เวทีหารือทิศทางการขับเคลื่อนสถาบันการเงินชุมชน กรณีศึกษา 4 ตำบลในจังหวัดนครศรีธรรมราช
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. ณ วัดป่ายาง ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย จัดโดยหน่วยจัดการความรู้องค์กรการเงินชุมชน ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
เป้าหมายของการจัดเวทีครั้งนี้ ก่อเกิดภาคีการทำงาน(องค์กรการเงินชุมชน)อย่างมีส่วนร่วมนำไปสู่การพัฒนาแผนการขับเคลื่อนสถาบันการเงินชุมชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อไปสู่ทิศทางเป้าหมาย
กลุ่มผู้เข้าร่วม จำนวน 18 คน ประกอบด้วย
อำเภอท่าศาลา
1) สถาบันการเงินบ้านบ่อนนท์(ระดับอำเภอ)
2) กองทุนหมู่บ้านบ้านบ่อนนท์(ระดับหมู่บ้าน)
3) สถาบันการเงินบ้านโมคลาน(ซึ่งรวมกองทุนหมู่บ้าน+ธนาคารหมู่บ้าน+กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต)
4) กองทุนหมู่บ้านศาลาสามหลัง
5) กองทุนหมู่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลไทยบุรี
อำเภอทุ่งสง
1) สถาบันการเงินบ้านควนกวด
2) กองทุนหมู่บ้าน หมู่ที่ 5 และ หมู่ที่ 12
อำเภอถ้ำพรรณรา
1) ธนาคารวิสาหกิจชุมชนถ้ำพรรณรา
อำเภอเมือง
1) เครือข่ายสัจจะวัดป่ายาง
กระบวนการในเวที
- คุณภีม ภคเมธาวี ผู้ประสานงานชุดโครงการฯ นำเสนอ “ทิศทางการขับเคลื่อนสถาบันการเงินชุมชนจังหวัดนครศรีฯ”
- พี่รัช รัชนี สุขศรีวรรณ (เจ้าของเวที^_^) นำเสนอข้อมูลพื้นที่ กรณีศึกษา หลังจากทำการบ้านลงพื้นที่เก็บข้อมูล และสรรหาทีมที่สนใจเข้าร่วมการขับเคลื่อนงานครั้งนี้
- เครือข่ายสัจจะวัดป่ายางให้ฉายให้เห็นภาพรวมของพื้นที่ตนเอง โดย พี่ดำ(ไพศาล พรหมสิงห์)และพี่แว (ประเวียง ดุลแก้ว)
- หลังจากนั้นก็เริ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ข้อมูลความรู้จากกระบวนการ
ส่วนข้อมูลของพื้นที่กรณีศึกษา 1) สถาบันการเงินบ้านบ่อนนท์ 2) สถาบันการเงินบ้านควนกวด 3) ธนาคารวิสาหกิจชุมชนถ้ำพรรณรา นั้นลองติดตามในบันทึกก่อนหน้านี้นะค่ะ ขอเพิ่มเติมข้อมูลเครือข่ายวัดป่ายาง จากที่นำเสนอในเวที โดยพี่ดำ ค่ะ
เครือข่ายวัดป่ายาง (ปุ๋ย กากน้ำตาล โรงน้ำ …)
- ปัจจุบัน มี 21 กลุ่ม
- สมาชิก 3,600 กว่าคน
- ทีมกรรมการบริหารจัดการ 34 คน
- เงินทุนหมุนเวียน 30 ล้านบาท
- กิจกรรมเน้นการลงทุนธุรกิจเพื่อชุมชน
- ประชุมทุกวันที่ 29 ของเดือน
ในส่วนของสัจจะวัดป่ายางนั้น
- ปัจจุบันมีสมาชิก 1,100 คน
- ทีมกรรมการบริหารจัดการ 18 คน
