ทำไมไม่ทานเนื้อสัตว์...เป็นเจหรือเปล่า


มีหลายคนที่ตั้งคำถามเหมือนกันว่า...ทำไมถึงไม่ทานเนื้อสัตว์ ซึ่งในที่นี้หมายถึง...ตั้งแต่หมู เป็ด ไก่ เนื้อวัว... แต่บางครั้งก็ทานเนื้อปลาบ้าง... แต่ช่วงหลังๆ เวลาที่ทานเนื้อปลาก็เริ่มชักจะทานไม่ลงเสียแล้ว

เกิดอะไรขึ้น...

เวลาที่ทาน ทำให้นึกถึง...ปลาที่กำลังแวกว่ายน้ำอย่างมีความสุขและหวงแหนในชีวิต

และเวลาที่ทานเนื้อสัตว์อื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ... ทุกๆ คำที่เคี้ยวและกลืนลงไป ทำให้นึกถึงตอนที่เขามีชีวิต และนึกถึงสภาวะขณะที่เขากำลังถูกฆ่าและกำลังจะตาย เวลาที่ทานลงไปทำให้เกิดเป็นความรู้สึกที่ฝืดๆ คอและกลืนไม่ลง ดังนั้นเวลาที่ทานข้าวจึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ต่างๆ เหล่านี้

เมื่อก่อนก็โดนถามบ่อยว่า เป็นเจ หรือมังสวิรัตหรือเปล่า

ก็ตอบว่าเปล่า...เพียงแต่แรกเริ่มนั้นพยายามฝึกฝนตนเองให้ทานผัก-ผลไม้ และดำเนินวิถีชีวิตตามแนวทางธรรมชาติ เพราะไม่ปรารถนาที่จะให้ตนเองป่วยด้วยโรคที่ไม่จำเป็น เช่น ไข้ หวัด หรืออาการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการบริโภค และการดำเนินชีวิต... พอระยะเวลาเนิ่นนานไป ความรู้สึกอยากทานเนื้อสัตว์ก็ลดลง ...

เวลาที่เดินทางไปไหนมาไหน... บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จะใช้วิธีการเขี่ยออก

รู้สึกสงสาร...

สงสารทั้งตนเองและสัตว์ที่ตกมาเป็นเหยื่ออาหารแก่เรา...

ที่สงสารตนเองนั้น เพราะเวลาที่ทานเข้าไป ร่างกายต้องทำงานหนักต่อการที่จะย่อยอาหารประเภทนี้ เพราะเนื้อสัตว์ต่างๆ ค่อนข้างใช้เวลาในการย่อยนาน เราเริ่มทรมาณตนเองตั้งแต่กระบวนการเคี้ยวอาหารแล้ว... ฟันเราต้องใช้บดอาหารเหล่านี้..และผ่านไปยังกระเพาะอาหาร ตับไต ไส้ พุง...ต่างๆ ต้องช่วยกันย่อยอาหารประเภทนี้ หากกระบวนการย่อยไม่สมบูรณ์ก็ทรมาณตัวเอง ต่อการที่มีอาการแน่นอึดอัดท้อง และรู้สึกไม่สบายในตัวเอง... เกิดเป็นความเน่าเหม็นในลำไส้ตนเอง...

สงสารสัตว์...ที่ต้องตกเป็นเหยื่อแห่งการฆ่าเพื่อมาเป็นอาหารแก่เรา...

อย่างน้อยหากว่าเขาต้องตาย...เขาควรจะได้ตายอย่างหมดอายุขัยไปตามธรรมชาติที่พึงเป็นผลอันเนื่องมาจากที่เขาได้เกิด...แต่ไม่ใช่ต้องมาตายเพื่อมาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงคนอันเกินความจำเป็นเพราะเพียงเพื่อสนองต่อการบริโภคเท่านั้น...

