การเรียนรู้ตลอดชีวิตกับชาวนา (๒๑)_๑
ขอนำรายงานของมูลนิธิข้าวขวัญ ตอนที่ ๒๑ มาลงต่อนะครับ เป็นการเอาตัวโครงการมาให้ทราบ ขอย้ำว่าข้อเขียนทั้งหมดเขียนโดยมูลนิธิข้าวขวัญ
ภาคผนวก ก
โครงการ ส่งเสริมการจัดการความรู้
เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
1. ความสำคัญของปัญหา
ระบบเกษตรกรรมหลักในประเทศไทยปัจจุบันคือระบบเกษตรกรรมในแนวทางปฏิวัติเขียว (The Green Revolution) ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ ปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์เชิงเดี่ยว ในพื้นที่กว้างขวาง โดยอาศัยปัจจัยการผลิตที่นำเข้าจากภายนอกพื้นที่ เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา ยาปราบวัชพืช ฯลฯ รวมทั้งเครื่องจักรกลการเกษตรและน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการเกษตรแนวทางปฏิวัติเขียวนี้ดำเนินมาในประเทศไทยตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 มาจนถึงปัจจุบัน มีผลกระทบด้านต่างๆมากมาย รวมทั้งด้านสุขภาพ ของทั้งเกษตรกรเองและประชาชนทั่วไปในฐานะผู้บริโภค
ปัญหาที่เกิดจากระบบเกษตรกรรมแนวทางปฏิวัติเขียวดังกล่าวเป็นที่ตระหนักรู้กันทั่วไปมานับสิบปีแล้ว โดยเฉพาะในส่วนองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรเพื่อปรับเปลี่ยนระบบเกษตรแนวทางการปฏิวัติเขียว ให้เป็นระบบเกษตรกรรมที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ดังเห็นได้จากการก่อตั้ง “เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก” ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 และทำงานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2539 – 2544) ได้กำหนดให้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรจำนวน 20 % หรือประมาณ 25 ล้านไร่ ให้เป็นการเกษตรในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน 4 รูปแบบ คือ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร เกษตรอินทรีย์ และเกษตรธรรมชาติ จากนั้นเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกร่วมกับเกษตรรายย่อยได้เสนอ “โครงการนำร่องเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อย” ต่อรัฐบาล และได้รับการอนุมัติงบประมาณ 633 ล้านบาท ให้ดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ.2544 – 2546 สำหรับภาครัฐเองก็มีการดำเนินงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืนควบคู่ไปกับภาคประชาชนหลายโครงการ
อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน ปัญหาจากระบบเกษตรกรรมแนวทางปฏิวัติเขียวก็ยังไม่ได้ลดลง เพราะจากตัวเลขการนำเข้าสารเคมีการเกษตรของประเทศไทยปรากฏว่ายังคงมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกปี และการเพิ่มขึ้นของสารเคมีการเกษตรดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคร้ายแรงบางโรค เช่น มะเร็งเป็นต้น ดังนั้น การปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรที่พึ่งพาสารเคมี (ระบบเกษตรกรรมแนวทางปฏิวัติเขียว) ไปเป็นการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดปริมาณการนำเข้าสารเคมีการเกษตรในอนาคต ซึ่งจะมีผลทำให้สุขภาพของคนไทยดีขึ้นด้วย
ปัจจุบันประชาชนทั่วไปทราบดีถึงพิษภัยของสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร และเรียกร้องให้มีการควบคุมการสารเคมีในการเกษตร รวมทั้งผู้บริโภคก็ต้องการสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยจาก “สารพิษ” “ไร้สารพิษ” “ปลอดสารพิษ” หรือสินค้า “เกษตรอินทรีย์” กันมากขึ้น ในประเทศไทยมีองค์กรทำหน้าที่กำหนด ตรวจสอบและรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการเชื่อถือระดับโลกแล้ว คือ “มูลนิธิมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.)” ทำงานร่วมกับเกษตรกรไทยทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก มกท. สามารถส่งออกไปขายได้ทั่วโลกในฐานะสินค้าเกษตรอินทรีย์ (Organic Products) เป็นที่ต้องการของตลาดโลกและได้ราคาสูงกว่าสินค้าปกติไม่ต่ำกว่า 30 % รวมทั้งตลาดในประเทศไทยก็ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
การขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรมที่ไม่ใช้สารเคมี (เกษตรกรรมยั่งยืน) อันเป็นระบบการเกษตรที่เอื้อต่อสุขภาพเป็นไปอย่างล่าช้ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการของประชาชนและตลาดทั่วโลก ทั้งนี้นอกจากนโยบายและการทำงานของภาครัฐที่ยังไม่ชัดเจนจริงจังเท่าการส่งเสริมระบบเกษตรแนวทางปฏิวัติเขียวแล้ว ส่วนหนึ่งเกิดจากขาดเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นและมีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือดีกว่าเทคโนโลยีในระบบเกษตรแนวปฏิวัติเขียว เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่จะนำมาใช้กับระบบการเกษตรที่ปลอดสารเคมี แต่ได้ปริมาณและคุณภาพเท่าเทียมหรือดีกว่าพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันในระบบสารเคมี การปรับปรุงบำรุงดินโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่ให้ผลผลิตปริมาณเท่ากันหรือดีกว่า ฯลฯ เหล่านี้ต้องการการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรที่ใช้ในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งสิ้น
ความสำเร็จในการส่งเสริมระบบการเกษตรแนวทางการปฏิวัติเขียวนั้นอาศัยการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ด้านพันธุ์ข้าว มีการก่อตั้งสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ที่ประเทศฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 พัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆที่ตอบสนองต่อปุ๋ยเคมีได้ดี เช่น พันธุ์ IR หมายเลขต่างๆ สืบเนื่องมาจนปัจจุบันในประเทศไทยก็มีกรมงานวิจัยข้าว ผลิตพันธุ์ข้าวที่ตอบสนองต่อปุ๋ยเคมี เช่น พันธุ์ กข. หมายเลขต่างๆ จนเปลี่ยนเป็นกรมวิชาการเกษตรก็ยังผลิตพันธุ์ข้าวมาในชื่อสถานีทดลองข้าว เช่น สุพรรณ 60 ชัยนาท 1 ปทุมธานี 1 เป็นต้น
พันธุ์ข้าวดังกล่าวมานี้ ล้วนได้รับการผสมพันธุ์และคัดเลือกให้เหมาะสมกับการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้งสิ้นโดยเฉพาะการใช้ปุ๋ยเคมี เมื่อเกษตรกรใช้พันธุ์ข้าวดังกล่าวนี้จึงต้องใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้นทุกที ส่งผลให้ต้องใช้สารเคมีชนิดอื่น (ฆ่าแมลง เชื้อรา วัชพืช) มากตามไปด้วย ระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ไม่ใช้สารเคมีดังกล่าวจึงไม่เหมาะกับพันธุ์ข้าวเหล่านั้น แต่เหมาะกับพันธุ์ข้าวพื้นเมืองดั้งเดิม (เช่น พันธุ์หอมมะลิ นางมล สังข์หยด ฯลฯ) แต่ข้อจำกัดของพันธุ์ข้าวพื้นบ้านดั้งเดิมคือ ปลูกได้เพียงปีละครั้งเดียวในฤดูฝน ดังนั้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืนจึงมีความจำเป็นเพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้แทนพันธุ์ที่มีอยู่เดิม และเหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่นโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีหรือปัจจัยภายนอก (เช่น การชลประทาน) มากอย่างพันธุ์ที่ได้รับการส่งเสริมในปัจจุบัน
ด้านการควบคุมศัตรูพืช สัตว์ การปรับปรุงบำรุงดิน ฯลฯ ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน เพื่อสนับสนุนให้ระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่เอื้อต่อสุขภาพสามารถแทนที่ระบบเกษตรแนวทางการปฏิวัติเขียวได้จริง เกษตรกรยอมรับได้เพราะได้ผลตอบแทนดีกว่าระบบเดิม และเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนหรือมีราคาแพง เกษตรกรสารถเรียนรู้และจัดการเทคโนโลยีดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอก ยิ่งกว่านั้นยังสามารถพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพไร่นาของตนยิ่งขึ้นไปอีกได้ด้วย