- เงินทุนหมุนเวียน 9.4 ล้านบาท
- กิจกรรมมี
· การจัดสวัสดิการ(กองทุน 4 ล้าน) มีการจัดสวัสดิการค่าน้ำ-ค่าไฟ ให้สมาชิกทุกครัวเรือน/ครั้งละ 50 บาท/ครัวเรือ/ต่อเดือน แต่มีข้อจำกัดว่าสมาชิกต้องมาส่งสัจจะด้วยตัวเอง/ โดยมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เดือนละประมาณ 20,000 กว่าบาท ส่วนของสวัสดิการสมาชิกที่นอนโรงพยาบาลจ่ายเป็นรุ่น ๆ รุ่น ที่ 1 คืนละ 500 บาท
· สัจจะ(เงินหุ้นสมาชิก 5 ล้าน)
- ตารางกิจกรรมของสัจจะวัดป่ายาง คือ
· วันที่ 20 ของทุกเดือน พิจารณาเงินกู้
· วันที่ 24 ของทุกเดือน ทำสัญญาต่อหน้ากรรมการ
· วันที่ 25 ของทุกเดือน วันทำการรับสัจจะ/ส่งเงินกู้/ส่งสัจจะด้วยตัวเอง อื่น ๆ
· วันที่ 26 ของทุกเดือน สรุปงานบัญชี สรุปภาพรวมทั้งหมด ลปรร.กันด้วยค่ะ
โดยหลักการแล้ววัดป่ายาง นำโดย พระสุวรรณ คเวสโก นั้น แนวคิดอยู่ที่การเน้นคนให้รู้จักการออม และเป้าหมายการจัดบริการขั้นพื้นฐานในชุมชนให้ครอบคลุม อาทิ มีโรงเรียน มีโรงพยาบาล (ครบองค์บ้าน วัด โรงเรียน ค่ะ)
กองทุนหมู่บ้านศาลาสามหลัง
- ปัจจุบันมีสมาชิก 470 คน
- เงินทุนหมุนเวียน 3.9 ล้านบาท
- เก็บสัจจะได้ 60,000 บาท/เดือน
- กำไรสุทธิในปี 2551 ประมาณ 2 แสนกว่าบาท จัดสรรเป็นสวัสดิการประมาณ 4-5 หมื่นบาท(คงเหลือไว้ที่กองทุน)จัดสรรส่วนหนึ่งประกันความเสี่ยงไว้ เพื่อสาธารณประโยชน์(ยังไม่ได้แจ้งเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการว่ากี่เปอร์เซ็นต์ค่ะ)
- ด้านการปล่อยกู้คิดดอกเบี้ย 7%
- ที่นี่ประสบปัญหาเรื่องภาวะหนี้เสีย
- กำลังจะเปิดเป็นสถาบันการเงิน
ก่อนปิดเวทีในช่วงบ่าย 3 นั้นวิทยากรกระบวนการพยายามจะหาข้อสรุปว่าภาคีองค์กรการเงินที่เข้าร่วมวันนี้มีความคิดเห็นกันอย่างไรกับวง ลปรร.ลักษณะนี้ บ้างก็ว่าน่าจะมีการพบปะกันทุก 6 เดือน ดูความเคลื่อนไหวของแต่ละพื้นที่ว่าเคลื่อนไปถึงไหนอย่างไรบ้าง มา ลปรร.กันอีกครั้ง เล่ากันให้ฟังว่ากระนั้นเถอะ (^_^) ในส่วนตัวแล้วนั้นมองว่าหลายพื้นที่ดูจะนิ่งเฉย ที่ทำอยู่ เป็นอยู่ก็ดีแล้ว เกินเป้าที่ตั้งไว้มากมายแล้ว แต่ถ้าให้มีการมาพบปะ ลปรร.กันก็เป็นประโยชน์ยินดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเวทีแบบนั้นก็มีมากมาย ส่วนตัวมองว่ามันไม่สนุก ไม่ท้าทายและไม่น่าจะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆที่เป็นประโยชน์ เรียบ นิ่ง และก็หายไป….
ขออนุญาตก๊อบปี้ข้อมูลน้องแหม่มไว้ให้ทีมงานไว้อ่านเผื่อต่อยอดค่ะ
ความเห็นสุดท้ายน่าสนใจนะคะ...
"ในความเป็นจริงแล้วเวทีแบบนั้นก็มีมากมาย ส่วนตัวมองว่ามันไม่สนุก ไม่ท้าทายและไม่น่าจะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆที่เป็นประโยชน์ เรียบ นิ่ง และก็หายไป…."
น่าคิดต่อค่ะ
วงเรียนรู้ครั้งแรกเป็นแบบเปิดตัว/ผสมผสาน จึงมีลักษณะของการแลกเปลี่ยนแบบเวทีทั่วไป ไม่ใช่การเรียนรู้แบบเฉพาะเจาะจงซึ่งต้องคัดเลือกผู้เข้าร่วมในบทบาทเดียวกัน การเรียนรู้จะได้แบบกว้างๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วไป คือเรียนรู้เพื่อความเข้าใจในภาพรวมของแต่ละแห่ง ช่วยเพิ่มแนวคิด รูปแบบวิธีการจัดการเอาไปปรับใช้ในกลุ่มของตนเองได้บ้าง ก็เป็นประโยชน์อยู่บ้างสำหรับผู้เข้าร่วมตามเงื่อนไขของการประชุมที่มีผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงและเป็นเวทีแรก แต่ส่วนตัวผมได้ประโยชน์มาก เพราะไม่ได้ลงพื้นที่กับ2สาว จึงมีโอกาสรับฟังข้อมูลจากหลายพื้นที่และจากหลายกลุ่มตัวอย่างในคราวเดียวกัน
วันนี้ทีมงานหน่วยฯได้หารือกัน มอบหมายให้รัชนีเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยร่วมกับหทัยศึกษาลงลึกใน3กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มสัจจะวัดป่ายาง สถาบันการเงินต.โมคลาน และสถาบันการเงินต.ควนกรดว่ามีแนวคิดวัตถุประสงค์เป้าหมาย และดำเนินกิจกรรมอะไร อย่างไรบ้าง?เพื่อดูว่าเกิดผลกระทบขึ้นในสมาชิกและชุมชนอย่างไรบ้าง? คล้ายๆกับการลงไปประเมินอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะร่วมกันวางแผนดำเนินการ(พัฒนา)กลุ่มให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
เป็นการแลกเปลี่ยนผ่านบล็อกที่น่าสนใจมากสำหรับคนสามคนที่นั่งโต๊ะติดกัน :)
โดยส่วนตัวคิดว่า ประโยชน์ของวงแลกเปลียนเรียนรู้ จะเกิดขึ้นเมื่อ แต่ละคนมีข้อมูลประสบการณ์ และมุมมองที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นต่างระดับ หรือ ต่างมิติ แต่ถ้ารู้เท่าๆกัน มองเหมือนๆกัน การ ลปรร ก็อาจดูเหมือนไม่มีประโยชน์
ดังนั้น ในวงเรียนรู้วงหนึ่ง ผู้คนจึงอาจรู้สึกได้หลากหลาย... คุณภีมอาจรู้สึกเป็นประโยชน์ที่ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่รู้ น้องแหม่มหรือชาวบ้านเองที่ "รู้อยู่แล้ว" อาจไม่รู้สึกสนุก (จนกว่าจะมีคนเปิดมุมมองใหม่)... นักวิจัยจากเมืองบางกอกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ในพื้นที่ก็ตื่นเต้น แต่นักวิจัยท้องถิ่นอาจรู้สึกว่าไม่มีอะไรใหม่ ไม่น่าสนใจ... เช่นนี้เป็นต้น..
ความสนุกและประโยชน์ในวงเรียนรู้ คือ การพยายามตั้งใจฟังและค้นหาความรู้ใหม่ มุมมองใหม่ๆ จากคนอื่น
แม้แต่หนึ่งประโยค ก็ยังดี...และบางครั้งก็เป็นประโยคเดียวที่ทรงพลังด้วย.. (เจอบ่อยๆในเวทีชาวบ้าน)..