ปัจจุบันระบบสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และความคาดหวังของผู้รับบริการที่สูงขึ้น อัตราป่วยและเสียชีวิตของประชากรไทยเปลี่ยนจากโรคติดต่อและโรคติดเชื้อมาเป็นโรคไม่ติดต่อ และโรคที่มีสาเหตุมาจากการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ทำให้ในปี พ.ศ. 2543 เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทางสุขภาพ เปรียบเทียบตามดัชนีวัดประสิทธิภาพของระบบสุขภาพองค์การอนามัยโลก พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 99 จากสมาชิกทั้งสิ้น 191 ประเทศ ทำให้จึงต้องเร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนด้วยวิธีการเน้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมสุขภาพของตนเอง และครอบครัวเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย แต่ที่ผ่านมาการสร้างเสริมสุขภาพยังคงอาศัยมาตรการและเทคโนโลยีทางการแพทย์มากกว่ากระบวนการทางสังคม ทำให้ค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพมีราคาสูง อีกทั้งการให้บริการมีคุณภาพไม่ดีพอ ขาดการประสานแผนที่ดี ขาดกำลังคนด้านสุขภาพที่เหมาะสม จากสภาวการณ์ดังกล่าวประกอบกับประเทศไทยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปีพุทธศักราช 2540 ให้มีการปฏิรูประบบราชการ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างระบบสังคมไทย โดยเฉพาะด้านการสาธารณสุขซึ่งกำหนดให้รัฐต้องจัดบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพ (มาตรา 82) ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานอย่างเสมอภาค (มาตรา 52) มีการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมครบวงจรอย่างต่อเนื่อง (มาตรา 72) ให้บริการเชิงรุกสร้างสุขภาพเกิดระบบสุขภาพที่พึงประสงค์ ประชาชนมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ไม่ป่วยตายด้วยโรคติดต่อและโรคที่สามารถป้องกันได้ จึงต้องมีการปฏิรูประบบบริการสุขภาพเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการดูแลสุขภาพได้อย่างครอบคลุม และเป็นไปตามขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
การปฎิรูประบบบริการสุขภาพ (Health care reform) เป็นการดำเนินงานที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและนโยบายการดำเนินงานด้านสุขภาพ ได้มีการกำหนดไว้ในแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ให้มีการจัดการสถานบริการของรัฐ โดยปรับบทบาทให้สามารถแข่งขันกับสถานบริการอื่นได้ โดยเฉพาะสถานบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขที่ตั้งอยู่ในระดับตำบลอยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด มีการกระจายครอบคลุมทุกตำบล สามารถเข้าถึงสุขภาพประชาชนได้ง่ายและใช้ต้นทุนต่ำ เป็นที่ยอมรับกันว่ามีความสำคัญในการทำให้ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสุขภาพประสบความสำเร็จ จากเดิมที่รู้จักกันในชื่อของสถานีอนามัย มีบุคลากรสาธารณสุขคอยให้บริการกับประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพ เป็นการให้บริการแบบตั้งรับในสถานบริการเป็นส่วนใหญ่ มีสัดส่วนของงานรักษาพยาบาลต่องานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 75 : 25 ส่วนการให้บริการเชิงรุกเป็นการให้บริการดูแลมารดาและทารก สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และการจัดนิทรรศการ จากการดำเนินงานแบบตั้งรับทำให้สามารถบริการประชาชนได้เพียงร้อยละ 15-20 ของจำนวนประชากรในพื้นที่รับผิดชอบเท่านั้น ยังมีประชากรอีกร้อยละ 80-85 ที่ไม่ได้รับบริการสุขภาพ ผลจากการปฏิรูประบบบริการสุขภาพจึงได้มีการปรับโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ ยกระดับสถานีอนามัยมาเป็นหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ กำหนดให้มีแพทย์ออกไปให้บริการ นำยุทธศาสตร์การสร้างนำซ่อมมาใช้ร่วมกับการดำเนินงานสาธารณสุขเชิงรุก เน้นการเยี่ยมบ้านซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญของพยาบาลวิชาชีพต้องออกปฎิบัติงานเยี่ยมบ้านตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแต่ละเดือน พยายามผลักดันให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมผสมผสานกิจกรรม หน่วยบริการระดับปฐมภูมิจึงมีความสำคัญและเป็นหน่วยบริการด่านแรกของระบบบริการด้านสุขภาพ มีความใกล้ชิดกับประชาชน รู้จักสภาพวิถีชีวิตและสังคมของประชาชนในชุมชนที่รับผิดชอบมากกว่าสถานบริการในระดับทุติยภูมิ และตติยภูมิ ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพประชาชนทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน โดยทำหน้าที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง จากบทบาทและภาระงานทำให้กระทรวงสาธารณสุขมีการกำหนดขอบเขตรับผิดชอบ ให้หน่วยบริการระดับปฐมภูมิแต่ละแห่งรับผิดชอบประชากรในพื้นที่ไม่เกิน 10,000 คน มีอัตรากำลังบุคลากรด้านสุขภาพจำนวน 8 คน ประกอบด้วย