ที่สำคัญที่สุด การที่เกษตรกรส่งผ่านความรู้ ภูมิปัญญา และวิธีคิดในการทำการเกษตรที่พอเพียง และเหมาะสมกับสภาพของชุมชน ครอบครัว จากรุ่นสู่รุ่น การเรียนรู้ และการจัดการความรู้เป็นไปอย่างเรียบง่าย และสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ไม่เป็นทาสของระบบนายทุนได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องแต่กลับสดุดหยุดอยู่กับที่และเริ่มลดน้อยลงจนเกือบจะหมดไปเมื่อรัฐบาลได้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา การเรียนรู้ การจัดการความรู้ถูกเปลี่ยนมือมาสู่ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้แก่ กรมการข้าว ต่อมาเป็นศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าว การตั้งกรมวิชาการเกษตรมาทำหน้าที่ศึกษา และวิจัยพันธุ์พืชอื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นการดีถ้ากรมต่างๆที่ตั้งขึ้นเป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาเกษตรกรทั้งระบบคิด ความรู้ การจัดการไร่นาได้ด้วยตัวเอง ในความเป็นจริงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองเพื่อประโยชน์ของชาวนาส่วนใหญ่ แต่กลับทำหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ค้าขายเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และสารเคมีกำจัดศัตรูพืชแทบทั้งสิ้น
น่าจะถึงเวลาแล้วที่เกษตรกรควรจะได้รับสิทธิในการดูแล ศึกษา เรียนรู้ และจัดการระบบเกษตรที่ตนเองคิดว่าเป็นทางรอดของตนเอง ของสังคม ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ได้เรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆที่เหมาะสม ได้ฟื้นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สูญหาย และนำมาวางแผนปฏิบัติในไร่นาให้บังเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพทั้งของตนเองและผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญยังสามารถเป็นกำลังที่สำคัญในการเผยแพร่ความรู้ต่างๆสู่สังคมภายนอกได้
มูลนิธิข้าวขวัญทำงานด้านพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับใช้ในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่เอื้อต่อสุขภาพมาตั้งแต่ พ.ศ.2532 เมื่อครั้งยังใช้ชื่อ “ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อสังคม” อยู่ โดยได้ร่วมมือกับชาวนาบางรายพัฒนาเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วม (Participatory Technology Development – PTD) เช่น การควบคุมศัตรูพืช การปรับปรุงดิน การพัฒนาพันธุ์ข้าว และพืชผักบางชนิด ชาวนาบางคนที่ร่วมการพัฒนาเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วมได้รับรางวัล ชาวนาดีเด่นระดับชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 (คุณชัยพร พรหมพันธุ์) ในขณะเดียวกัน มูลนิธิข้าวขวัญในฐานะสมาชิกของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกก็มีบทบาทสนับสนุนเทคโนโลยีการเกษตรต่างๆ ให้แก่สมาชิกเครือข่ายฯ ทั้งด้านองค์ความรู้ และการฝึกอบรมในโครงการนำร่องฯ มูลนิธิฯ ร่วมกับเกษตรกรในโครงการนำร่องฯ ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรด้านต่างๆ รวม 5 เรื่อง ตั้งแต่เรื่องพันธุ์ข้าว พันธุ์ผัก พันธุ์ไม้ผล การควบคุมศัตรูพืช และการปรับปรุงบำรุงดิน
งานวิจัยและพัฒนาในโครงการนำร่องฯ จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2547 นี้ มูลนิธิข้าวขวัญจะดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไปเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่เหมาะกับท้องถิ่นและมีประสิทธิภาพสูง เป็นที่ยอมรับของเกษตรกรในท้องถิ่นมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่สนับสนุนให้สมาชิกเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกให้สามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปปรับใช้ พัฒนาหรือขยายผลให้กว้างขวางออกไปด้วย
2. วัตถุประสงค์ของโครงการ
2.1 เพื่อให้ชาวนาได้มีโอกาสเรียนรู้ร่วมกันอย่างอิสระ และสามารถสร้างความรู้และเทคโนโลยีของตนเองสำหรับระบบเกษตรกรรมยั่งยืนได้ในเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่
2.1.1 การจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี
2.1.2 การปรับปรุงบำรุงดินโดยไม่ใช้สารเคมี
2.2.2 การพัฒนาพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
