คำว่า “รัฐบาลถังแตก”
เป็นคำถามที่สังคม ยังแคลงใจในคำตอบ
แม้กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายบริหารรายรับและรายจ่าย
ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ฐานะการคลังของประเทศไม่มีปัญหา
เป็นเพียงปัญหาการบริหารสภาพคล่องในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น กล่าวคือ
มีรายได้เข้ามาไม่ทันกับรายจ่าย ทำให้เกิดปัญหาเงินขาดมือ
เบิกจ่ายไม่คล่องตัว เมื่อรายรับเข้ามา
ปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลาย แต่แท้จริงสังคมอยากได้คำตอบว่า
เงินคงคลังที่มีอยู่ในมือเพียง 4 หมื่นล้านบาท
เพียงพอที่จะรองรับการใช้จ่ายฉุกเฉินหรือไม่
ทำไมจึงปล่อยให้เงินเหลือติดแค่ก้นกระเป๋า
ถือเป็นตัวสะท้อนความไม่มีวินัยเรื่องการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำเนินการเพื่อเอาใจข้าราชการและชนชั้นล่าง
ตามแนวทางประชานิยม ล้วนนำมาซึ่งการลดลงของเงินคงคลังทั้งสิ้น
ย้อนหลังไปดูฐานะเงินคงคลังนับตั้งแต่ปี 2532
ฐานะเงินคงคลังอยู่ในระดับเกินดุลมาต่อเนื่อง เพราะช่วงนั้น
ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว รายรับเข้ามามากกว่ารายจ่าย
จึงสะสมอยู่ในเงินคงคลัง ยอดเงินคงคลังสูงสุดเกือบ 4 แสนล้านบาทในปี
2539 จากเกือบแสนล้านบาทในปี 2532
จากนั้นประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
เงินคงคลังถูกนำไปใช้ ส่งผลให้เงินคงคลังลดระดับลงมาเรื่อย ๆ
และถึงจุดต่ำสุดในช่วงปี 2543 และ 2544
โดยอยู่ที่ระดับไม่ถึงแสนล้านบาท
ช่วงปี 2544 รัฐบาลไทยรักไทยเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ
ระดับเงินคงคลังทรงตัวและเริ่มฟื้นตัวสูงสุดประมาณ 1.5 แสนล้านบาทในปี
2547 และลดระดับลงต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ล่าสุดเหลือเพียง
4 หมื่นล้านบาท ต้นมีนาคม 2549
ส่งผลให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณสะดุด
กรมบัญชีกลางออกประกาศว่าการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะล่าช้าออกไปเป็น
3-7 วันทำการ จากเดิมสามารถเบิกจ่ายได้ภายใน 1-3 วันทำการเท่านั้น
แต่ยืนยันว่า หลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
การเบิกจ่ายจะกลับเข้าสู่สภาวะเดิม
อย่างไรก็ตาม สำหรับรายจ่ายประจำ เช่น
เงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างจะไม่มีปัญหาเรื่องการเบิกจ่าย
เพราะเงินคงคลังที่เหลืออยู่นั้น ได้ตัดค่าใช้จ่ายประจำออกไปหมดแล้ว
ขณะที่
ระดับเงินคงคลังที่มีอยู่สามารถรองรับการใช้จ่ายได้ระยะ 14 วันทำการ
ถือว่า เพียงพอกับระบบเศรษฐกิจในขณะนี้
คำถามที่ตามมา คือ รัฐบาลใช้เงินเกินตัว หรือ
ใช้จ่ายเพื่อเรียกคะแนนนิยมของตนเองหรือไม่
แม้นโยบายประชานิยมของไทยรักไทย ถือว่า
ได้ใจประชาชนระดับรากหญ้า แต่ทำให้เงินคงคลัง ซึ่งถือว่า
เป็นหน้าตักของประเทศร่อยหรอลงอย่างเห็นได้ชัด
มีรายงานว่า
การขึ้นเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างเมื่อปลายปี 2547
เงินคงคลังถูกนำไปใช้เกือบ 4 หมื่นล้านบาท
ช่วงนั้นเป็นช่วงการก่อนเลือกตั้ง และพรรคไทยรักไทย ภายใต้แกนนำของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2
รัฐบาลสามารถนำเงินคงคลังไปใช้ได้ตามกฎหมาย
โดยพระราชบัญญัติเงินคงคลังมาตรา 7 (1)
เขียนไว้ชัดเจนว่า