แพทย์ 1 คน ทันตแพทย์ 1 คน พยาบาล 2 คน เภสัชกรและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่น 4 คน ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของเวลาทั้งหมด หรืออย่างน้อย 56 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผลการดำเนินงานในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิที่ผ่านมา พบว่าผู้ใช้บริการขาดความมั่นใจ เจ้าหน้าที่ขาดประสบการณ์งานชุมชน ขาดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะแพทย์ ทำให้พยาบาลต้องรับภาระการตรวจรักษา ผู้รับบริการจึงขาดความมั่นใจในประสิทธิภาพ นอกจากนี้พยาบาลยังมีความสับสนต่อบทบาทหน้าที่ ขาดทักษะ ขาดความพร้อม ขาดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ จากที่กล่าวมาจะพบว่าบุคลากรในทีมสุขภาพโดยเฉพาะพยาบาลวิชาชีพ จะเป็นกำลังหลักสำคัญในการดำเนินงาน ทั้งในฐานะผู้ให้บริการ ผู้จัดการ ผู้นิเทศงาน ผู้ประสานงาน ทั้งนี้เพราะพยาบาลเป็นเสมือนรากหญ้าและกลุ่มพลังหลักในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ พยาบาลวิชาชีพเป็นกำลังสำคัญในทีมสุขภาพของหน่วยบริการระดับปฐมภูมิแต่ยังคงประสบปัญหาในการดำเนินงาน ทั้งนี้เพราะพยาบาลวิชาชีพขาดการเตรียมความพร้อมในด้านทักษะ ความรู้ ความสามารถ และเจตคติต่อการปฏิบัติงานในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ซึ่งจะเห็นได้จากหลักสูตรการศึกษาของพยาบาลวิชาชีพที่ผ่านมามุ่งผลิตบัณฑิตพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานในโรงพยาบาลมากกว่าในชุมชน มุ่งเน้นการพยาบาล การแก้ไขปัญหาโรคและอาการของผู้ป่วยมากกว่าการรักษาเบื้องต้น การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การสุขาภิบาลและอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความรู้เพื่อการปฏิบัติงานในชุมชนมากนัก ดังนั้นพยาบาลวิชาชีพที่จะไปปฏิบัติงานในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ขยายขอบเขตของการปฏิบัติงาน เตรียมความพร้อมพัฒนาตนเองให้มีสมรรถนะในการปฏิบัติงานในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่การกำหนดบทบาทหน้าที่การดำเนินงานในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิที่ผ่านมายึดตามนโยบายสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับการประเมินรับรองมาตรฐาน ของสำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แต่สถานการณ์ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมจึงต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาบทบาทภาระหน้าที่ของพยาบาลวิชาชีพให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์จริงโดยใช้กระบวนการศึกษาวิจัย ผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ด้วยสถิติเชิงวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) พบองค์ประกอบที่สามารถอธิบายความแปรปรวนร่วมกันได้ร้อยละ 68.89 จำนวน 10 องค์ประกอบ ประกอบด้วย สมรรถนะด้านอนามัยชุมชน สมรรถนะด้านเวชปฏิบัติครอบครัว สมรรถนะด้านการบริหารจัดการ สมรรถนะด้านการสร้างเสริมพลังและการมีส่วนร่วมของชุมชน สมรรถนะด้านสังคมมนุษย์วิทยา สมรรถนะด้านวิชาการและการวิจัย สมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สมรรถนะด้านการตลาดเชิงวิชาการ สมรรถนะด้านภาวะผู้นำ สมรรถนะด้านกฎหมายและจริยธรรม และผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างสมรรถนะที่จำเป็นของพยาบาลวิชาชีพในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิกับสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต พ.ศ. 2545 ของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยสถิติการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ผลการวิเคราะห์พบว่า สมรรถนะที่มีความสอดคล้องประกอบด้วย ด้านอนามัยชุมชน ด้านการบริหารจัดการ ด้านการสร้างเสริมพลังและการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านสังคมมนุษย์วิทยา ด้านวิชาการและการวิจัย ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านภาวะผู้นำ ด้านกฎหมายและจริยธรรม ส่วนสมรรถนะที่ไม่มีความสอดคล้องประกอบด้วย ด้านเวชปฏิบัติครอบครัว และ ด้านการตลาดเชิงวิชาการ
สวัสดีค่ะ ดิฉันทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพที่เวชกรรมสังคมอยากทราบสมรรถนะของพยาบาลเวชกรรมสังคมค่ะ
กำลังเป็นที่กล่าวขานมากค่ะ เพราะว่าเริ่มประเมินแล้วอยากให้ สภา หรือ สมาคม ระบุให้ชัด พยาบาลแต่ละระดับ (ตามแท่ง) รวมทั้งแต่ขนาดของโรงพยาบาล (ปฐม ทุติ ตติยภูมิ) และวิธีการประเมิน ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันค่ะ หรือว่ามีแล้ว ขอข้อมูลว่าจะสืบค้นที่ใดค่ะ
รบกวนสอบถามว่างานวิจัยที่เป็นรูปเล่มเรื่องวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ของดร.ผกาวรรณ สามารถยืมได้ที่ไหนคะเนื่องจากกำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ค่ะ