุ่มบุตรที่มีบิดามารดาเป็น หัวหน้าคณะทูตหรือหัวหน้ากงสุล ซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่านายอาแบ หม่อโปกู่ นั้นไม่เข้าตามองค์ประกอบของมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ 

ทั้งนี้ยังต้องการพิจารณาว่านายอาแบบ หม่อโปกู่นั้นจะตกตามข้อยกเว้นการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดน ซึ่งจะต้องพิจารณาที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ ซึ่งเป็นประกาศที่ออกมาเพื่อให้ถอนสัญชาติไทย และไม่ให้สัญชาติไทยแก่บุคคลผู้ที่มีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะเกิด บิดาหรือมารดาผู้นั้นเป็น (๑) ผู้ที่ได้รับผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย (๒) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวหรือ (๓) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมายคนเข้าเมือง           

เมื่อได้พิจารณาจากองค์ประกอบที่จะทำให้บุคคลที่เกิดในประเทศไทยนั้นถูกถอนสัญชาติไทยหรือไม่ได้สัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ แล้วนั้นจะพบว่าข้อเท็จจริงของนายอาแบ หม่อโปกู่ นั้นไม่ตกตามองค์ประกอบของการไม่ได้สัญชาติไทย ตามข้อ ๒ แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ เพราะว่าไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว แต่ในข้อเท็จจริงนั้น นายอาแบ หม่อโปกู่ ก็มีมารดาที่เกิดในประเทศไทย และตนเองเกิดในราชอาณาจักรไทย

ด้วยเหตุนี้ในขณะที่นายอาแบ หม่อโปกู่เกิด นายอาแบ หม่อโปกู่ มีสัญชาติโดยการเกิดตามหลักดินแดน ตามมาตรา ๗(๓) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘

เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๕ ซึ่งได้มีการบัญญัติข้อยกเว้นการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดน ไว้ในมาตรา ๗ ทวิ วรรค ๑  แห่งแห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่วางหลักไว้ว่า “...ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ย่อมไม่ได้สัญชาติไทย ถ้าในขณะเกิดบิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้นั้นเป็น

(๑) ผู้ที่ได้รับผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

(๒) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวหรือ

          (๓) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมายคนเข้าเมือง...”     

ทั้งนี้ในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ก็ยังบัญญัติให้มาตรา ๗ ทวิ มีผลย้อนไปใช้กับบุคคลที่เกิดก่อนพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ ซึ่งนั่นก็มีความหมายว่าจำเป็นที่จะต้องพิจารณาว่าข้อเท็จจริงของนายอาแบ หม่อโปกู่ นั้นจะทำให้นายอาแบ ต้องตกตามมาตรา ๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๕ ด้วยหรือไม่ โดยเมื่อได้พิจารณาแล้วจะพบว่า นายอาแบ หม่อปกู่ มีข้อเท็จจริงที่ไม่เข้าตามองค์ประกอบของข้อยกเว้นการได้สัญชาติไทยตามมาตรา ๗ ทวิ วรรค ๑ เพราะไม่มีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว และในขณะที่นายอาแบ หม่อโปกู่ เกิดนั้นทั้งบิดาและมารดาต่างมีสถานะเป็นคนเกิดในประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้นายอาแบ หม่อโปกู่ก็ไม่เสียสัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดน ด้วยมาตรา ๑๑ประกอบมาตรา ๗ ทวิ วรรค ๑ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๕

ประการนี้นายอาแบ หม่อโปกู่ จึงสามารถของลงรายการสัญชาติไทย ตาม ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.๒๕๔๓

แต่ทั้งนี้เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ นายอาแบ หม่อโปกู่ได้ถูกจำกุมในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง และศาลได้มีคำพิพากษา ตามคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ ๖๘๗๔/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๕๔, ๘๑ จำคุก ๔ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษลงกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐...

การนี้เกิดจากความไม่เข้าใจข้อกฎหมายของทางตำรวจหรือไม่นั้น ก็มิอาจทราบได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้ดำเนินการที่จะส่งนายอาแบ หม่อโปกู่ ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อผลักดันออกนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่านายอาแบ นั้นมีสัญชาติไทยโดยการเกิด ตามหลักดินแดน และมีถิ่นที่อยู่อาศัยชั่วคราวใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย เพื่อรอการลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน  และในคำพิพากษาก็หามีคำพิพากษาที่จะให้ผลักดันตัวนายอาแบ ออกไปนอกราชอาณาจักรไม่ และการผลักดันออกนอกราชอาณาจักรดังกล่าว ก็เป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน เพราะนายอาแบไม่ได้มีถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่ที่ประเทศพม่า และนายอาแบก็ไม่ได้เป็นผู้ที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะนายอาแบ นั้นเป็นบุคคลผู้ซึ่งเกิดในราชอาณาจักรไทย และไม่มีจุดเกาะเกี่ยวอย่างใดๆกับประเทศพม่า ประการนี้เมื่อผลักดันเขาออกไปแล้ว เขาจะต้องไปเสี่ยงภัย เผชิญกับสิ่งที่อันตรายมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่มีใครทราบ

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวนายอาแบ หม่อโปกู่ นั้นมันยังคงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถตามแก้ได้ทั้งหมดหากไม่ได้รับความร่วมมือและความเข้าใจของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตำรวจ และทางหน่วยงานด้านการปกครอง

เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วนั้นนายอาแบ หม่อโปกู่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดน และได้ไปยื่นคำขอลงรายการสัญชาติแล้ว แต่ทางอำเภอแม่ฟ้าหลวง ได้ให้ใบนัด ในวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ทั้งนี้นายอาแบ หม่อโปกู่เองก็จะต้องได้เดินทางออกนอกพื้นที่ควบคุมเพื่อไปทำงานหาเลี้ยงชีพ และครอบครัวที่อยู่ที่บ้านป่าคาสุขใจ ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมได้อีกเสมอ แม้นายอาแบ หม่อโปกู่จะได้ดำเนินการขออนุญาตออกนอกเขตพื้นที่ ตามที่กฎหมายและระเบียบ ได้กำหนดและบังคับให้บุคคลเหล่านี้ต้องปฏิบัติแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกหรือไม่ที่นายอาแบจะถูกตำรวจจับและส่งฟ้องศาล แบบที่ผ่านมา เพราะในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าที่นาย อาแบ หม่อโปกู่จะได้รับการเพิ่มชื่อลงในทะเบียนบ้านของผู้ซึ่งมีสัญชาติไทย(ทร.๑๔) ชีวิตของเขาก็ยังคงแขวนไว้กับเส้นด้ายที่เปราะบาง รอวันที่จะขาดได้เสมอ

หมายเลขบันทึก: 246210เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2009 12:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 09:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สงสัยว่า พ่อกับแม่เขามีอายุ 14 ปี และ 12 ปี ตอนที่ให้กำเนิดนายอาแบ หม่อโปกู่ หรือ?

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท