KM สัญจร (๒)
ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าเรื่อ KM สัญจรที่ลงไว้เมื่อวาน เนื้อความตอนท้ายขาดหายไปมาก เข้าใจว่าบทความยาวเกินความจุที่จัดให้ จึงได้เอาเฉพาะของวันที่ ๗ กค. และบทสรุปมาลงไว้ในวันนี้
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ในวันสุดท้ายของการสัญจรในครั้งนี้ คณะของเราไปร่วมงาน Regional Forum ที่สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก โดยมี ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช บรรยายเรื่อง “เส้นทางแห่งการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศในการบริการสุขภาพ” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟังจำนวนกว่าพันคน หลังจากการฟังบรรยาย คณะ KM สัญจร ก็ย้ายไปฟังการสรุปผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาเครือข่ายการจัดการความรู้ในโรงพยาบาลภาคเหนือตอนล่าง หรือ HKM ที่ สคส. ให้การสนับสนุนอยู่
โครงการพัฒนาเครือข่ายการจัดการความรู้ในโรงพยาบาลภาคเหนือตอนล่าง เกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิกโรงพยาบาล ๑๗ แห่งในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ด้วยจุดหมายในการเสริมสร้างสัมพันธภาพและความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพงานของกลุ่มสมาชิกเครือข่ายโรงพยา-บาล โดยการค้นหาความรู้ การสร้างและแสวงหาความรู้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวิธีการปฏิบัติที่เกิดจากความสำเร็จในงาน ด้วยการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกและผู้ที่สนใจในรูปแบบของเวทีพบปะ เสวนา การประชุมสัมมนา และการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์มารวบรวมสังเคราะห์องค์ความรู้และจัดเก็บเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ แล้วนำความรู้เหล่านั้นไปเผยแพร่ใน Website, Web Board และในเอกสาร หนังสือ นิทรรศการ ให้กับกลุ่มสมาชิกและผู้สนใจอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทีมงานบริหารโครงการ พัฒนางานการจัดการความรู้ในโรงพยาบาล และการสร้างรูปแบบการจัดการความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ต่อไป
โครงการฯ เริ่มจากกิจกรรม Kick-Off เพื่อการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความผูกพัน ความไว้วางใจในระยะต่อมา อีกทั้งการฝึกอบรมพื้นฐานความรู้ด้านทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ให้กับสมาชิกเครือข่าย การใช้เครื่องมือชุดธารปัญญา อันได้แก่ การจัดทำตารางแห่งอิสรภาพ การประเมินตนเอง และบันไดแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีวิสัยทัศน์การจัดการความรู้ของกลุ่มสมาชิกเป็นหลัก และใช้ประเด็นย่อยคือ กิจกรรมหัวหน้าพาทบทวน ๑๒ กิจกรรม มาเป็นเวทีทดลองนำร่องพัฒนาการจัดการความรู้ นอกจากนั้นยังใช้เครื่องมือ Peer Assist, After Action Review และ CoP ในการพัฒนาการจัดการความรู้ในกลุ่มสมาชิกเครือข่าย โดยใช้วิธีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวิธีปฏิบัติในเวทีต่างๆ อีกทั้งทีมจัดการความรู้ในแต่ละโรงพยาบาล ยังนำการจัดการความรู้ไปประยุกต์ใช้ในองค์กรและขยายวงการจัดการความรู้ภายในและทีมข้ามองค์กร
ในปัจจุบัน ทีมบริหารโครงการฯ ได้ขยายเครือข่ายการพัฒนาองค์ความรู้ พัฒนาทักษะคุณอำนวย ทั้งภายนอกและภายในเครือข่าย เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานสามารถขับเคลื่อนการจัดการความรู้และนำไปปฏิบัติในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทำให้เกิดการขยายวงการจัดการความรู้และนำไปใช้อย่างแพร่หลาย โดยส่งทีมวิทยากรและทีมที่ปรึกษาของสมาชิก HKM ไปให้ความรู้และให้คำแนะนำแก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีความต้องการพัฒนาองค์ความรู้ในระดับเครือข่าย และระดับองค์กร อาทิ เครือข่ายการเรียนรู้ในระดับจังหวัดนครสวรรค์ เครือข่ายการเรียนรู้ในระดับจังหวัดหนองคาย เครือข่ายการเรียนรู้ในระดับจังหวัดพิษณุโลก เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อพัฒนาระบบงานสารบรรณ มหาวิทยาลัยนเรศวร เครือข่ายการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์
จากผลสรุปของโครงการนี้ พบว่า หน่วยงานราชการที่ได้ดำเนินการจัดการความรู้ดังเช่นเครือข่ายโรงพยาบาลภาคเหนือตอนล่างนี้ จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากการจัดความรู้ ดังนี้ คือ
๑. เครือข่ายได้พัฒนาวิธีการและกระบวนการทำงานใหม่ๆ
๒. ทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์มากขึ้น เพิ่มทักษะการทำงาน
๓. ทำให้บุคลากรเกิดศักยภาพในการทำงานมากขึ้น
๔. ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย ทำให้มีผู้มาใช้บริการมากขึ้น
๕. สร้างความรัก ความสามัคคีภายในและภายนอกหน่วยงาน
๖. ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนากระบวนการและวิธีปฏิบัติงาน
๗. รู้จักการเป็นผู้ให้และผู้รับ
๘. เพื่อให้เกิดการยอมรับ ความไว้วางใจ
๙. สร้างความสงบสุขแก่สังคมในอนาคต
ส่วนมหาวิทยาลัยนเรศวร อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำการจัดการความรู้มาใช้พัฒนามหา-วิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกฝ่ายได้เห็นความสำคัญของความรู้ การเรียนรู้ และการนำเอาความรู้มาใช้ในการทำงาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติงานจริง เน้นดำเนินกิจกรรมในเชิงบวก โดยเริ่มต้นจากความสำเร็จต่างๆ ซึ่งต่อมาจะมีผลทำให้เกิดการขยายและต่อยอดผลสำเร็จนั้นๆ ให้แพร่หลายไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อผลักดันให้เกิดผลการปฏิบัติงานตามนโยบาย และบรรลุเป้าหมายตามความมุ่งหวังในทุกๆ ด้าน ด้านที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษในช่วงเริ่มต้นนี้คือด้านการประกันคุณภาพการศึกษา (QA) และด้านการวิจัย
สำหรับกิจกรรมที่ได้ทดลองนำเอา KM ไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน เช่น
๑. การประยุกต์ใช้เครื่องมือชุดธารปัญญากับผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน (IQA) ๔ ปีย้อนหลัง (๒๕๔๔ - ๒๕๔๗)
๒. การจัดการความรู้เรื่องการเลี้ยงผึ้ง
๓. การพัฒนาบุคลากรหน่วยประกันคุณภาพการศึกษากับงานวิจัย โดยเอาความสำเร็จมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
๔. การจัดการความรู้เรื่องการทำวิจัยสถาบันของบุคลากรสายสนับสนุน
๕. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรที่ทำงานในสำนักงานเลขานุการคณะต่างๆ
๖. การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการของสถาบันอุดมศึกษา ๑๔ สถาบันในเขตภาคเหนือตอนล่าง
๗. การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริหารงานวิจัยในมหาวิทยาลัยนเรศวร
เมื่อได้รับฟังสรุปผลการดำเนินการ และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันแล้ว พวกเราทั้งหมดจึงได้ AAR ภาพรวมของ KM สัญจรในครั้งนี้ (หลังจากที่เรา AAR แต่ละจุดกันมาตลอดทาง) ซึ่งแต่ละคนก็พูดแสดงความรู้สึกออกมา เห็นร่วมกันบ้าง เห็นต่างมุมมองกันบ้าง ซึ่งแต่ละความคิดเห็นของแต่ละคนล้วนเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับการนำมาปรับปรุงการดำเนินงานของ สคส. ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้บันทึกจะขอ AAR KM สัญจรในครั้งนี้ ตามมุมมอง ความคิดของตัวเองดังนี้คือ
ผู้บันทึกคาดหวังว่า จะได้ไปเห็นการดำเนินการจัดการความรู้ที่เป็นของจริง จากตัวจริงเสียงจริง หลังจากที่ได้รับฟังจากผู้ร่วมงานคนอื่นๆ มาแล้ว ครั้งนี้ก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่า เขาดำเนินการจัดการความรู้กันอย่างไร มีกระบวนการอะไรบ้าง ทำแล้วผลเป็นอย่างไร แต่ละส่วนภาคคือ ภาคราชการและภาคประชาสังคม มีการใช้การจัดการความรู้เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ซึ่งไม่ผิดหวัง เพราะได้เห็นทั้งในส่วนของภาคราชการและส่วนของประชาสังคม อีกทั้งยังได้เห็นจุดเด่นของกลุ่มหรือหน่วยงานประเภทเดียวกัน แต่ละหน่วยงานในภาคต่างๆ ด้วย คือ
การจัดการความรู้ของภาคราชการ เช่น
- โรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตาก ที่มีการทำการจัดการความรู้อยู่แล้ว อีกทั้งยังมีการใช้เครื่องมืออื่นๆ มาช่วยในการพัฒนาการทำงานอีกด้วย รวมทั้งได้เห็นวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร การร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทุกคน จนทำให้โรงพยาบาลบ้านตากเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กที่มีคุณภาพและการบริการสูงยิ่ง
- โรงพยาบาลต่างๆ ของจังหวัดนครสวรรค์ ที่ สคส. เกี่ยวข้องด้วยน้อยมาก แต่สามารถนำแนวคิดการจัดการความรู้ไปปรับใช้ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่ก็ถือว่ามีการพัฒนาก้าวหน้ากันไปพอสมควร
- โรงพยาบาลทั้ง ๑๗ แห่งของภาคเหนือตอนล่าง จะเน้นลักษณะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามโรงพยาบาลกันมากกว่า ภาพการแลกเปลี่ยนความรู้ภายในแต่ละโรงพยาบาลไม่ค่อยชัดเจนมากเท่ากับภาพของเครือข่าย
สำหรับภาคประชาสังคม ผู้บันทึกได้เห็นการจัดการความรู้ในเรื่องของเกษตรปลอดสารในมุมมองและกระบวนการที่ต่างกัน คือ
- โรงเรียนชาวนา มูลนิธิข้าวขวัญ จังหวัดสุพรรณบุรี เน้นการดำเนินการจัดการความรู้แบบช้าๆ แต่ยั่งยืน เน้นการพัฒนาความคิดและจิตใจควบคู่กันไปด้วย ไม่ค่อยได้เชื่อมโยงกับส่วนภาคอื่นๆ มากนัก แต่กลุ่มค่อนข้างเข้มแข็ง และให้ความสำคัญกับทุกคนอย่างเท่าเทียม
- โรงเรียนชาวนา ของนครสวรรค์ฟอรั่ม จังหวัดนครสวรรค์ เน้นความร่วมมือหรือดึงทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ ทุกแหล่งทุกทางเท่าที่ผู้ประสานงานหลักจะรู้จักและเข้าถึง มีการร่วมมือกันทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน และภาคชาวบ้านหรือเกษตร รวมทั้งเน้นขยายปริมาณและพื้นที่ที่กว้างขวางครอบคลุมเกือบทั้งจังหวัด
- กลุ่มเกษตรปลอดสาร มูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร จังหวัดพิจิตร เป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็งมาก มีผู้ประสานหรือคุณอำนวยที่ทรงพลัง มุ่งมั่นอย่างยอดเยี่ยม มีเกษตรหรือชาวบ้านที่รวมกลุ่มอย่างเหนียวแน่น และมองเห็นถึงข้อดีของการทำเกษตรแบบปลอดสาร เห็นความพอเพียง การมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน การร่วมมือกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน
ผู้บันทึกคิดว่า นี่คือข้อดีที่สุดของการนำการจัดการความรู้มาใช้กับกลุ่มชาวบ้านและเกษตรกร เพราะชีวิตของชาวบ้านและเกษตรกรไม่มีความซับซ้อน งานกับชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องเดียวกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือการทำการจัดการความรู้จึงค่อนข้างเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เพราะยิ่งทำการจัดการความรู้มากเท่าไหร่ ตัวชาวบ้านหรือเกษตรกรก็จะได้ผลที่ดีไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย น่าชื่นชม
ส่วนสิ่งที่ผู้บันทึกคิดว่า ควรเพิ่มเติมหรือปรับปรุงในการจัดกิจกรรมสัญจรเช่นนี้ครั้งต่อๆ ไป คือ ควรจะต้องมีการระบุเป้าหมายและกำหนดกิจกรรมการเยี่ยมชม หรือ พุ่งเป้าการเรียนรู้ไปยังจุดใดจุดหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่น จะเยี่ยมชมการจัดการความรู้ของโรงเรียนชาวนา ในหลายๆ พื้นที่ หรือจะเยี่ยมชมการจัดการความรู้ของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง เป็นต้น เพราะจะทำให้คณะสัญจรได้เห็นและเข้าใจในเนื้อหารายละเอียดอย่างลึกซึ้งชัดเจนมากกว่า โดยเฉพาะหากมีคนจากหลายๆ กลุ่มร่วมเดินทางไปด้วย เช่น สื่อมวลชน เป็นต้น เพราะแต่ละกลุ่มก็จะมีเป้าหมายในการเรียนรู้ ในการเจาะลึกแต่ละประเด็นแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน และหากเป็นกลุ่มใหม่ที่ยังไม่มีพื้นความรู้หรือความเข้าใจเรื่องของการจัดการความรู้มากนัก ก็จำเป็นที่จะต้องมีการปูพื้นหรือสรุปแนวคิดเรื่องของการจัดการความรู้ให้ก่อนการเดินทางด้วย เมื่อเดินทางถึงในแต่ละพื้นที่แล้ว จะได้สามารถจับประเด็นที่เชื่อมโยงกับการจัดการความรู้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ ได้มีการทำ AAR บนรถระหว่างการเดินทางหลังเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมแต่ละพื้นที่แล้ว ซึ่งช่วยทำให้แต่ละคนสามารถจับประเด็นเพื่อเชื่อมโยงกับแนวคิดของการจัดการความรู้ได้อย่างดีทีเดียว ทำให้เราไม่ตกหล่นในบางประเด็นหรือบางมุมมองต่างๆ ที่เราอาจจะไม่ทันได้คิดหรือมองเห็นได้
ผู้บันทึกคิดว่า การ AAR ช่วยทำให้เกิดการเติมเต็มระบบความคิดจากการปฏิบัติสู่แนวคิดการจัดการความรู้ได้เป็นอย่างดีที่สุด นี่คือพลังที่สำคัญของการจัดการความรู้อย่างแท้จริง