2.2 เพื่อให้เกิดการผสมผสานความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทั้งจากมูลนิธิข้าวขวัญ ซึ่งเป็น ผู้อำนวยจัดกระบวนการเรียนรู้ และจากแหล่งภายนอกอื่นๆ อันจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของชาวนาทุกคน คือ การมีสุขภาวะที่ดีสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
2.3 เพื่อสนับสนุนให้เกิดชุมชนชาวนา (Community of Practice) ที่สามารถเชื่อมโยงกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่องถึงแม้โครงการจะสิ้นสุดโดยสมาชิกมีทั้งกลุ่มเป้าหมายของโครงการและจากที่อื่นๆทั่วประเทศ
2.4 นำผลสัมฤทธิ์ของโครงการเป็นเครื่องมือผลักดันเชิงนโยบายด้านเกษตรกรรมยั่งยืนและนโยบายด้านการสร้างเสริมสุขภาพแก่เกษตรกรต่อไป
3. หลักการในการดำเนินงาน
3.1 ให้ชาวนาเป็นตัวหลัก มีอิสระในการตัดสินใจเลือกใช้ความรู้เพื่อทดลองปฏิบัติ
3.2 มูลนิธิข้าวขวัญเป็นผู้จัดการโครงการ และผู้อำนวยให้เกิดกระบวนการกลุ่มและกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
3.3 ค้นคว้า รวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรท้องถิ่น และแหล่งอื่นเพื่อนำมาใช้ใน กระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย
3.4 พัฒนาองค์ความรู้เพิ่มเติมระหว่างการปฏิบัติงานเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและแนวทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
4. ขั้นตอนการดำเนินงาน
4.1 จัดเวทีเพื่อตั้งโจทย์และหาเพื่อนร่วมกิจกรรม
4.1.1 ระดมข้อมูล ทบทวนสถานการณ์ การปรับเปลี่ยนการทำนาตั้งแต่อดีต – ปัจจุบันของชาวนาในพื้นที่เป้าหมาย
4.1.2 ระดมปัญหาที่พบในการทำนาด้านต่างๆในการทำนาของชาวนาพื้นที่เป้าหมาย
4.1.3 วิเคราะห์และคัดเลือกปัญหาที่ชาวนาในพื้นที่มีเหมือนกัน เพื่อนำมาร่วมกันแก้ไขปัญหา
4.1.4 สรรหา คัดเลือกชาวนาที่มีความพร้อมและสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ค้นพบร่วมกัน
4.2 จัดเวทีเพื่อกำหนดเป้าหมายและทิศทางร่วมกัน
4.2.1 ระดมความคิดเห็นทิศทางในการแก้ปัญหาจากเวทีที่ 1
4.2.2 การให้ข้อมูลแนวทางและทิศทางการแก้ไขปัญหาจากแหล่งเรียนรู้อื่นอย่างเปิดกว้าง
4.2.3 นำเสนอทิศทางและเงื่อนไขการทำงานของมูลนิธิข้าวขวัญ และบทบาทของชาวนาที่ทำงานร่วมกัน
4.2.4 สรรหาและคัดเลือกชาวนาจาก ข้อ 4.1.4 ที่สามารถยอมรับเงื่อนไขได้
4.3 ทำกิจกรรม
4.3.1 ปรับวิธีคิดในการทำการเกษตร โดยสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่าน 3 หลักสูตรของโรงเรียนชาวนา โดยแต่ละหลักสูตรจะใช้เวลาทั้งสิ้น 18 สัปดาห์ๆ ละ 3 ชั่วโมง ในการศึกษาเรียนรู้แต่ละสัปดาห์ ชาวนาได้รับการเติมความรู้ภาคทฤษฎีจากวิทยากรชาวบ้าน และลงมือปฏิบัติจริงในแปลงนาของตนเอง ขณะที่ลงมือปฏิบัติชาวนาจะต้องมีข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การบันทึกการเปลี่ยนแปลงในไร่นาของตนและนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในแต่ละสัปดาห์ และมีการสรุปบทเรียนในสัปดาห์สุดท้ายของแต่ละหลักสูตร โดย 3 หลักสูตรที่กล่าวถึงข้างต้น ได้แก่
(1) การจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี (Alternative Pest Management - APM)
(2) การปรับปรุงบำรุงดินโดยไม่ใช้สารเคมี
(3) การปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
จากกระบวนการทำงานในข้อ 4.3.1 โครงการสามารถค้นหาตัวชาวนาที่จะนำมาพัฒนาเป็น Knowledge facilitator ในด้านพัฒนาพันธุ์ข้าว ได้จำนวนหนึ่ง
4.3.2 การปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่มีอยู่เดิมให้เหมาะสมในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
(1) ระดมความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น
(2) ศึกษาดูงานนอกพื้นที่เพี่อพัฒนาศักยภาพชาวนา เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับชาวนาในที่อื่นๆ และนักวิชาการหรือปราชญ์ชาวบ้าน เกี่ยวกับการจัดการความรู้ด้านการทำนา
(3) คัดเลือกพันธุ์ข้าวเพื่อนำมาปลูกทดสอบในแปลงนาของอาสาสมัคร ซึ่งร่วมกันวางแผนทั้งชาวนาและคณะทำงานให้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
(4) เวทีสรุปผลการคัดเลือกพันธุ์ข้าว ให้ได้ตรงตามความต้องการของชาวนาและผู้ บริโภค กล่าวคือ มีน้ำหนักดี ต้านทานโรคและศัตรูพืช เหมาะสมกับพื้นที่ ให้ผลผลิตต่อไร่สูง รสชาติดี
(5) นำพันธุ์ข้าวที่คัดเลือกไปขยายผล ให้กับชาวนาที่สนใจและเครือข่ายชาวนา
4.3.3 การพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ในท้องถิ่น
(1) เวทีระดมความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ชาวนา โรงสี ผู้บริโภค นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน ถึงลักษณะพันธุ์ข้าวที่ต้องการทั้งในรูปของการบริโภคและการจำหน่าย พร้อมทั้งรวมกันคัดเลือกชาวนาที่ต้องการเข้าร่วมพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้ตามที่ต้องการ
(2) ศึกษาดูงานนอกพื้นที่ และอบรมการผสมพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์ข้าวใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพชาวนา โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาพันธุ์ข้าว
(3) กิจกรรมพัฒนาพันธุ์ข้าวร่วมกับอาสาสมัคร ปลูกเปรียบเทียบพันธุ์ข้าว และคัดเลือกพันธ์ข้าวที่ต้องการ
(4) เวทีสรุปผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวด้านต่างๆ ได้แก่ ลักษณะประจำพันธุ์ คุณภาพการหุงต้ม ผลผลิตต่อไร่ ความต้านทานต่อศัตรูพืช และคัดเลือกพันธุ์ข้าวตามที่ต้องการ
(5) ได้พันธุ์ข้าวใหม่ที่เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
4.3.4 สรุปบทเรียนการทำงาน
(1) ได้พันธุ์ข้าวใหม่ที่เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
(2) เวทีชาวนาเพื่อนเยี่ยมเพื่อนทุก 3 เดือน เพี่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ให้กำลังใจ โดยการจัดเวทีแบบสัญจรนี้เป็นการศึกษาดูงานไปในคราว เดียวกันด้วย
(3) เวทีสรุปบทเรียนชาวนาทุก 6 เดือน โดยเป็นการทบทวนการทำงานที่ผ่านมา และนำ ผลการสรุปมาปรับปรุงการทำงาน พร้อมกับแผนงานที่วางไว้เดิม ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
(4) เวทีสรุปบทเรียนการทำงานองค์กรทุก 6 เดือน โดยร่วมกับ ส.ค.ส นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน ชาวนา และมูลนิธิข้าวขวัญ สรุปผลการทำงาน เพื่อนำผลการสรุปมาพัฒนาการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
(5) เวทีสรุปบทเรียนเครือข่ายชาวนา เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเป็นกระบวนการและต่อเนื่อง
4.3.5 ขยายผลสู่สาธารณะ
(1) จัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ข้าว ให้กับเครือข่ายชาวนาทั่วประเทศ (ประมาณ 370 คน) ได้แก่ การปรับปรุงคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่มีอยู่เดิม การผสมพันธุ์ข้าว และการรักษาคุณภาพเมล็ดพันธุ์ รวมถึงการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องวิธีคิดการทำนาแบบยั่งยืน และการพึ่งตนเอง
(2) การทำสื่อ จัดทำคู่มือหลักสูตร 3 หลักสูตร วีดีทัศน์ 3 เรื่อง และนิทรรศการเคลื่อนที่ 3 เรื่อง ได้แก่ การจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี การปรับปรุงบำรุงดิน และการพัฒนาพันธุ์ข้าว และคู่มือการจัดการความรู้ของชาวนา คู่มือนักอำนวยการจัดการความรู้ รวมทั้งการจัดทำทำเนียบแหล่งเรียนรู้ ทำเนียบเครือข่ายชาวนา
(3) การตั้งชุมชนชาวนาพัฒนาพันธุ์ข้าว (เพื่อการวางแผนในการพัฒนาพันธุ์ข้าวทั้งในส่วนของการบริโภคและการจำหน่าย โดยการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ให้เกิดการเคลื่อนงานอย่างเป็นขบวน และเกิดการช่วยเหลือกันในด้านต่างๆอย่างยั่งยืน
4.3.6 ประสานการสร้างเครือข่ายชุมชนชาวนา
(1) จัดเวทีเพื่อให้ชาวนา ได้พบปะ เข้าถึง และเชื่อมโยงกับแหล่งเรียนรู้
(2) จัดเวทีเพื่อให้เกิดเครือข่ายชุมชนชาวนา เพื่อให้ชาวนาในพื้นที่ต่างๆได้พบปะกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กัน รวมทั้งช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ไม่มีความเห็น