สามารถนำไปใช้กรณีที่มีกฎหมายให้ใช้แต่ตั้งเบิกไว้ไม่เพียงพอ เช่น
กฎหมายบอกว่าต้องจ่ายเงินเดือนข้าราชการ
แต่ทางสำนักงบประมาณตั้งงบประมาณไว้ไม่พอกับรายจ่าย ยกตัวอย่าง
ตั้งเบิกไว้ 2 หมื่นล้านบาท แต่ใช้จริง 3 หมื่นล้านบาท ส่วนขาด 1
หมื่นล้านบาท สามารถเบิกจากเงินคงคลังได้ เมื่อเบิกจ่ายไปแล้ว
ปีงบประมาณต่อไปต้องใช้คืนเงินคงคลัง
แต่ใช้ทางบัญชีเท่านั้น หมายความว่า ไม่ต้องใช้เงินสดคืนคลัง
จุดนี้ทำให้ระดับเงินคงคลังลดลงได้ นอกจากนี้
พระราชบัญญัติเงินคงคลังในมาตรา 7 ยังมีอีก 4
วงเล็บที่สามารถนำเงินคงคลังไปใช้ได้ โดยวงเล็บ 2
เขียนไว้ว่า จะจ่ายได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้ต้องจ่าย เช่น
รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งของกระทรวงการคลังมีภาระต้องจ่ายชดเชยเงินเดือนพนักงาน
ก็สามารถนำเงินคงคลังไปใช้ได้ แต่การใช้คืนก็ใช้ทางบัญชีเช่นกัน มาตรา
7 วงเล็บ 3 ระบุว่า
สามารถนำเงินคงคลังไปใช้กรณีมีข้อผูกพันกับรัฐบาลต่างประเทศ มาตรา 7
วงเล็บ 4 ระบุว่า
เพื่อซื้อคืนหรือไถ่ถอนพันธบัตรหรือตราสารเงินกู้ของกระทรวงการคลัง
ทั้งวงเล็บ 3 และวงเล็บ 4 ไม่ต้องใช้เงินคลัง และ มาตรา 7 วงเล็บ 5
ใช้เพื่อซื้อเงินตราต่างประเทศ
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า
เงินคงคลังถูกนำไปใช้ในกรณีที่มีกฎหมายให้ใช้แต่ตั้งเบิกไว้ไม่เพียงพอมากที่สุด
รองลงมาเป็น การใช้กรณีที่กฎหมายระบุให้ต้องจ่าย
และใช้ในกรณีเพื่อซื้อคืนและไถ่ถอนพันธบัตรหรือตราสารเงินกู้ของกระทรวงการคลัง
โดยกรณีที่มีกฎหมายให้ใช้แต่ตั้งเบิกไว้ไม่เพียงพอนั้น นับตั้งแต่ปี
2541 ถึง 2548 มีการนำเงินคงคลังไปใช้เกือบ 1 แสนล้านบาท
และอีกหลายหมื่นล้านบาทสำหรับ 2 กรณีที่เหลือ “ที่ผ่านมา
เราใช้เงินคงคลัง
เพื่อจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างในส่วนที่ขาดเป็นหลัก
รองลงมาก็ใช้ในมาตรา 7 วงเล็บ 2 โดยจ่ายให้กองทุนหน่วยงานราชการต่าง ๆ
เช่น กบข. ประกันสังคม ขสมก. ถ้าขาดทุน
กฎหมาย ก็ให้จ่ายชดเชย เป็นต้น วงเล็บ
4 เพิ่งเคยทำ เราไถ่ถอนหนี้ก่อนกำหนด 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2543
หลังจากนั้นก็ไถ่ถอนตั๋วเงินคลังในปี 2545 อีก 1.3 หมื่นล้านบาท
อีก 3.9 หมื่นล้านบาท ในปี 2546
และไถ่ถอนพันธบัตรอีก 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2547
จากนั้น ก็ไถ่ถอนพันธบัตรก่อนกำหนด 287 ล้านบาทในปี 2548
ส่วนวงเล็บ 3 และ 5 ไม่เคยถูกนำไปใช้”
แหล่งข่าวกล่าว
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังบอกว่าการใช้เงินคงคลังเป็นเรื่องปกติที่ทำมาตลอด
ปัญหาและอุปสรรคไม่มีหรอก ประเด็นคือ
มีการนำเรื่องของการเมืองมาจับกับเรื่องเงินคงคลัง จริง ๆ
มันเป็นการบริหารเงินสดปกติ อาจมีติดขัดบ้าง
ในช่วงที่รายรับเข้ามา ไม่ทันกับรายจ่าย
เราก็ต้องบริการกันไป
แต่นับตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป
รายรับจากภาษีเงินได้นิติบุคคล จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และยืนยันว่า งบประมาณจะสมดุลตามเป้าหมาย
ระดับเงินคงคลังจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท
ที่เชื่ออย่างนั้น เพราะขณะนี้
รายได้เรามีเข้ามาเกินกว่าเป้าหมายแล้วถึง 8
พันล้านบาท
“อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สศค.
อยู่ระหว่างศึกษาถึงระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมควรอยู่เท่าไร ผมบอก 10
วันทำการ ก็พอแล้ว ส่วนนักวิชาการบอกต้องมีไว้ 3
เดือน มีไว้ทำไม ตอนนี้เรามี 14 วันทำการ อยู่ที่ 4
หมื่นกว่าล้านก็พอแล้ว ปัญหาคือ
เอาการเมืองมาจับกับเรื่องที่เรามีปัญหาสภาพคล่อง
ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาการใช้จ่ายเงินเกินตัว
แต่เป็นเพราะกระแสการเบิกจ่ายเงินสดมากกว่ากระแสรายรับเท่านั้น”
ดร.สมชัยกล่าว
เขากล่าวว่า ปัจจุบันการใช้จ่ายอยู่ในระดับปกติ
แต่ขออย่าให้รัฐบาลตั้งงบกลางปี เพราะจะทำให้เกิด
แรงกดดันในการบริหารสภาพคล่อง
เนื่องจากการเบิกจ่ายจะกระชั้นชิดในช่วงต้นปีงบประมาณ
แต่รายได้เข้ามาไม่พอ ทั้งนี้
เราไม่ได้สัญญาณอะไรจากรัฐบาลทั้งสิ้น แต่เห็นว่า
ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้สามารถเดินหน้าไปได้
โดยแรงหนุนหลักมาจากการส่งออก
จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอย่างรุนแรง สิ่งที่จำเป็น คือ
เรื่องของระยะกลางและระยะยาวมากกว่า เช่น เรื่องของเมกะโปรเจค
และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
“การตั้งงบกลางปีอย่าทำบ่อย
เพราะการเบิกจ่ายกระชั้นชิดต้นปีปีงบประมาณ แต่รายได้ไม่เข้ามา
เราไม่ได้สัญญาณอะไร แต่ถ้า ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องตั้ง
ถ้าเศรษฐกิจไม่ต้องการกระตุ้นอย่างรุนแรง
เพราะจะทำให้การบริหารสภาพคล่องเรายากมากขึ้น ถามว่า
เศรษฐกิจต้องการกระตุ้นหรือไม่ จริง ๆ แล้วเศรษฐกิจชะลอตามปกติ
ไม่ต้องไปกระตุ้น เราจะโตได้จากส่งออก”ดร.สมชัยกล่าว
นอกจากนั้น วินัยการคลังต้องมีการปรับปรุง
เพราะกฎหมายบอกแต่วิธีการนำเงินคงคลังไปใช้
แต่ไม่ได้บอกวิธีการไฟแนนซ์
จึงมีแนวคิดเรื่องการตั้งเงินสดคืนเงินคงคลัง
ส่วนหนึ่งเพื่อรักษาวินัยไม่ให้มีการ
ใช้จ่ายเงินเกินกว่าเป้าหมาย
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ
นักวิชาการจากสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) ระบุ จริง ๆ
แล้วระดับเงินคงคลังของประเทศในปัจจุบันไม่ได้สะท้อนฐานะที่แท้จริงหรือความมั่งคั่งของรัฐบาล
เพราะประเทศเรา ยังมีหนี้ที่ต้องชำระ
ดูได้จากหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ที่ยังอยู่ในระดับกว่า 40%ต่อจีดีพี
โดยระดับของเงินคงคลัง ที่มีอยู่สะท้อนว่า
เรามีเงินสดอยู่ในมือเท่านั้น ถามว่า
ระดับที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงพอหรือไม่ ก็ไม่สามารถตอบได้
เพราะเงินที่มีอยู่ถือว่าเป็นเงินที่มีเจ้าของอยู่แล้ว กล่าวคือ
เรายังมีหนี้ที่ต้องชำระ เมื่อเราชำระหนี้ได้หมด และมีเงินเหลือพอ
จึงจะสะท้อนถึงความมั่งคั่งของประเทศ
“สมัยก่อนระดับของเงินคงคลังสะท้อนถึงฐานะและความมั่งคั่งของประเทศ
เพราะประเทศเราไม่มีหนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพราะเรามีหนี้ ถามว่า
เราถังแตกหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า
เราถังแตกมาตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจแล้ว เพราะเรามีหนี้เยอะมาก
ฉะนั้น
เงินคงคลังที่มีอยู่สะท้อนแค่กระแสเงินสดในมือเท่านั้น
ซึ่งมีเยอะไปก็ไม่ดี มีน้อยไปก็ไม่ดี เพราะถ้ามีเยอะไป
แต่ระดับหนี้ไม่ลดลง ก็ไม่สะท้อนฐานะที่แท้จริง แต่ถ้ามีน้อยไป
ก็ไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย ตรงนี้
ต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการการเบิกจ่ายงบประมาณด้วย”
เขาประเมินว่า ที่ผ่านมาระดับเงินคงคลังลดลง
เพราะการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ตามนโยบายการเบิกจ่ายแบบล้างท่อของรัฐบาลในช่วงก่อนหน้านี้
ขณะที่ระบบการเบิกจ่ายทางอิเล็กทรอนิกส์
ก็ทำให้การเบิกจ่ายเงินรวดเร็ว
ส่งผลต่อการบริหารสภาพคล่องเงินคงคลัง อย่างไรก็ตาม
การเบิกจ่ายเงินที่เร็วนั้น ก็ไม่ได้สะท้อนถึง
ความไม่มีวินัยทางการคลังของรัฐบาล
เพราะเม็ดเงินที่จ่ายออกไปทุกโครงการก็ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติอยู่แล้ว
ประเด็นคือ ต้องบริหารจัดการไม่ให้การเบิกจ่ายเข้าพร้อมกัน
เพื่อไม่ให้กระทบต่อกระแสเงินสดที่มีอยู่
กรุงเทพธุรกิจ 17 เมษายน 2547