เมื่อพิจารณาได้ดั่งเช่นนี้...
ความรู้สึกที่อยากจะทานเนื้อสัตว์ต่างๆ ก็ลดน้อยลง

ไม่ดิ้นรนเพื่อให้ได้ทาน...แต่หากว่าไม่มีทาน จริงๆ ที่เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องทาน...แต่นั่นเพียงเพื่อการดำรงอยู่เท่านั้นเอง มากกว่าที่จะดิ้นรนเพื่อหามาให้ได้ทาน...

 

------------------------------------

หมายเลขบันทึก: 238599เขียนเมื่อ 30 มกราคม 2009 16:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม 2013 22:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

สวัสดีครับคุณKa-Poom

     ขอบคุณครับสำหรับเรื่องดีๆที่เอามาเล่าให้ฟัง จะพยายามทำแบบนี้บ้างครับ

ธรรมรักษาคุณหมอ

แบบนี้เรียกว่ามีตาดวงที่สาม

ผู้ที่มีดวงตาที่สาม มองโลก

และสรรพสิ่งย่อมไม่ธรรมดา

หากจะเรียกว่าบรรลุธรรมคงจะไม่ผิด

เพราะเห็นความทุกข์ของผู้อื่นที่ต้อง

ตายเพื่อให้เราอยู่ิรอด หรือเรามีสุข

บนความทุกข์ของผู้อื่น อนุโมทนาสาธุ

อ่านแล้วรู้สึกดีจัง เป็นทั้งแรงกระทุ้งเตือนและแรงบันดาลใจ ในคราวเดียวกัน

สวัสดีค่ะ คุณ Ka-Poom           

ก่อนอื่น ต้องขอยินดีด้วย กับกุศล ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ ด้วยใจที่มีเมตตาค่ะ   

Venus&Jupiter เคยได้ยินมาว่า  เนื้อสัตว์ จะมีสารพิษที่หลั่งออกมา เพราะใครๆ ก็รักตัวกลัวตาย   ทำให้คนที่กินเนื้อสัตว์ ได้รับสารพิษตกค้างไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

และ อาหารเนื้อสัตว์ ถ้าทานมากเกินไป ก็จะเกิดองเสียในร่างกาย มากกว่า อาหารพืชผัก ค่ะ

Venus&Jupiter

 

สวัสดีค่ะ  คุณKa-Poom

  • ดีจังเลย ทานผักผลไม้ ได้บุญกุศล ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น
  • ประเทศไทยโชคดีเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ...มีความสุขมากๆค่ะ

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป

พระองค์เมื่อเสวยเนื้อชนิดใดที่ผู้อื่นทำสำเร็จดีแล้ว ตบแต่งไว้ถวายอย่างประณีต เมื่อเสวยข้าวสุกแห่ง ข้าวสาลี ก็ชื่อว่าย่อมเสวยกลิ่นดิบ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า กลิ่นดิบย่อมไม่ควรแก่เรา แต่ยังเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลีกับเนื้อนกที่บุคคลปรุงดีแล้ว

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป ข้าพระองค์ขอทูลถามความข้อนี้กะพระองค์ว่ากลิ่นดิบของพระองค์มีประการอย่างไร ฯ

พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า

การฆ่าสัตว์ การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ การกระทำด้วยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์ และการคบหาภรรยาผู้อื่น นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย

ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยินดีในรสทั้งหลาย เจือปนไปด้วยของไม่สะอาด มีความเห็นว่าทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล มีการงานไม่เสมอ บุคคลพึงแนะนำได้โดยยากนี้ ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบเลย

ชนเหล่าใดผู้เศร้าหมอง หยาบช้า หน้าไหว้หลังหลอก ประทุษร้ายมิตรไม่มีความกรุณา มีมานะจัด มีปกติไม่ให้ และไม่ให้อะไรๆแก่ใครๆ นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย

ความโกรธ ความมัวเมา ความเป็นคนหัวดื้อ ความตั้งอยู่ผิด มายา ฤษยา ความยกตน ความถือตัว ความดูหมิ่น และความสนิทสนมด้วยอสัตบุรุษทั้งหลายนี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย

ชนเหล่าใดในโลกนี้ มีปรกติประพฤติลามก กู้หนี้มาแล้วไม่ใช้ พูดเสียดสี พูดโกง เป็นคนเทียม เป็นคนต่ำทราม กระทำกรรม หยาบช้า นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย

ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ชักชวนผู้อื่นประกอบการเบียดเบียน ทุศีล ร้ายกาจ หยาบคาย ไม่เอื้อเฟื้อ นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย

สัตว์เหล่าใดกำหนัดแล้วในสัตว์เหล่านี้ โกรธเคือง ฆ่าสัตว์ ขวนขวายในอกุศลเป็นนิตย์ ตายไปแล้วย่อมถึงที่มืด มีหัวลงตกไปสู่นรก นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย

การไม่กินปลาและเนื้อ ความเป็นคนประพฤติเปลือย ความเป็นคนโล้น การเกล้าชฎา ความเป็นผู้หมักหมมด้วยธุลี การครองหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ การบำเรอไฟ หรือแม้ว่าความเศร้าหมองในกายที่เป็นไปด้วยความปรารถนา ความเป็นเทวดา การย่างกิเลสเป็นอันมากในโลก มนต์และการเซ่นสรวง ยัญและการซ่องเสพฤดู ย่อมไม่ยังสัตว์ผู้ไม่ข้ามพ้นความสงสัยให้หมดจดได้

ผู้ใดคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหกเหล่านั้น รู้แจ้งอินทรีย์แล้ว ตั้งอยู่ในธรรม ยินดีในความเป็นคนตรงและอ่อนโยน ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องเสียได้ ละทุกข์ได้ทั้งหมด ผู้นั้นเป็นนักปราชญ์ ไม่ติดอยู่ในธรรมที่เห็นแล้ว และฟังแล้ว ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกความข้อนี้บ่อยๆ ด้วยประการฉะนี้

เล่ม ๒๕ พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ - ธรรมบท - อุทาน - อิติอุตตกะ - สุตตนิบาต หน้า ๒๘๖ ข้อ ๓๑๕

ขอบพระคุณในทุกความเห็นและผู้ที่เข้ามาอ่านทุกท่านค่ะ

(^__^)

เวลาที่ได้มีโอกาสได้รับเชิญให้พูดในเรื่อง "ธรรมชาติบำบัด - อาหารและอารมณ์"... ก็มักจะเสนอทางเลือกให้กับผู้ฟังเสมอว่า...

เวลาที่เราพิจารณาในเรื่องการทาน ให้เราน้อมใจลง และมองเข้ามาภายในตนเองว่า ณ ขณะนั้นที่เรารู้สึกว่าหิว... เป็นสภาวะที่ใจหิวหรือกายหิว... เพราะทุกวันนี้ที่เราต่างบริโภคสิ่งต่างๆ นั้นล้วนแล้วมาจาก "ใจหิว" ทั้งนั้น...

อ้อ เคยได้ยิน อันนี้เขาเรียกเจเขี่ย ส่วนบางคนก็เจเล กินเพื่อสุขภาพและสุขภาพจิต แต่จะว่าไปนะพี่ พอเริ่มแก่ตัวกินผักผลไม้เยอะๆ ก็ดีต่อสุขภาพตัวเองด้วยล่ะ ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นนะ ทีหลังไว้มากทม.ไปกินข้าวกันนะ พี่กินผักเดี๋ยวเราจำใจช่วยกินอย่างอื่นเอง ชอบช่วยคนน่ะ แต่หารเท่ากัน 555

5555... ต้องขอบคุณซูซานมากเลยที่ทำให้ได้ยิ้มรอบดึก...

วันนี้นอนดึกแต่ได้หัวเราะและเบิกบานจากข้อเสนอของซูซาน...อย่างนี้ต้องได้เลย...แบ่งกันทาน แต่หารเท่ากัน...เยี่ยมๆๆ...

(^___^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท