การเรียนวิชาการวิเคราะห์และออกแบบระบบการจัดการความรู้ในองค์กร สัปดาห์ ที่3 วันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2552 โดยท่านอธิการ รศ.ดร ศิโรจน์ ผลพันธิน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ด้านการจัดการความรู้ให้ฟังว่ามาจากประเทศอเมริกา ในศตวรรษที่ 21 มีการใช้ความรู้เป็นปัจจัยในการพัฒนาประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามรถในการแข่งขันมากกว่าการใช้เงินทุนและแรงงานดังเช่นในอดีต กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่อาจหยุดยั้งหรือหลีกพ้นได้แต่จะเป็นการเปลี่ยนแลงที่เคลื่อนไปข้างหน้าในลักษณะสังคม-เศรษฐกิจฐานความรู้ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในองค์กรได้จริง เพื่อให้การจัดการความรู้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตัวเองและงานที่ทำในองค์กร
การพัฒนาองค์การ (Organization Development)
องค์กรจะต้องเติบโต
- Survival การอยู่รอดขององค์กร
- Survivability ความสามารถในการอยู่รอดขององค์กร
-ความเข็มแข้งขององค์กร
การพัฒนา 2ทาง คือ
-การใช้คน
-กรใช้ความรู้
การพัฒนาอย่างไรจึงจะให้คนกับความรู้มาอยู่ร่วมกันและต้องนำมาใช้ให้ได้ถึงจะเกิดประโยชน์
Ex. – บริษัท 7-11 จำกัด ในการลดกระดาษใบเสร็จ 1 ซม. ซึ่งได้ผล
- บริษัทTOYOTA จำกัด ทำการลดคนงานเพื่อลดต้นทุนซึ่งได้ผล
ความรู้(Knowledge)
การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงขางขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่อยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สารถรวบรวม ถ่ายทอดได้โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่างๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม
Km ไม่ได้เป็น
- tool
- เทคโนโลยี
- HR
แต่เป็นตัวที่จะมาจัดการกับความรู้และคนในการพัฒนาในลักษณะที่ตรงความต้องการที่จะใช้ขององค์กร ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยนจากผู้บริหารก่อน จึงจะเกิดการมองไปข้างหน้าเพื่อการเรียนรู้
การพัฒนาจะต้องดูที่คนก่อนที่จะดูที่สมองของคน
การพัฒนาความรู้อยู่ในเงื่อนไขสำคัญของสติปัญญาส่วนเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเป็นฐานข้อมูล
ในปัจจุบันสังคมสอนให้เด็กใช้สมองซีกซ้ายมากแต่ความจริงจะต้องพัฒนาไปทั้งสองด้านพร้อมกันจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
สรุป
องค์การที่มีความเฉลียวฉลาด สามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเท่านั้นที่จะสามารถดำรงอยู่ได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาองค์การ จะต้องเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้อย่างเหมาะสม โดยต้องมีการศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงในแนวคิดและปรัชญาของ ทฤษฎีองค์การ พฤติกรรมองค์การและ เครื่องมือทางด้านการบริหารและการพัฒนาองค์การนั้นๆ ว่าเครื่องมือใดเหมาะสมกับองค์การของเราและสามารถนำมาใช้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้ เกิดประโยชน์สูงสุดอย่าง แท้จริงต่อองค์การ
สุขสันต์ ในวัน แห่งความรัก
ได้ประจักษ์ ใจจริง ทุกสิ่งสรรพ์
panjitยล..คนศรัทธา ค่าอนันต์
มิตรสัมพันธ์ สังคม...ชื่นชมเทอญ